หุบเขาอิ๋งเซียนเงียบสงัด
ทุกคนมองดูจิ๋งจิ่วและเกี้ยวเล็กผ้าม่านเขียวหลังนั้น บนใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกตกตะลึงและไม่เข้าใจ คิดว่าเรื่องนี้ช่างเหลวไหลยิ่งนัก
หนานว่างถามคำถามที่ทุกคนอยากจะถามอย่างโมโหเล็กน้อย “เจ้าจะทำอะไรของเจ้า? ศิษย์ชิงซานจะไปลงประลองแทนสำนักอื่นได้อย่างไร?”
“ไม่อาจเป็นตัวแทนชิงซานได้ ข้าก็ได้แต่ต้องใช้วิธีอื่น”
น้ำเสียงของจิ๋งจิ่วเรียบเฉย เป็นเพียงการพูดธรรมดา ไม่ได้มีอารมณ์อื่นใด
แต่ความหมายของเขาชัดเจน เขาจะต้องเข้าร่วมงานชุมนุมแสวงมรรคาให้ได้
หนานว่างโมโห กล่าวตะคอกว่า “หรือเจ้าจะออกจากชิงซาน ไปเป็นแม่ชีอยู่ที่สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย!”
ทุกคนต่างมองจิ๋งจิ่ว รอคำตอบของเขา
สำหรับผู้บำเพ็ญพรตแล้ว การอยู่ภายใต้สำนักนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด การกระทำของจิ๋งจิ่วนั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดถึง
แต่ที่คิดไม่ถึงยิ่งกว่านั้นก็คือสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยกลับตอบตกลง
“ในกฎของงานชุมนุมแสวงมรรคาไม่มีการห้ามเอาไว้ ข้าสามารถเป็นตัวแทนสำนักไหนเข้าร่วมประลองก็ได้ ไม่จำเป็นต้องออกจากชิงซาน”
สีหน้าของจิ๋งจิ่วยังคงเรียบเฉย เหมือนว่ามันเป็นเรื่องที่สมควรจะเป็นเช่นนั้น คล้ายว่าเรื่องที่ตนเองพูดกับคำว่าเหลวไหลนั้นไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกันเลย
ศิษย์หญิงของสำนักเสวียนหลิงลืมตาโต เผยให้เห็นสีหน้าเหลือเชื่อ ก่อนกล่าวว่า “คิดไม่ถึงว่าคุณชายจิ๋งจิ่วจะ…จะ…”
“เป็นคนที่หน้าด้านไร้ยางอายเช่นนี้”
เซ่อเซ่อกล่าวอย่างโมโห “เรื่องที่รับปากข้าเอาไว้ก็ยังไม่ได้ทำ นี่มันกี่ปีมาแล้ว!”
หนานว่างคือคนที่โมโหที่สุดและผิดหวังที่สุดผู้นั้น เพราะนางคิดเยอะกว่านั้น
จิ๋งจิ่วจะเป็นตัวแทนสำนักอื่นลงประลอง แล้วสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยยังตอบตกลงอีก…จิ๋งจิ่วนั้นเป็นศิษย์ของจิ่งหยาง หรือว่านี่จะเป็นความคิดของเหลียนซานเยวี่ย?
นางไม่มีทางยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น แขนเสื้อสะบัดเล็กน้อย เตรียมจะฟาดจิ๋งจิ่วให้สลบแล้วลากตัวออกไป
ฟางจิ่งเทียนมองไปรอบๆ พบว่าศิษย์สำนักอื่นที่ไม่ค่อยถูกกับสำนักชิงซานมีสีหน้าสนุกสะใจ เยวี่ยเชียนเหมินของสำนักจงโจวคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม กล่าวด้วยสีหน้าขึงขังเล็กน้อยว่า “เรื่องนี้เอาไว้ค่อยว่ากัน”
เมื่อพูดประโยคนี้จบ เขาก็เดินขึ้นไปยังที่พักที่ซ่อนตัวอยู่ในยอดเขา
เขาคิดว่าศิษย์ชิงซานคนอื่นๆ จะต้องเดินตามตนเองมา มีเพียงจิ๋งจิ่วคนเดียวที่จะถูกทิ้งอยู่ตรงนั้น
แต่คิดไม่ถึงว่าศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างอย่างเยาซงซาน เหลยอี้จิงต่างก็เดินเข้าไปหาจิ๋งจิ่ว ทำการคารวะทักทายอาจารย์อา จากนั้นถึงจะเดินออกมา
เมื่อสังเกตเห็นเรื่องนี้ สายตาของฟางจิ่งเทียนยิ่งเย็นยะเยือก
กู้ชิงย่อมไม่เดินออกมา เขายืนอยู่ด้านหลังจิ๋งจิ่ว
สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยเองก็เดินออกมาแล้ว
แม่ชีน้อยที่เดิมจะเข้าร่วมงานชุมนุมแสวงมรรคาผู้นั้นถลึงตามองจิ๋งจิ่ว ในใจครุ่นคิดว่าเดี๋ยวกลับไปจะต้องขอให้ท่านผู้อาวุโสสูงสุดยกเลิกคำสั่งให้ได้
จิ๋งจิ่วพากู้ชิงเดินขึ้นไปบนภูเขา ตามหลังศิษย์สำนักชิงซานอยู่ไกลๆ
ต่อให้เขาจะเป็นตัวแทนสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย แต่เขาก็ยังพักอยู่ในที่พักของสำนักชิงซาน เขาไม่ได้เตรียมจะทรยศสำนักจริงๆ
หญิงสาวนางหนึ่งเดินออกมา บนใบหน้ามีกระเล็กน้อยดูน่ารัก นางทำการคารวะจิ่งจิ่วอย่างนอบน้อม
เชวี่ยเหนียงแห่งจิ้งจง อันดับหนึ่งในการประลองวิถีหมากล้อมในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยสามปีซ้อน
นางมองว่าถงเหยียนและจิ๋งจิ่วเป็นอาจารย์ในด้านวิถีหมากล้อมของตน วันนี้เมื่อได้พบ นางย่อมต้องมาทำการคารวะ
จิ๋งจิ่วพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเดินผ่านนางไป
จากนั้นก็มีศิษย์สำนักเสวียนหลิงและสำนักต้าเจ๋อเข้ามาทำความคารวะ พวกเขาล้วนแต่เป็นคนที่ถูกจิ๋งจิ่วช่วยเอาไว้ในที่ราบหิมะ
หลูจิน อู่หมิงจง อินชิงม่อ ทั้งสามคนเคยเป็นสมาชิกในกลุ่มประลองวิถีพรตกลุ่มเดียวกับเขา วันนี้ก็มาเข้าร่วมงานชุมนุมด้วยเช่นกัน ต่างคนต่างเข้ามาทำการคารวะ
เซ่อเซ่อตามขึ้นมาเหมือนนกน้อย ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงนับถือและเย้ยหยันว่า “เจ้านี่ร้ายจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะสนิทสนมกับสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยขนาดนี้”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เจ้ามาหาข้ามีธุระอะไร?”
เซ่อเซ่อคิดในใจว่าเรื่องที่เจ้ารับปากข้าล่ะ? จากนั้นจู่ๆ พลันเห็นเงาสีขาวปรากฏขึ้นมาจากอีกด้านหนึ่ง จึงยิ้มพลางกล่าวว่า “แม่นางของเจ้าผู้นั้นมาแล้ว เอาไว้ข้าจะหาเวลาไปคุยธุระกับเจ้า”
จิ๋งจิ่วเข้าใจแล้ว ดูเหมือนเรื่องที่นางจะทำค่อนข้างยุ่งยาก จึงไม่สะดวกที่จะพูดรายละเอียดต่อหน้าคนอื่นๆ
กู้ชิงพลันกล่าวว่า “อาจารย์ เดี๋ยวข้าไปรอท่านตรงด้านหน้า”
จิ๋งจิ่วมองดูหญิงสาวที่ยังคงดูอ่อนแอตรงใต้ต้นสนที่อยู่ด้านหน้า ก่อนจะส่งเสียงอืมออกมา
แสงอาทิตย์ยามเย็นทะลุลงมาจากยอดสนสีเขียว กลายเป็นเส้นแสงเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วน ตกกระทบลงบนร่างกายของทั้งสองคน
ชุดขาวพลิ้วไหว
กระโปรงขาวพริ้วไหว
ช่างเป็นคู่ที่งดงามจริงๆ
เมื่อเห็นภาพนี้ ภายในใจของเหล่าผู้บำเพ็ญพรตที่อยู่ในหุบเขาอิ๋งเซียนต่างเกิดความรู้สึกเช่นนี้
ผู้บำเพ็ญพรตที่เคยเข้าร่วมการประลองวิถีพรตในที่ราบหิมะเมื่อครั้งนั้นคิดถึงภาพนี้เมื่อในอดีตขึ้นมา
เหล่าผู้บำเพ็ญพรตค่อยๆ แยกย้าย ทิ้งต้นสนที่อยู่ริมผาและความเงียบสงบเอาไว้ให้ทั้งสองคน
ที่นี่คือเขาอวิ๋นเมิ่ง ไม่มีใครอยากทำให้เซียนไป๋เจ่าไม่ชอบ
“ผู้อาวุโส…กั้วสบายดีไหม?”
ไป๋เจ่ามองเขาพลางถามอย่างสงสัย
หากกั้วตงเป็นผู้อาวุโสที่ศิษย์พี่ถงเหยียนคาดเดาเอาไว้ผู้นั้นจริงๆ เหตุใดนางถึงพ่ายให้แก่เทพกระบี่ที่ทะเลตะวันตก แล้วยังถูกจิ๋งจิ่วช่วยชีวิตเอาไว้ได้?
มิทันรอให้จิ๋งจิ่วเอ่ยปาก นางกล่าวต่อไปว่า “สามปีนี้ท่านอยู่กับนางตลอดหรือ? ท่านกลายเป็นศิษย์ของนางใช่หรือเปล่า สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยถึงได้ตกลงให้ท่านเป็นตัวแทนลงประลองได้?”
นางมีคำถามมากมาย แต่ในระหว่างที่พูด นางกลับได้รับคำอธิบายออกมาด้วยตัวเอง
การคาดคะเนเช่นนี้มีเหตุผลอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังสอดคล้องกับความต้องการของนาง
จิ๋งจิ่วคิดไม่ถึงว่านางจะเดาออกว่าตนคือคนที่อยู่ในทะเลตะวันตกผู้นั้น รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “นางสบายดี”
ไป๋เจ่ามองดูกระบี่เหล็กที่อยู่ด้านหลังเขา รู้สึกตกใจเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “ตอนอยู่ที่เมืองเจาเกอรู้สึกว่าสภาวะของท่านมีความก้าวหน้า ข้ายังนึกว่าเจวี่ยนเหลียนเหรินมองผิดไป”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ ประเดี๋ยวจะมีคนมาหาเรื่อง เลยปิดบังความสามารถเอาไว้หน่อย”
น้ำเสียงของเขาเฉยชา แต่ไป๋เจ่าได้ฟังกลับรู้สึกหวานเป็นอย่างมาก เพราะนี่แสดงถึงความเชื่อใจ
ยิ่งไปกว่านั้นหากเป็นเมื่อก่อน เขาคงจะเกียจคร้านที่จะอธิบายแน่นอน นางรู้สึกว่าท่าทีที่เขามีต่อตนเองเปลี่ยนไปมากจริงๆ
“อย่างนั้นท่านจะเป็นตัวแทนสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยลงประลองหรือ?”
ไป๋เจ่ากล่าวอย่างกังวลใจ “เกรงว่าอาจารย์ของชิงซานคงไม่เห็นด้วย จะต้องโกรธมากอย่างแน่นอน”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ที่ชิงซาน ข้าไม่มีอาจารย์”
ไป๋เจ่าถึงได้คิดขึ้นมาได้ว่าเขาเป็นศิษย์หลานของนักพรตจิ่งหยาง ตอนนี้ในชิงซานไม่มีใครเป็นอาจารย์เขาอย่างที่ว่าจริงๆ จากนั้นจู่ๆ พลันคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา รู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย จึงลูบหน้าอกเบาๆ พลางกล่าวว่า “โชคดีที่พวกเราไม่ได้เป็นศิษย์สำนักเดียวกัน ไม่อย่างนั้นข้ามิต้องเรียกท่านว่าอาจารย์อาหรอกหรือ?”
จิ๋งจิ่วคิดในใจ ควรจะเรียกปรมาจารย์อาต่างหากล่ะ
ไป๋เจ่ากล่าวอย่างจริงจังว่า “รายละเอียดงานชุมนุมแสวงมรรคาครั้งนี้ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร รู้เพียงแต่ว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับดินแดนแห่งความฝันอวิ๋นเมิ่ง เอาไว้ข้าทราบรายละเอียดแล้ว ข้าจะมาบอกท่านอีกทีหนึ่ง”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ตกลง”
……
……
ที่พักที่สำนักจงโจวจัดให้สำนักชิงซานอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของหุบเขาอิ๋งเซียน เป็นเรือนไม้สิบกว่าหลังตั้งกระจัดกระจายอยู่ด้านหน้าหน้าผา
เรือนไม้เหล่านั้นสร้างขึ้นมาจากไม้ล้ำค่า มีชื่อว่าเรือนลอกคราบ
ที่มันมีชื่อที่น่ากลัวเช่นนี้ เป็นเพราะผิวนอกของเรือนไม้เหล่านั้นถูกช่างค่อยๆ ใช้มีดแกะสลักให้เป็นรอยจำนวนนับไม่ถ้วนอย่างประณีต กลายเป็นลวดลายที่ละเอียดงดงามและแปลกตา คล้ายกับผิวที่ลอกคราบออกมาของงู สัมผัสเวลาที่จับมีความสบายอย่างมาก เวลานั่งหรือนอนก็สบายอย่างมากเช่นเดียวกัน
กู้ชิงพาจิ๋งจิ่วเดินเข้าไปในเรือนไม้หลังหนึ่ง
นอกรั้วที่อยู่ด้านหลังเรือนไม้คือหน้าผา ด้านล่างมีเมฆลอยล่อง ดูคล้ายดินแดนเซียน
จิ๋งจิ่วมองเขา
กู้ชิงเรียกกระบี่ออกมา ก่อนจะบินไปในอากาศที่อยู่รอบๆ อย่างไร้ซุ่มเสียง ลำแสงกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนถักทอเป็นเหมือนตาข่าย จากนั้นค่อยๆ หายไป
……………………………………………………………………..