บทที่ 87.2 ใจโสมม ประสงค์ร้าย! (2)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

คำพูดนี้เพิ่งจะออกจากปาก ฉู่ฉีเหยียนก็รู้ตัวอย่างทันทีว่าได้หลุดพูดไป แม้จะอยากกลบเกลื่อนก็ไม่ทันแล้ว จึงได้แต่เผยสีหน้าดำคล้ำอยู่อย่างนั้น

“ฉู่ฉีเหยียน!” ฉู่หลิงอวิ้นตกตะลึง แค่นเสียงหัวเราะขึ้นมาอย่างไม่คาดคิดมาก่อน คล้อยหลังก็กล่าวด้วยเสียงแหลม “เจ้าเสียสติไปแล้วรึ?”

ขณะที่พูดก็พุ่งไปด้านหน้า ดึงแขนเสื้อฉู่ฉีเหยียนไว้ ใช้สายตาอย่างหนึ่งราวกับปีศาจจ้องมองเขา “นี่เจ้าหลงนางอสรพิษนั่นแล้วใช่หรือไม่? อย่าลืมนะว่านางเป็นลูกพี่ลูกน้องของเจ้า พวกเจ้าเป็นวงศ์สกุลเดียวกัน คิดสกปรกเช่นนี้ ข้าว่าเจ้าคงต้องมนต์ดำแล้วจริงๆ!”

เจ้าพูดเหลวไหลอันใด?” ใบหน้าของฉู่ฉีเหยียนเคลือบไว้ด้วยน้ำแข็งหนาหนึ่งชั้นโดยไม่รู้ตัว กล่าวอย่างเยือกเย็น “ข้าไม่มีเวลามาพูดจาเรื่อยเปื่อยกับเจ้าที่นี่แล้ว กลับไปกับข้าเดี๋ยวนี้ อย่าได้ก่อเรื่องอีก!”

“เจ้ากลัวว่าข้าจะก่อเรื่องหรือกลัวว่าข้าจะพูดถึงนังนั่นกันแน่?” ฉู่หลิงอวิ้นคิดว่าตัวเองมองความคิดเขาออกแล้ว จึงบีบเค้นต่อ ไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ

แววตาของนางเผยท่าทีดูถูกทั้งยังมีความเย้ยหยันแฝงอยู่ จ้องมองใบหน้าของฉู่ฉีเหยียนที่ซีดเผือด เพราะว่าเพิ่งพลิกกู้หน้าตนขึ้นมาได้บ้าง เวลานี้จึงสุขใจอยู่ไม่น้อย “เป็นเช่นนี้เจ้ายังมีหน้ามากล้าพูดสั่งสอนหลักการนั้นหลักการนี้กับข้าได้อีกรึ? จิตใจของเจ้าเทียบกับข้าแล้ว ยังสกปรกโสมมเกินกว่าจะรับได้ พวกเรามันก็ไม่ต่างกันนักหรอก!”

เรื่องมาถึงจนตอนนี้ นางก็ไม่สนใจที่จะไปไล่เค้นฉู่ฉีเหยียนว่ามีใจคิดแอบแฝงกับฉู่สวินหยางตั้งแต่เมื่อไร หรือเรื่องนี้เชื่อได้หรือไม่ได้ เพียงแค่คิดว่านางจับจุดอ่อนของฉู่ฉีเหยียนได้แล้ว ในใจก็เต็มไปด้วยความเปรมปรีดิ์

หลี่หลินที่ฟังสองพี่น้องพูดคุยกันอยู่ด้านข้าง แม้ว่าจะสะท้านในใจก็พยายามปิดตาลงคิดถึงเรื่องอื่น แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไปอย่างนั้น…

แท้จริงท่าทีของฉู่ฉีเหยียนที่เปลี่ยนไปต่อฉู่สวินหยาง ไม่มีใครจะรู้ดีไปกว่าหลี่หลินที่อยู่ข้างกายเขามาตลอดอีกแล้ว

ก่อนหน้านี้หลี่หลินก็รู้สึกตกใจอยู่ไม่น้อย เวลานี้มาถูกฉู่หลิงอวิ้นเปิดเผยอย่างตรงๆ ก็ยิ่งใจสั่นไหวขึ้นไปอีก

ใบหน้าของฉู่ฉีเหยียนซีดราวกับกระดาษ นิ้วมือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อนั้นค่อยๆ ขยับเข้าหากันจนกลายเป็นกำหมัดแน่น

ฉู่หลิงอวิ้นมองเขา เลิกคิ้วขึ้นอย่างเรียบนิ่ง “ข้ากลับคิดว่าพวกเราในยามนี้น่าจะสามารถคุยกันดีๆ ได้”

“คุยอันใด?” ฉู่ฉีเหยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบทั้งยังข่มกลั้นอารมณ์เอาไว้

ฉู่หลิงอวิ้นกลับไม่สนใจใบหน้าที่แฝงไปด้วยจิตสังหารของเขาแม้แต่น้อย เพราะว่า…

นางมั่นใจดีว่าเขาไม่อาจคิดลงมือจริงๆ กับตนได้หรอก

“ข้าไม่สนว่าเรื่องระหว่างเจ้ากับนังผู้หญิงคนนั้นจะเป็นอย่างไร แต่ว่าข้ากลับรู้ดีว่าข้าปรารถนาสิ่งใด เจ้าไม่คิดว่ายามนี้ได้มีวิธีที่ดีต่อทั้งสองฝ่ายปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเราแล้วหรอกรึ?” ฉู่หลิงอวิ้นกล่าว ริมฝีปากกระตุกขึ้นเป็นยิ้มเย็น

แท้จริงแล้วนางก็ไม่ได้คิดที่อยากจะเอาชีวิตฉู่สวินหยางตายให้ได้ แต่หาว่ากสามารถทำให้ฉู่สวินหยางห่างออกไปจากเหยียนหลิงจวินได้แล้ว…

ความรู้สึกเช่นนั้น เกรงว่าก็คงจะรู้สึกราวกับตายทั้งเป็น

ยิ่งฉู่หลิงอวิ้นพูดมากขึ้นเท่าไรฉู่ฉีเหยียนก็ยิ่งค่อยๆ มองเห็นตัวเองมากขึ้น จริงๆ แล้วเขาก็มีใจชื่นชมฉู่สวินหยางอยู่ อีกทั้ง…

ทุกครั้งที่คิดว่าเขาและนางมีจุดยืนที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ก็มักจะเกิดความหงุดหงิดใจอย่างแปลกประหลาด

แต่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นคนที่หลักแหลมมาโดยตลอด เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเอาแต่ปกปิดความรู้สึกขัดแย้งและน่าเศร้านี้ไว้ภายในจิตใจ

ยามนี้ถูกฉู่หลิงอวิ้นสาวออกมาอย่างหมดเปลือก ทั้งพูดอย่างตรงๆ ใช้คำว่าโสมมมาเปรียบเทียบ

จึงรู้สึกราวกับถูกตบหน้าท่ามกลางสาธารณะชนก็มิปาน

ฉู่ฉีเหยียนรู้สึกเพียงว่าความโกรธในอกได้เดือดจัดเตรียมจะปะทุขึ้นมา แทบอดกลั้นไม่ไหวอยากจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างในใต้หล้าให้ราบคาบ เพื่อที่จะสามารถทลายความโกรธในใจเขาไปได้ แต่ในความเป็นจริง เมื่อเขาเริ่มควบคุมอารมณ์ไว้ไม่ไหว ก็แผดเผาความคิดนั้นจนไหม้เป็นขี้เถ้า กลบฝังไว้ไม่เปิดเผยให้ผู้ใดมองเห็น!

ใช่แล้ว หากฉู่หลิงอวิ้นไม่พูดเขาก็คงจะไม่ยอมรับ แต่ว่าตอนนี้…

ที่ฉู่หลิงอวิ้นพูดมาก็ไม่ได้ผิด เขามีใจคิดไม่ซื่อกับลูกพี่ลูกน้องของตัวเองอย่างแท้จริง

ความรู้สึกที่ผิดจริยธรรมเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกอับขายขายขี้หน้าเป็นที่สุด

แต่กระนั้น ฉู่หลิงอวิ้นตรงหน้ากลับเผยท่าทีไม่เกรงกลัวสิ่งใด ทำเพียงคล้ายรอดูเรื่องขบขันจากเขาเท่านั้น

ตั้งแต่เกิดมา นี่เป็นครั้งแรกที่ฉู่ฉีเหยียนรู้สึกว่าตนเองจะเกลียดชังและอาฆาตแค้นใครคนหนึ่งได้ถึงเพียงนี้

เขามองคนที่ประกาศตัวเองว่าเป็นพี่สาวที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกันกับเขาตรงหน้า กล่าวเน้นชัดทุกถ้อยคำ “ข้าจะถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ตกลงเจ้าจะกลับวัดก่วงเหลียนกับข้าหรือไม่?”

ฉู่หลิงอวิ้นเห็นว่าข้อเสนอของตัวเองแทบไม่มีผลต่อเขา ก็หน้าดำคล้ำลงทันที กล่าวออกไปคล้ายกับยั่วยุ “นี่เจ้าถึงขนาดกล้าทำไม่กล้ารับเช่นนี้เลยรึ?”

ฉู่ฉีเหยียนถูกคำพูดนี้กระทบจนแทบจะระเบิดอยู่รอมร่อ

ฉู่หลิงอวิ้นยังอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่เขากลับหมุนกายหันไปอย่างไม่สนใจ สาวเท้าเดินไปข้างหน้าทั้งกล่าวด้วยเสียงเรียบเย็นไปพลาง “หลี่หลิน ทิ้งรถม้าไว้ที่นี่ให้นาง พวกเราไปกัน!”

หลี่หลินเงยหน้ามองอย่างตะลึง เมื่อตั้งสติได้ก็มองไปที่แผ่นหลังมั่นคงและเด็ดเดี่ยวของเขา คล้อยหลังก็หันไปมองทางฉู่หลิงอวิ้นอีกที

ฉู่หลิงอวิ้นยืนอยู่ที่นั่น ไม่คาดคิดมาก่อนว่าเขาจะตัดขาดกับตนเช่นนี้

“ฉู่ฉีเหยียน ไม่ว่าเจ้าจะหลบหลีกอย่างไร ในเมื่อเจ้าเกิดความคิดเช่นนี้ขึ้นมาแล้ว ก็ไม่อาจจะหนีพ้นความจริงไปได้ วันนี้เจ้าปฎิเสธข้อเสนอของข้า ไม่ช้าก็เร็วเจ้าต้องเสียใจเป็นแน่!” นางตะโกนกร้าวเสียงดังใส่หลังของฉู่ฉีเหยียน

ฉู่ฉีเหยียนก้าวฝีเท้าไปอย่างมั่นคง ไม่สะทกสะท้านอันใด ผ่านไปสักพักก็เดินออกไปหลายจั้ง[1]แล้ว

หลี่หลินเผยสีหน้าซับซ้อนเหลือบมองฉู่หลิงอวิ้นครู่หนึ่ง คล้ายกับในใจของเขากำลังชั่งน้ำหนักคิดลังเลอะไรอยู่ แต่เมื่อไตร่ตรองซ้ำแล้วซ้ำแล้ว…

ท้ายที่สุดก็ยังคงทำตามคำสั่งของฉู่ฉีเหยียน เร่งฝีเท้าตามขึ้นไป

ฉู่ฉีเหยียนเผยใบหน้าเย็นชา ที่ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งค้าง แทบจะราบเรียบไร้อารมณ์ใดใด

หลี่หลินหันกลับไปมองฉู่หลิงอวิ้นที่ถูกทิ้งไว้กลางทาง ก็ยังคงกล่าวหยั่งเชิงอย่างสองจิตสองใจอยู่บ้าง

“ซื่อจื่อ ท่านหญิงนาง…จะทิ้ง…”

พูดได้ครึ่งเดียว เขาก็หุบปากลงอย่าเงียบเชียบ

ใบหน้าของฉู่ฉีเหยียนเย็นเยียบจนไร้ความรู้สึกอันใด ทั้งเดินต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่ปริปากสักคำ

หลี่หลินเห็นอย่างนั้น แม้ว่าจะตกใจอยู่เล็กน้อย แต่ก็รู้ว่าเขาได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว ก็ไม่คิดจะกล่าวอันใดให้มากความอีก

สองนายบ่าวเดินตามกันไป ไม่ช้าร่างก็เลี้ยวหายลับไปจากมุมทางเดินของภูเขา

————————————————–

[1]  1 จั้ง เท่ากับ 10 ฉื่อ (ประมาณ 3.3 เมตร)