ตอนที่ 387 วางยา
“ต่อให้เมื่อครู่เจ้าตรวจดูยาพิษในปากของเขาแล้ว ทว่าเขาก็มีชีวิตอยู่ได้มินานหรอก” อันหลิงเกอกล่าวพลางเดินเข้ามา จากนั้นก็ใช้มีดสั้นที่เหน็บอยู่ข้างเอวตัดผมของคนผู้นั้น
บนศีรษะมีรูขนาดเล็กนับมิถ้วน ดูก็รู้ว่าเขาบาดเจ็บมาก่อนหน้านี้และมิเกี่ยวกับชิงเฟิง
“เป็นไปได้อย่างไรขอรับ ! ” ชิงเฟิงรู้สึกตระหนกขึ้นมา สถานการณ์เช่นนี้มิว่าอยู่ต่อหน้าผู้ใดก็คงอยากอาเจียนทั้งนั้น ทว่าพระชายาทำเหมือนมิมีอันใดเกิดขึ้น
“ที่มันพูดเรื่องพิษหนอนกู่เพราะแค่ต้องการให้ต้าโจวเกิดความหวาดกลัวเท่านั้น” มู่จวินฮานเอ่ยขึ้นบ้าง
“อืม” อันหลิงเกอพยักหน้าแล้วเริ่มอธิบาย “สถานการณ์ในตอนนี้เขาอยากให้ทุกคนได้รับรู้ผ่านท่านอ๋อง แสดงว่าเขาทราบความคิดของฮ่องเต้เป็นอย่างดี”
ถูกต้อง เรื่องนี้ฮ่องเต้ต้องให้มู่จวินฮานเป็นคนไปจัดการอย่างแน่นอน
เรื่องที่อันตรายจนถึงแก่ชีวิต ผู้ที่ฮ่องเต้นึกถึงมีเพียงมู่จวินฮานเท่านั้น
“อืม…” ชิงเฟิงก็ไตร่ตรอง ท่านอ๋องและพระชายากล่าวมิผิดจริง ๆ
ซึ่งเบาะแสที่ทำให้พวกเขาได้พบสายลับก็น่าสงสัยเพราะหลังจากวางยาแล้วจึงโดนพบตัวง่าย ๆ ดูท่าอีกฝ่ายเตรียมการให้เป็นเช่นนี้ตั้งแต่แรก
“เช่นนั้น…” ชิงเฟิงยังคิดอันใดมิออกจึงมองไปยังมู่จวินฮานและอันหลิงเกอ
แต่ยังมิทันได้เอ่ยปากก็มีราชโองการมาถึงเสียก่อน
“อ๋องมู่ได้รับการแต่งตั้งเป็นพิเศษเพื่อไปตรวจสอบสถานการณ์โรคระบาดบริเวณแม่น้ำซ่างกวน ต้องรบกวนเวลาหลังแต่งงานของอ๋องมู่ ข้าจักปูนบําเหน็จให้อย่างแน่นอน!”
ราชโองการที่ไร้พิธีรีตองอันใด แต่ทำให้คนมิสามารถปฏิเสธได้
“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา”
ด้วยนิสัยของมู่จวินฮานแล้วต่อให้ฝ่าบาทมิมีคำสั่ง เขาย่อมไปตรวจสอบอยู่แล้ว
เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตของผู้คนมากมาย มิว่าอย่างไรเขาก็ทนมองเฉย ๆ มิได้
“ข้าจักไปกับท่านเจ้าค่ะ ! ” อันหลิงเกอรีบเอ่ยออกมาทันทีและเกรงว่าเขาจักปฏิเสธ
“ได้”
ทั้งที่มู่จวินฮานขมวดคิ้วอยู่ ทว่าสุดท้ายก็ยอมตกลง “เตรียมตัวออกเดินทาง เจ้าไปเก็บของเถิด”
อันหลิงเกอได้ยินดังนั้นก็มิรอช้า นางรีบกลับไปเก็บของที่เรือนทันที
“ท่านอ๋องจักให้พระชายาไปด้วยหรือขอรับ ? ” ชิงเฟิงรู้ดีว่าการเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก คาดมิถึงว่าท่านอ๋องจักอนุญาตให้พระชายาร่วมเดินทางไปด้วย
“ออกเดินทางทันที ! ”
มู่จวินฮานออกคำสั่งด้วยใบหน้าเคร่งขรึม เขาจักปล่อยให้อันหลิงเกอเดินทางไปด้วยมิได้
เพียงแต่เขาคาดมิถึงว่าอันหลิงเกอล่วงรู้ความคิดตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ตอนได้ยินเรื่องนี้ตรงด้านนอกประตู นางได้สั่งสาวใช้ไปเตรียมห่อผ้าไว้เป็นที่เรียบร้อย ยามนี้จึงมายืนรอมู่จวินฮานอยู่ที่หน้าประตู
“ท่านอ๋องพูดมิเป็นคำพูดเช่นนี้ ถือว่ามิควรนะเจ้าคะ” อันหลิงเกอพูดพร้อมยิ้มออกมาเพราะนางรู้ดีว่าเขาทำเพื่อนาง แต่ในเมื่อเป็นสามีภรรยากันแล้วก็ควรมีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้านมิใช่หรือ
“ช่างเถิด” สุดท้ายมู่จวินฮานก็ส่ายหน้าอย่างจำยอม มิว่าอย่างไรเขาก็สู้นางมิเคยได้อยู่แล้ว
อันหลิงเกอมิได้พาสาวใช้ไปด้วยเพราะเดิมทีนางมิจำเป็นต้องมีคนคอยปรนนิบัติ การเดินทางครั้งนี้อันตรายยิ่งนัก นางจึงมิอยากให้คนอื่นพลอยตกอยู่ในอันตรายไปด้วย
“เกอเอ๋อ เจ้ามีใจเป็นห่วงบริวาร เหตุใดจึงมิเข้าใจความเป็นห่วงที่ข้ามีต่อเจ้าบ้างเล่า ? ” มู่จวินฮานเอ่ยพร้อมคิ้วขมวดมุ่น อันหลิงเกอจึงพูดปลอบ
“สามีภรรยาก็เสมือนคนเดียวกัน หากท่านใส่ใจตนเองจริงก็ต้องมิไปเพียงลำพัง ข้ารู้เรื่องการแพทย์อยู่บ้าง เชื่อว่าจักช่วยท่านได้แน่”
อันหลิงเกอแม้มิค่อยมั่นใจในเรื่องนี้มากนัก แต่นางรู้สึกว่าถ้าปล่อยให้มู่จวินฮานไปเพียงลำพังก็เกรงว่าเขาอาจติดกับดักของศัตรูเอาได้
และการที่นางตามไปด้วยก็เพื่อช่วยชีวิตของราษฎร
“ช่างเถิด ข้าเถียงเจ้ามิเคยชนะสักครั้ง” มู่จวินฮานส่ายหน้าอย่างจนปัญญา สุดท้ายจึงยอมตามใจนาง
“ท่านอ๋อง ด้านหน้าก็จักถึงหมู่บ้านแรกแล้วขอรับ”
ผ่านไปมิถึงหนึ่งเค่อรถม้าก็หยุดลง มู่จวินฮานที่กำลังเตรียมลงจากรถม้าก็ถูกอันหลิงเกอเรียกไว้เสียก่อน
“ท่านช่วยแบ่งยานี้ให้ทุกคนด้วย แม้มิรู้ว่าจักมีประโยชน์หรือไม่ แต่ก็อาจช่วยเลี่ยงมิให้เกิดปัญหาขึ้นได้เจ้าค่ะ”
เมื่อครู่นางพกสิ่งของจำเป็นและยาที่มีผลทำให้หนอนกู่เกิดอาการสลบ นางเตรียมไว้นานแล้วในที่สุดก็ถึงเวลาได้ใช้งานเสียที
มู่จวินฮานนำยาไปให้ชิงเฟิง จากนั้นก็นำมาทาบริเวณที่สัมผัสได้ง่ายให้นางด้วยเช่นกัน
รู้สึกได้ถึงมือของเขาที่สัมผัสอยู่บริเวณต้นคอ อันหลิงเกอก็อดตัวสั่นขึ้นมามิได้
“รีบไปดูสถานการณ์เถิด”
ภายในหมู่บ้านเต็มไปด้วยกลิ่นของคนตาย เหตุใดเพียงวันเดียวถึงได้รวดเร็วเช่นนี้ ?
“มิใช่ พิษหนอนกู่มิมีทางนำมาวางเมื่อวานนี้อย่างแน่นอน ! ” อันหลิงเกอเห็นชาวบ้านที่นั่งอยู่ริมทาง บ้านเรือนต่าง ๆ ล้วนว่างเปล่า แต่ริมทางเดินเต็มไปด้วยผู้คน
เมื่อเห็นสถานการณ์ของชาวบ้านแล้ว นางก็คิดคำนวณภายในใจ เกรงว่าพิษคงถูกวางไว้มากกว่าสามวันแล้ว
“พระชายาทางนั้นขอรับ…” ชิงเฟิงคล้ายเห็นอันใดบางอย่าง เขามิได้เรียกมู่จวินฮานแต่เรียกอันหลิงเกอแทน
อาจเพราะการปรากฏตัวของนางทำให้คนรู้สึกสบายใจ เกือบทุกคนในที่นั้นจึงให้ความสนใจและต้องการพึ่งพานาง
มู่จวินฮานพามาแค่คนที่สนิท คนพวกนี้ล้วนรู้จักอันหลิงเกอเป็นอย่างดีและรู้ดีว่าความสามารถของนางมิธรรมดา
เมื่ออันหลิงเกอหันไปก็พบว่าบนพื้นเต็มไปด้วยเด็กเล็ก
แต่อันหลิงเกอมิสามารถยื่นมือไปสัมผัสได้จึงต้องใช้ด้ามกระบี่ที่ห่อผ้าไว้แล้วผลักร่างของเด็กคนนั้นออกห่าง
ช่างน่าสังเวชเหลือเกิน
ใช้คำนี้มิเกินจริงแม้แต่น้อยเพราะใบหน้าของเด็กคนนั้นเน่าเปื่อยและดูน่ากลัวอย่างยิ่ง
“อ้าก…”
ราวกับเจอเรื่องน่าตกใจ เด็กพวกนั้นขดตัวนอนกับพื้นพร้อมร้องไห้ออกมา ทุกอย่างตกอยู่ในความวุ่นวายเพียงชั่วพริบตา
“เสียงร้องไห้ดังเพียงนี้ เหตุใดจึงมิเห็นพ่อแม่ของพวกเขาเลย ! ”
“ใช่แล้ว คนในเมืองนี้มิน่าจักตายกันหมด พวกเด็กๆ อยู่ตรงนี้ แล้วพวกผู้ใหญ่ไปอยู่ที่ไหน ? ”
พวกทหารก็มิเข้าใจเช่นกันเพราะภาพตรงหน้าทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวจับใจ
“มิต้องมองหาแล้ว พวกเขามิมากันหรอกเพราะเด็กพวกนี้ถูกทิ้งจากครอบครัวไปแล้ว”
เด็กมากมายถูกนำมากองรวมกันไว้ที่นี่ เห็นได้ชัดว่าถูกทอดทิ้งไว้อย่างแน่นอน
ดูท่าทางแล้วพิษหนอนกู่คงเป็นอันตรายโดยเฉพาะต่อเด็ก
“ดูแลพวกเขาให้ดี นำยาพวกนี้ไปโรยไว้รอบ ๆ และบนตัวของพวกเขาด้วย”
อันหลิงเกอหยิบยาออกมาจากห่อผ้า
“ขอรับ”
เหล่าทหารเชื่อฟังคำสั่งอันหลิงเกอโดยไร้ข้อสงสัย หลังจากโรยยาพวกนั้นเสร็จ เสียงร้องด้วยความทรมานของพวกเด็ก ๆ ก็เหมือนเบาลงแล้วหลับไป
“เป็นเพราะอันใดหรือ ? ” มู่จวินฮานถามอันหลิงเกออย่าง ‘ถ่อมตน’
“พิษนี้ทำอันตรายต่อเด็กมากเป็นพิเศษ พวกชาวบ้านคงทราบถึงปัญหานี้เช่นกัน พ่อแม่คงคิดว่าเป็นโรคระบาดในเด็กเล็กจึงแยกพวกเขาออกมาเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอถอนหายใจ คนที่วางยาพิษนับว่าใจร้ายมาก ถึงขั้นใช้วิธีนี้มาทำร้ายหมู่บ้านและตำบลหนึ่งได้ถึงเพียงนี้
ดูท่าทางแล้วหมู่บ้านที่เหลือก็คงมิต่างกันเท่าไร
“พวกเจ้าแบ่งยาที่เหลือไปช่วยที่อื่นด้วย”
สถานการณ์เยี่ยงนี้ นางประเมินความรุนแรงของพิษหนอนกู่แล้วพบว่าผู้ใหญ่น่าจักมีชีวิตรอดได้เกินสิบวัน แต่พวกเด็ก…เกรงว่าอย่างมากคงอยู่ได้มิเกินเจ็ดวัน
“รับทราบขอรับ ! ”
หลังจากทุกคนกระจายตัวไปแล้ว อันหลิงเกอก็ดึงมือของมู่จวินฮานให้เดินมาข้างกาย