“เรื่องราวซับซ้อนของราชสำนัก เจ้าไม่เข้าใจหรอก” ฉู่ฉีเหยียนกล่าว ทั้งยังคว้าแขนนางเพื่อจะลากขึ้นไปบนรถ
ฉู่หลิงอวิ้นกลับไม่ยอมโดยง่าย สะบัดมือเขาออกอย่างโมโห ยังคงประกายสายตามองเขาเขม็ง “เจ้าอย่าได้คิดว่าจะทำอะไรข้าได้ หากจะส่งข้ากลับไปย่อมได้ แต่อย่างไรวันนี้เจ้าก็ต้องอธิบายให้ข้าเข้าใจเสียก่อน ข้าอยากจะถามคำถามเดียวเท่านั้น เมื่อใดเจ้าจึงจะจัดการนังสารเลวนี้ให้ข้า? นางทำให้ข้าตกต่ำถึงเพียงนี้ อย่าคิดว่าเรื่องจะจบง่ายๆ!”
ฉู่ฉีเหยียนใช้สีหน้าเรียบนิ่งมองนาง ลึกลงไปในดวงตานั้นยังปรากฏความหงุดหงิดอยู่เลือนราง กล่าวด้วยเสียงเรียบเย็น “ไม่จำเป็นที่เจ้าต้องมาสอนข้า หากเจ้ายังอยากจะรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างพวกเราพี่น้องเอาไว้ ก็ควรรีบกลับไปวัดก่วงเหลียนกับข้าเดี๋ยวนี้”
ขณะที่ฉู่ฉีเหยียนพูด ก็ทิ้งนางอย่างไม่สนใจ เดินไปทางรถม้าแทน
“ฉู่ฉีเหยียน!” ฉู่หลิงอวิ้นโกรธอย่างถึงที่สุด แทบที่จะคำรามไล่หลังเขาอย่างเสียงดัง “เริ่มแรกเพื่อที่จะช่วยให้เจ้ามีตำแหน่งที่มั่นคง ข้าทำเรื่องมากมายไปตั้งเท่าใด? เจ้าจะตัดขาดไร้เยื่อใยเช่นนี้จริงๆ รึ? เมื่อบรรลุเป้าหมายแล้ว ก็จะถีบหัวส่งข้าไม่สนใจแล้วใช่หรือไม่?”
“ข้าไม่เคยพูดว่าจะทิ้งเจ้า!” ฉู่ฉีเหยียนขมวดคิ้ว หันกลับมา
“กับเรื่องนี้เจ้าทำกับข้าอย่างขอไปทีมากี่ครั้งแล้ว?” ฉู่หลิงอวิ้นกล่าว ในแววตาก็ประกายความแค้นเคืองที่ฝังลึกพรั่งพรูออกมา นางหมุนไปหมุนมาอยู่ที่เดิมอย่างหงุดหงิดใจ จากนั้นจึงสาวเท้าไปยืนอยู่หน้าฉู่ฉีเหยียนด้วยความรวดเร็ว ใช้แววตาที่บ้าคลั่งทั้งยังเต็มไปด้วยความปรารถนามองไปที่เขา “ข้าแค่ต้องการให้เจ้าจัดการฉู่สวินหยางให้ข้าเท่านั้น และข้าสัญญาว่า หลังจากที่เจ้าทำเรื่องนี้ให้ข้าสำเร็จแล้ว ข้าจะไม่มากวนใจเจ้าอีกแน่นอน”
ฉู่ฉีเหยียนมองใบหน้าที่บ้าระห่ำของนาง เดิมทีเขาก็โมโหเพียงแค่เรื่องของจางอวิ๋นอี้เท่านั้น
เดิมทีแล้วยังคิดที่จะอดกลั้นไว้ แต่เมื่อยามนี้เห็นท่าทีของฉู่หลิงอวิ้นที่ดุร้ายเช่นนี้ ก็หมดความอดทนอย่างทันที สะบัดเสื้อคลุม ทั้งกล่าวอย่างเสียดสี “แม้ว่าฉู่สวินหยางจะตาย เหยียนหลิงจวินก็ไม่แลตามาดูเจ้าหรอก นี่มันกี่ครั้งแล้ว เจ้ายังไม่ยอมแพ้อีกรึ? ดึงดันอยู่แบบนี้ไม่มีประโยชน์อันใดกับเจ้าสักนิด แล้วเจ้าอย่ามาหาว่าข้าไม่เตือน!”
ฉู่สวินหยางนั้นน่าชิงชัง แต่ที่นางชิงชังที่สุดก็คือ ฉู่สวินหยางแย่งเหยียนหลิงจวินต่อหน้าต่อตานางไปอย่างง่ายดาย
ยากที่จะมีคนจินตนาการได้ว่า หลังจากผ่านเรื่องราวมามากมายขนาดนี้ แต่เหตุไฉนฉู่หลิงอวิ้นก็ยังคงคิดเลยเถิดกับเหยียนหลิงจวินอยู่เช่นนี้
ฉู่หลิงอวิ้นฟังจบก็น้ำตาคลอเบ้า ดูน้อยใจอย่างเห็นได้ชัด
ฉู่ฉีเหยียนมองนาง ก่อนจะหลับตาลงอย่างรำคาญใจ กล่าวออกไป “เจ้าบอกว่าอะไรนะ กลับไปเยี่ยมท่านแม่ แท้จริงแล้วเจ้าคงจะได้ข่าวว่าเขาเจ็บหนักกลับเมืองหลวง ดังนั้นจึงคิดที่จะมาจับปลาในน้ำขุ่น[1]ล่ะสิ?”
ถูกเขาเปิดเผยแผนการต่อหน้าอย่างไม่อ้อมค้อมอันใด ใบหน้าฉู่หลิงอวิ้นจึงประเดี๋ยวดำประเดี๋ยวแดง ท้ายที่สุดก็กัดฟัน ไม่คิดปิดบังอีกต่อไป
“เช่นนั้นแล้วอย่างไรเล่า? ข้าปรารถนาเขา ทั้งยังไม่ได้เต็มใจจะมอบให้ผู้อื่นอย่างง่ายๆ แต่ฉู่สวินหยางกลับมาวางอำนาจบาตรใหญ่กับข้า? ไม่มีทางเสียหรอก!”
ไม่ใช่ว่านางดูนิสัยเหยียนหลิงจวินไม่ออก ชายผู้นั้นตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ก็ไม่เคยเห็นนางอยู่ในสายตา แม้ว่าในใจนางจะรู้ดีเพียงใด แต่หลายปีมานี้ไม่ว่าจะอยากจะได้อะไรก็สมปรารถนาทุกอย่างจนติดเป็นนิสัยเสียแล้ว แม้ว่าจะรู้ดีแก่ใจ…
แต่กับเรื่องนี้นางกลับยังคงหลอกตัวเอง เอาแต่บอกตัวเองอยู่เรื่อยมา หากไม่มีฉู่สวินหยางขวางทาง นางย่อมต้องมีโอกาสอยู่แน่นอน
ชายผู้นั้น แทบจะกลายเป็นด้านมืดในจิตใจนางไปโดยปริยาย ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบเห็น ก็ยากที่จะสลัดออกไปจากใจได้
และความปรารถนาที่แทบจะบ้าคลั่งเช่นนี้ ทั้งจากการที่เขาค่อยๆ ทิ้งห่างออกไปและถูกปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแปรเปลี่ยนเป็นความแค้นฝังลึกอย่างหนึ่ง บีบให้นางแทบจะคลุ้มคลั่ง
ฉู่ฉีเหยียนเห็นแววตานางเปลี่ยนพลิกไปมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด จึงตกตะลึงในใจ
เพราะว่า…
ในช่วงเวลาอันสั้นนั้น เหมือนกับว่าเขาได้เห็นจิตใจที่ดำมืดที่สุดด้านหนึ่งของตัวเองจากร่างของฉู่หลิงอวิ้น
ดูสกปรก ดูยากที่จะรับได้ ดู…
ดำมืดจนมองไม่เห็นแสงสว่าง!
ฉู่ฉีเหยียนเหม่อลอยไปชั่วครู่ ชั่วขณะที่ฉู่หลิงอวิ้นเห็นท่าทางของเขาก็คล้ายจะตะลึงพรึงเพริดขึ้นมาเล็กน้อย
ฉู่หลิงอวิ้นมองเขาอย่างสงสัย “เจ้าเป็นอะไรไป?”
ความคิดของฉู่ฉีเหยียนถูกนางขัดจังหวะ รีบปกปิดท่าทีไว้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะสูดลมหายใจลึก “อย่ามัวมาพูดเรื่องนี้อีกเลย เย็นวันนี้ในเมืองจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น ที่นี่ไม่นับว่าปลอดภัย พวกเราไปกันก่อนเถิด”
ระหว่างที่พูดเขาก็เข้าไปดึงแขนฉู่หลิงอวิ้น ทว่าก็ยังคงถูกนางสะบัดออกอีกครั้ง
“เจ้ายังไม่ได้รับปากข้าว่าเมื่อใดจะไปคิดบัญชีกับฉู่สวินหยางให้ข้า!” ฉู่หลิงอวิ้นกล่าวอย่างไม่ยอมจบง่ายๆ
ท้ายที่สุดฉู่ฉีเหยียนก็ถูกนางบีบจนรำคาญขึ้นมา กล่าวด้วยเสียงเยือกเย็น “เจ้าจะไปหรือไม่ไปกันแน่?”
“แค่เจ้ารับปากข้ามา มันยากถึงเพียงนั้นเลยรึ?” ฉู่หลิงอวิ้นกล่าวอย่างโมโห ทว่าพูดได้ครึ่งเดียวจู่ๆ ก็เปลี่ยนไปมองแววตามืดมนที่ไม่เหมือนเดิมของเขา หัวสมองพลันแล่นปราด กล่าวอย่างสงสัย “ในมือของนางได้กำจุดอ่อนของเจ้าไว้แล้วรึ? ยามนี้แม้ว่าข้าจะไม่พูด แต่ด้วยนิสัยของเจ้า ก็ควรจะลงมือกำจัดปัญหาตั้งนานแล้ว ฉีเหยียน ทำไมกันล่ะ? หลังจากที่เจ้ากลับเมืองฉู่มาก็ได้ระยะหนึ่งแล้ว เหตุใดจึงเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้ เอาแต่นิ่งดูดายไม่ยอมลงมือ?”
ฉู่ฉีเหยียนรู้ตัวว่าความคิดที่ซ่อนอยู่ภายในจิตใจของเขาถูกนางเปิดเผยออกมา ใบหน้าจึงยิ่งเย็นเยียบขึ้นไปอีก จึงกล่าวอย่างขอไปที “เรื่องของจวนอ๋องรุ่ยซินยังไม่แน่ชัด ยามนี้ยังไม่ถึงเวลา!”
“ยังไม่ถึงเวลา?” ฉู่หลิงอวิ้นกล่าวอย่างเคลือบแคลง มองพินิจเขาอย่างละเอียด เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เชื่อทั้งหมด เอ่ยออกไปอย่างสัพยอก “ไม่ใช่ว่าตั้งแต่แรกเจ้าก็ไม่คิดจะลงมือกับนางหรอกนะ?”
แท้จริงแล้วฉู่หลิงอวิ้นแค่พูดออกไปเล่นๆ เท่านั้น กลับไม่คิดว่าพูดยังไม่ทันจบ ฉู่ฉีเหยียนจะหน้าเปลี่ยนสีโดยพลัน กล่าวขึ้นมาอย่างโมโห “เรื่องของข้า เจ้าไม่ต้องมายุ่ง!”
แม้จะเป็นเพียงประโยคสั้นๆ กลับแฝงไปด้วยความร้อนตัวอยู่ในนั้น
————————————————-
[1] จับปลาในน้ำขุ่น เป็นสำนวนจีน หมายถึง ฉวยโอกาสในยามที่โกลาหลหาผลประโยชน์ใส่ตัว