ภาคที่ 4 ตอนที่ 100 การพบกันที่กระอักกระอ่วนและตื่นเต้น (2)

มรรคาสู่สวรรค์

ถูกต้อง ไม่มีใครรู้ว่าคนผู้นั้นคือใคร แต่ความรู้สึกที่เหมือนหลุดพ้นออกไปจากโลกอันวุ่นวายเช่นนี้ จะไม่ให้เหล่าผู้บำเพ็ญพรตตกตะลึงได้อย่างไร?

บนใบหน้าของกู้ชิงเผยให้เห็นสีหน้ายินดี เขาเดินออกมาจากกลุ่มคน เดินลงไปยังด้านล่างหน้าผา

เมื่อเห็นภาพนี้ คนที่หัวไวบางคนก็คาดเดาได้แล้วว่าคนชุดขาวผู้นั้นคือใคร จากนั้นจึงบอกต่อๆ กันออกไป

“หรือว่าจะเป็นเขา?”

“นั่นคือจิ๋งจิ่วที่เล่าลือกันอย่างนั้นหรือ?”

“เขาหล่อเหลาขนาดนี้จริงๆ หรือ?”

เสียงพูดคุยดังขึ้นเรื่อยๆ ส่งเสียงจ๊อกแจ๊กไปทั่วทั้งหุบเขาอิ๋งเซียน

เยวี่ยเชียนเหมินขมวดคิ้วเล็กน้อย คล้ายไม่ค่อยชอบเสียงวุ่นวาย

บนใบหน้าของกั้วหนานซานเผยให้เห็นรอยยิ้มเย้ยหยันตัวเอง เขามองไปทางจัวหรูซุ่ย พบว่าหนังตาของศิษย์น้องยังคงตกอยู่ ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ

สายตานับไม่ถ้วนมองไปยังจิ๋งจิ่ว

ศิษย์ผู้หญิงของบางสำนักมายืนออกันอยู่ตรงริมราวกั้นของศาลา ดวงตาเปล่งประกาย

ไม่มีใครมองจัวหรูซุ่ยอีก

ชื่อเสียงของจิ๋งจิ่วนั้นโด่งดังจริงๆ

ทุกคนต่างรู้ว่าเขาเกียจคร้านเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังงดงามอย่างมาก

เขามีเรื่องราวที่เป็นตำนานอยู่มากมาย อย่างเช่นการประลองหมากล้อมกระดานนั้นกับถงเหยียน อย่างเช่นงานประลองวิถีพรตในงานชุมนุมเหมยฮุ่ย

เรื่องราวของเขากับไป๋เจ่าถูกเล่าขานไปทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียน

ที่นี่คือเขาอวิ๋นเมิ่ง ในที่สุดทั้งสองคนก็จะได้พบกันอีกครั้งอย่างนั้นหรือ?

“อั้ยยะ! จิ๋งจิ่ว ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว!”

เสียงที่สดใสเสียงหนึ่งดังขึ้นในหุบเขา

เสียงกระดิ่งที่ฟังดูสดใสเสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกัน หญิงสาวผู้หนึ่งพุ่งลงมาราวกับลูกนกที่บินมาจากในป่า นั่นคือเซ่อเซ่อ นายหญิงน้อยแห่งสำนักเสวียนอิน

ในกระท่อมหลังหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป สมณะแห่งวัดกั่วเฉิงรูปหนึ่งอยากจะเงยหน้าขึ้นมา แต่สุดท้ายกลับก้มหน้าลงไป ดูค่อนข้างอ้างว้างโดดเดี่ยว

……

……

จิ๋งจิ่วเงยหน้าขึ้นมา มองดูเซ่อเซ่อ ความหมายชัดเจน

เซ่อเซ่อเอี้ยวตัวเล็กน้อย คล้ายนกที่บินวกกลับไปยังหน้าผา ส่งเสียงเหอะอย่างหงุดหงิดออกมา

กู้ชิงเดินเข้ามาหาจิ๋งจิ่ว ยังไม่ทันจะได้ทำการคารวะก็รีบกล่าวเสียงเบาๆ ใช้ความเร็วที่เร็วที่สุดพูดออกมา

เพียงแต่ในหุบเขามีคนอยู่มากมาย ยิ่งไปกว่านั้นอาจารย์ที่มีสภาวะล้ำลึกอย่างฟางจิ่งเทียนและหนานว่างจะต้องได้ยินสิ่งที่เขาพูดอย่างแน่นอน เขาจึงไม่อาจพูดอะไรมากได้

เขาเดินเป็นเพื่อนจิ๋งจิ่วขึ้นไปบนหน้าผา พูดในสิ่งที่ควรจะพูดจนหมด ก่อนจะถอยไปยังด้านหลัง

จิ๋งจิ่วเดินเข้าไปหากลุ่มศิษย์ของชิงซาน

เขาเป็นศิษย์ชิงซาน เดิมนี่ควรจะเป็นเรื่องที่ปกติอย่างมาก

แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด สีหน้าของศิษย์ชิงซานหลายๆ คน รวมไปถึงกั้วหนานซานและกู้หานต่างก็ดูแปลกไปเล็กน้อย

บนหน้าผามีบรรยากาศที่ดูตึงเครียดและกระอักกระอ่วนค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมา

เมื่อเห็นภาพนี้และรับรู้ได้ถึงบรรยากาศเช่นนี้ ผู้บำเพ็ญพรตของสำนักอื่นต่างรู้สึกไม่เข้าใจ

จากนั้นพวกเขาก็คิดขึ้นมาได้ หลังจัวหรูซุ่ยออกมาจากการเก็บตัวก็เอาชนะเจ้าล่าเยวี่ย

ความสัมพันธ์ของจิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยนั้นไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก

เขาคืออัจฉริยะทางวิถีกระบี่ที่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วกัน เคยได้ที่หนึ่งในการประลองวิถีพรตในงานชุมนุมเหมยฮุ่ย ยิ่งไปกว่านั้นยังได้ยินว่าเขา…เจ้าคิดเจ้าแค้นเป็นอย่างมาก?

หรือว่าหลังจากนี้จะเกิดเรื่องอะไรขึ้น?

……

……

จิ๋งจิ่วเดินไปตรงหน้าศิษย์ชิงซาน

หลายคนต่างใช้สายตาสังเกตดูปฏิกิริยาของจัวหรูซุ่ย

จัวหรูซุ่ยมองดูจิ๋งจิ่ว จากนั้นกลับคืนสู่สภาพก่อนหน้านี้ หนังตาตก ดูคล้ายง่วงนอน

เห็นได้อย่างชัดเจน เขาคิดว่าคนผู้นี้ไม่มีค่าให้เขามองดู

หลายคนสังเกตเห็นว่าความจริงแล้วจัวหรูซุ่ยมิได้มองดูจิ๋งจิ่ว หากแต่มองดูกระบี่เหล็กที่อยู่ด้านหลังจิ๋งจิ่ว

กระบี่เหล็กยังคงอยู่ นี่แสดงให้เห็นถึงปัญหาหลายๆ อย่าง

หลายคนอดเกิดความรู้สึกทอดถอนใจขึ้นมาไม่ได้

ในอดีตจิ๋งจิ่วช่วยชีวิตไป๋เจ่าเอาไว้ในที่ราบหิมะ สภาวะหยุดนิ่ง จนกระทั่งตอนนี้เป็นเวลาสิบปีแล้ว เขายังคงไม่มีความคืบหน้าใดๆ

หรืออัจฉริยะทางวิถีกระบี่ผู้นี้จะจบสิ้นลงแต่เพียงเท่านี้?

จิ๋งจิ่วไม่รู้ว่าคนอื่นๆ กำลังคิดอะไรกัน เขาหมุนตัวมองไปทางฟางจิ่งเทียนและหนานว่าง ประกบมือขึ้นมาคารวะพวกเขาเล็กน้อย

หนานว่างเลิกคิ้วกล่าวว่า “เจ้ามาทำไม?”

จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ไป๋เจ่าให้ข้ามา ข้ามาร่วมงานชุมนุมแสวงมรรคา”

เมื่อได้ยินคำพูดครึ่งแรก บรรยากาศคล้ายดูอบอุ่น

แต่เมื่อได้ยินคำพูดครึ่งหลัง บรรยากาศพลันเปลี่ยนเป็นกระอักกระอ่วน ยิ่งดูตึงเครียด

จัวหรูซุ่ยเอาชนะเจ้าล่าเยวี่ยได้ในการทดสอบกระบี่ กลายเป็นตัวแทนเพียงหนึ่งเดียวของชิงซานในการเข้าร่วมงานชุมนุมแสวงมรรคาครั้งนี้

หรือจิ๋งจิ่วคิดอยากจะท้าสู้จัวหรูซุ่ย?

หนานว่างกล่าวว่า “เลือกออกมาแล้ว อย่าก่อเรื่อง”

จิ๋งจิ่วกล่าว “ผู้ชนะคือใคร?”

ศิษย์ชิงซานหลายคนเหลียวมองไปทางจัวหรูซุ่ยที่อยู่ด้านหลัง

จิ๋งจิ่วมองดูจัวหรูซุ่ย

ใบหน้านั้นธรรมดาเป็นอย่างมาก เหมือนกับความธรรมดาของกั้วตง

จิ๋งจิ่วรู้ว่าเขาฝึกวิชาเต๋าชนิดหนึ่ง มิได้ใส่ใจ หากแต่ดึงสายตากลับมากล่าวกับหนานว่างว่า “ข้าเอาชนะเขาได้ก็พอมิใช่หรือ?”

หนานว่างกล่าวอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย “แล้วทำไมเขาต้องรับคำท้าของเจ้าด้วย?”

งานทดสอบกระบี่ของชิงซานจบลงไปแล้ว จัวหรูซุ่ยคือผู้ชนะ

หากยังสามารถท้าสู้ผู้ชนะได้หลังจากจบงานไปแล้ว เช่นนั้นการทดสอบกระบี่ของชิงซานยังจะมีความหมายอะไร?

จิ๋งจิ่วไม่ได้พูดอะไร

หากจัวหรูซุ่ยไม่ยอมรับคำท้า เขาเองก็ทำอะไรไม่ได้

กู้ชิงพลันก้าวออกมาข้างหน้าสองสามก้าว เข้ามาในกลุ่มคน ก่อนจะมองไปทางจัวหรูซุ่ยแล้วกล่าวว่า “รับคำท้าเถอะ”

เรื่องที่อาจารย์ไม่สะดวกทำ เขาก็ได้แต่ต้องทำแทน

“เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง!”

กู้หานมองดูน้องของตัวเอง บนใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ

อาศัยสภาวะของจิ๋งจิ่วในตอนนี้ คิดจะเอาชนะศิษย์น้องเล็ก?

ทุกคนบนยอดเขาเสินม่อต่างอวดดีเช่นนี้หรือ!

กู้ชิงมิได้สนใจเขา เพียงแค่มองดูจัวหรูซุ่ยอย่างเงียบๆ

สายตายิ่งสงบ ยิ่งมีความกดดัน

ความหมายของเขาชัดเจนเป็นอย่างมาก หากเจ้าไม่กลัวแพ้ เช่นนั้นเจ้าก็ออกมาสู้กับอาจารย์ของข้าเสีย

หนังตาของจัวหรูซุ่ยยังคงตกอยู่ มิได้สนใจเขา

ไม่มีใครคิดว่าเขากลัวจิ๋งจิ่ว ถึงได้ไม่ยอมรับคำยั่วยุของกู้ชิง

สีหน้าเฉยชาของเขาทำให้คนรู้สึกว่าที่เขาไม่สนใจ เป็นเพราะว่าจิ๋งจิ่วอ่อนแอเกินไป จึงรู้สึกว่าข้อเสนอนี้มันช่างเหลวไหลยิ่งนัก

“เจ้าไม่ได้เข้าร่วมการทดสอบกระบี่ เช่นนั้นก็ถือว่าขาดคุณสมบัติไปแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะเอาชนะจัวหรูซุ่ยได้หรือไม่ เจ้าก็ไม่สามารถเป็นตัวแทนชิงซานเข้าร่วมงานชุมนุมแสวงมรรคาครั้งนี้ได้”

เสียงของฟางจิ่งเทียนพลันดังขึ้น

กั้วหนานซานและศิษย์คนอื่นๆ โล่งใจ ในใจครุ่นคิดว่าอาจารย์อาฟางทำการตัดสินเช่นนี้ ก็เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความต่อสู้กันเองภายในสำนักจนเกิดเป็นภาพที่ดูไม่ดี

แต่จิ๋งจิ่วกลับมิได้คิดเช่นนี้

ฟางจิ่งเทียนน่าจะไม่รู้ว่าเหตุใดเขาถึงอยากจะได้ยันต์เซียนวัฒนะ แต่ก็ไม่อยากให้เขาได้มีโอกาสนี้

ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ

จิ๋งจิ่วพลันหมุนตัวเดินออกจากกลุ่มคนไป

ทุกคนต่างรู้สึกตกใจ ในใจครุ่นคิดว่าหรือจะจากไปทั้งแบบนี้?

ไม่ว่าใครต่างก็คิดไม่ถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้

จิ๋งจิ่วเดินไปยังตำแหน่งที่เหล่าศิษย์สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยยืนอยู่ ไปยืนอยู่ตรงหน้าเกี้ยวเล็กผ้าม่านเขียวหลังนั้น

ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยอยู่ในเกี้ยว

เหล่าหญิงสาวรู้สึกค่อนข้างตื่นเต้น แล้วก็รู้สึกไม่เข้าใจ ในใจครุ่นคิดว่าเจ้ามาทำอะไร?

นี่เป็นเรื่องของสำนักชิงซานของพวกเจ้า ต่อให้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดก็ไม่สามารถช่วยเจ้าได้

พวกนางไม่ได้รู้ว่าก่อนหน้านี้ไม่นาน จิ๋งจิ่วได้พักอาศัยอยู่ที่สำนักแม่ชี

ทุกคนไม่รู้ว่าจิ๋งจิ่วจะทำอะไร

ฟางจิ่งเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย

จิ๋งจิ่วกล่าวกับเกี้ยวเล็กผ้าม่านเขียวว่า “เดี๋ยวข้าเอง”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ภายในหุบเขาอิ๋งเซียนพลันมีเสียงฮือฮาดังขึ้นมา

เขาอยากจะได้สิทธิ์ในการเข้าร่วมงานชุมนุมแสวงมรรคาของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยอย่างนั้นหรือ?

หญิงสาวของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยผู้หนึ่งสีหน้าดูแปลกขึ้นมา เพราะนางคือผู้แสวงมรรคาที่สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยเลือกออกมา

เรื่องราวเกี่ยวพันถึงยันต์เซียนวัฒนะ กระทั่งจัวหรูซุ่ยก็ยังออกจากการเก็บตัวมาแย่งชิง ใครจะยอมเอาสิทธิ์ของตัวเองไปมอบให้ศิษย์สำนักอื่น?

ทุกคนต่างมองว่าจิ๋งจิ่วนั้นเพ้อฝัน อวดดีหลงตัวเอง สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยย่อมไม่มีทางตอบรับคำขอนี้แน่นอน

ใครจะไปคิดถึงว่าเสียงเสียงหนึ่งจะดังออกมาจากในเกี้ยวเล็กผ้าม่านเขียวนั้น

“แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”

……………………………………………………………….