ตอนที่ 386 เข้าเฝ้าฮ่องเต้
เนื่องจากเป็นงานสมรสพระราชทาน ดังนั้นตามกฎแล้วอย่างไรก็ต้องเข้าวังเพื่อเข้าเฝ้าฝ่าบาท
วันที่สอง มู่จวินฮานจึงพาอันหลิงเกอเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ผู้ไร้ความยินดีกับงานสมรสในครั้งนี้
หากกล่าวถึงคนที่ไร้ความสุขต่อการงานสมรสในครั้งนี้มากที่สุดก็คงเป็นฮ่องเต้นี่เอง
แม้อันหลิงอีและลู่จ้านจักมิพอใจ ทว่าก็มิเหมือนกับฮ่องเต้เพราะสิ่งที่สนพระทัยคือตำแหน่งและอำนาจของพระองค์เองห้ามโดนลดทอนเป็นอันขาด
“เมื่อวานนี้อ๋องมู่และพระชายาพักผ่อนเพียงพอหรือไม่ ? ”
ฮ่องเต้ทำเหมือนว่าตรัสถามเรื่องทั่วไป แต่ความจริงทรงกำลังทอดพระเนตรมู่จวินฮานอย่างประเมินอยู่
“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงให้เวลากระหม่อมและพระชายาพักผ่อนหนึ่งวันพ่ะย่ะค่ะ”
มู่จวินฮานทูลไปพร้อมเหลือบมองอันหลิงเกอจนทำให้คนคิดกันไปต่าง ๆ นานา
หากตอนนี้มิได้อยู่ในท้องพระโรง อันหลิงเกอก็อยากตำหนิเขาแรง ๆ สักที เหตุใดเขาจึงหน้ามิอายเช่นนี้ !
“วันนี้เรียกพวกเจ้าเข้าวังเพราะมีอีกเรื่องที่อยากถามความเห็นจากเจ้า”
หืม ?
ดูจากสถานการณ์แล้วอันหลิงเกอก็รู้ได้เช่นกันว่าฮ่องเต้จักตรัสเรื่องใด
“ทูลเชิญฝ่าบาทตรัสได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
อันหลิงเกอหันไปมองมู่จวินฮานที่อยู่ข้างกายแล้วก็รู้สึกได้ว่าภายนอกเขาเหมือนเคารพและนอบน้อมต่อฮ่องเต้ แต่ที่จริงแล้วเขาหาได้เกรงกลัวแม้แต่น้อย
“ครั้งนี้เจ้าชนะศึกกลับมา คงรู้ว่าแคว้นชิงเยว่มิได้ถูกกำจัดไปอย่างสิ้นซาก ตอนนี้เรื่องที่ข้าห่วงก็คือผู้ที่จักขึ้นมาสืบราชบัลลังก์คนต่อไป”
เป็นดั่งที่คิดเอาไว้ อันหลิงเกอรู้ดีว่าเรื่องนี้มิอาจหลบเลี่ยงได้ แต่มู่จวินฮานมิได้มีความหวาดวิตกอันใด
คำถามเช่นนี้หากตกไปอยู่กับขุนนางคนอื่นก็คงรู้สึกหวาดกลัวเป็นแน่
ในเมื่อฮ่องเต้ถึงขั้นตรัสถามด้วยพระองค์เอง คงเกิดความระแวงว่าจักมีการรวมสมัครพรรคพวกขึ้นมาก่อกบฏได้
ซึ่งมู่จวินฮานแตกต่างออกไปเพราะเขามิเคยไปเข้าร่วมกับผู้ใด เขายอมถูกมองว่าตัวคนเดียวไร้การสนับสนุนและมิเคยมีใจคิดคดแม้แต่น้อย
ทว่าการกระทำของมู่จวินฮานมิได้อยู่ในพระทัยของฮ่องเต้ มิหนำซ้ำยังถูกมองว่ามีความดีความชอบเกินหน้าเจ้านายไปอีก
เมื่อคิดเช่นนี้อันหลิงเกอก็อดส่ายหน้าอย่างระอามิได้เพราะฮ่องเต้ไร้ความปรีชาใด ๆ อีกต่อไป
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมมิเต็มใจกล่าวพ่ะย่ะค่ะ”
มิเต็มใจอย่างนั้นหรือ ?
คำตอบของมู่จวินฮานทำให้อันหลิงเกออดมองอย่างชื่นชมมิได้ คำว่า ‘มิเต็มใจ’ ของเขาเป็นความในใจของใครหลายคนเช่นกัน แต่มีเพียงเขาคนเดียวที่กล้าทูลออกมาตามตรง
“หืม ? ” ฮ่องเต้มิได้กริ้ว ราวกับว่าทรงคาดเดาคำตอบของมู่จวินฮานไว้อยู่แล้ว
“ทูลฝ่าบาท เมื่อวันนี้เป็นวันที่กระหม่อมและพระชายาเข้ามาคำนับฝ่าบาทจึงมิได้เตรียมคำตอบมา อีกทั้งเรื่องนี้คือเรื่องภายในราชวงศ์ กระหม่อมมิกล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวพ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดของมู่จวินฮานทำให้ความหวาดระแวงของฮ่องเต้เริ่มลดลงบ้าง สายพระเนตรจึงดูอ่อนโยนมากขึ้น
“อ๋องมู่เพิ่งแต่งงาน ที่จริงข้ามิควรนำเรื่องบ้านเมืองมากวนใจเจ้าในเวลานี้ แต่สายลับได้แจ้งข่าวว่าตอนนี้ไส้ศึกของแคว้นชิงเยว่ลักลอบเข้ามาในต้าโจว เจ้าควรรีบจัดการให้เรียบร้อย”
มู่จวินฮานตอบรับแล้วจูงมืออันหลิงเกอออกจากวังหลวงโดยมิเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก
เรื่องของแคว้นชิงเยว่ อันหลิงเกอก็รู้ดี แม้สายลับของนางสู้สายลับของวังหลวงหรือของจวนอ๋องมู่มิได้ ทว่าก็สันทัดในเรื่องการหาข่าวมิน้อย
เมื่อกลับถึงจวน สาวใช้และบ่าวมากมายก็พากันมายืนต้อนรับ
“ขอต้อนรับท่านอ๋องและพระชายากลับจวน”
พวกเขาทราบดีว่าฐานะของอันหลิงเกอมิธรรมดา ตัวอันหลิงเกอก็สามารถปรับตัวเพื่อตอบสนองพิธีต้อนรับเช่นนี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ
“พระชายาช่วยดูบัญชีพวกนี้ด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
“พระชายา นี่เป็นกุญแจของห้องเก็บสมบัติเจ้าค่ะ”
“พระชายา นี่คือป้ายสั่งการทหารยามในจวนเจ้าค่ะ”
“พระชายา…”
เรื่องต่าง ๆ ในจวนถูกส่งมาให้นาง อันหลิงเกอเพิ่งเข้าใจความลำบากที่แท้จริงในการดูแลจวนก็วันนี้
เมื่อก่อนตอนอยู่ในจวนโหว นางมีคนของตนที่สามารถเรียกใช้ได้ ทว่าตอนนี้อยู่ในจวนอ๋องมู่…
พอนึกถึงตรงนี้อันหลิงเกอก็รีบเดินไปยังห้องหนังสือทันที
“ห่างกันเพียงครู่เดียว พระชายาคงมิได้คิดถึงข้าอีกแล้วใช่หรือไม่ ? ” มู่จวินฮานเงยหน้าขึ้น พอเห็นอันหลิงเกอ มุมปากเขาจึงค่อย ๆ โค้งขึ้น
“มู่…ท่านอ๋อง ข้าแค่อยากมาถามว่าในเมื่อมีเรื่องในจวนมากมายเช่นนี้ก็ขอให้คนของข้าเข้ามาช่วยในจวนได้หรือไม่เจ้าคะ”
อันหลิงเกอกล่าวจบก็มองมู่จวินฮานอย่างมีความหวัง
การทำเช่นนี้ อันที่จริงแล้วมิเหมาะสมเท่าไร แต่มู่จวินฮานก็พยักหน้าให้นาง
อันหลิงเกอเห็นว่าเป็นไปตามต้องการแล้วจึงเตรียมตัวเดินออกมา แต่เขาเรียกนางไว้เสียก่อน
“ต่อไปเรียกข้าว่าจวินฮานก็พอเพราะอยู่ในจวนเจ้ามิต้องมากพิธีหรอก”
น้ำเสียงของมู่จวินฮานทำให้ในใจของนางสั่นไหว ตอนนี้ความรู้สึกที่นางมีต่อเขาคือการยอมรับด้วยใจจริง หากเป็นเช่นนี้ต่อไปก็เกรงว่านางต้องจมดิ่งในความรู้สึกนี้เป็นแน่
“เจ้าค่ะ” ริมฝีปากบางได้รูปเอ่ยออกมาเบา ๆ ก่อนจักรีบเดินจากไป
เห็นท่าทางตื่นตระหนกของนางที่เดินจากไปเมื่อสักครู่ มู่จวินฮานก็อดส่ายหน้าพร้อมยิ้มออกมามิได้
ผู้หญิงคนนี้..
“เรียนท่านอ๋อง เราจับสายลับของแคว้นชิงเยว่ได้คนหนึ่งขอรับ” ชิงเฟิงเดินเข้ามาด้วยท่าทางเคร่งขรึม
“นำตัวมา”
มู่จวินฮานกล่าวจบก็รู้สึกได้ถึงท่าทางมีพิรุธของชิงเฟิง
“ยังมีเรื่องอันใดอีก ? ” คิ้วของมู่จวินฮานขมวดแน่น ฝั่งอันหลิงเกอยังไปได้มิไกลนัก เมื่อเห็นชิงเฟิงเดินไปด้วยท่าทางรีบร้อน นางจึงเดินย้อนกลับมาและได้ยินสิ่งที่พวกเขาสนทนากันพอดี
“เรียนท่านอ๋อง ตอนที่พบมันกำลังวางยาในแม่น้ำซ่างกวน ตอนนี้แม่น้ำทั้งสายปนเปื้อนด้วยยาพิษแล้วขอรับ”
ว่าอันใดนะ !
มู่จวินฮานคาดมิถึงว่าแคว้นชิงเยว่จักบ้าดีเดือดได้ถึงเพียงนี้ ลงมือโดยมิเห็นแก่ชีวิตของราษฎรแม้แต่น้อย
แม่น้ำซ่างกวนแม้มิใหญ่มาก แต่ก็ไหลผ่านทั้งสามตำบลโดยมีราษฎรนับหมื่นชีวิตอาศัยอยู่ หากเกิดภัยขึ้นเช่นนี้ เขาเองก็มิอยากนึกถึงผลที่จักตามมาเลย
“ยังมีอีกเรื่องขอรับ…” ชิงเฟิงพูดจาอึกอัก
“พูดมา ! ” มู่จวินฮานหมดความอดทน
“พิษนี้คาดว่าเป็นพิษหนอนกู่ขอรับ เมื่อเกิดที่ริมน้ำแล้วผู้คนไปสัมผัสก็จักเริ่มแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ภายในสิบวันคนผู้นั้นจักตายได้ขอรับ” เรื่องพวกนี้เขาสอบสวนมาจากสายลับอีกที ได้ฟังแล้วเขาก็อดขนลุกขึ้นมามิได้
“…” มู่จวินฮานเคร่งขรึมและมิได้กล่าวสิ่งใดออกมาอีก เรื่องนี้ใหญ่เกินไปเพราะเส้นทางสัญจรไปมาระหว่างแต่ละหมู่บ้านยากที่จักควบคุม หากโดนพิษแล้วถึงแก่ชีวิตก็ยังมิเท่าไร ทว่าพิษหนอนกู่สามารถแพร่กระจายได้…
ครั้งนี้เกรงว่ามิใช่แค่ผู้ที่อยู่ใกล้ลุ่มน้ำจักเป็นอันตรายเสียแล้ว
“ไปนำตัวมันมา ! ” มู่จวินฮานขบกรามแน่น
ส่วนอันหลิงเกอหลบอยู่ตรงประตูโดยมิให้พวกเขาเห็น
นางรู้นิสัยของมู่จวินฮานดี หากเขารู้ว่านางอยู่ตรงนี้ก็ต้องมิอยากให้นางรับรู้ด้วยเป็นแน่
ดังนั้นนางจึงเลือกซ่อนตัวเพราะหากเกิดเรื่องอันใดขึ้นนางก็ทนมองเขาไปเสี่ยงอันตรายผู้เดียวมิได้
“ท่านอ๋อง คือมันผู้นี้ขอรับ”
อีกฝ่ายดูบาดเจ็บมิน้อย คงจักเป็นฝีมือของชิงเฟิงนั่นเอง
“อืม” มู่จวินฮานพยักหน้ารับพลางมองคนที่อยู่เบื้องหน้าแล้วค่อย ๆ ย่อกายลง
“ในเมื่อเจ้าลงมือกับต้าโจวเช่นนี้ เหตุใดจึงยอมบอกเรื่องพิษหนอนกู่ ? ”
มู่จวินฮานมิเชื่อว่ามันจักกลัวการทรมานจนเปิดปากพูด คนผู้นี้แค่มองก็รู้ว่าหัวแข็งและต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่
“ในที่สุดข้าก็ได้พบอ๋องมู่แห่งต้าโจว ! ” มันกล่าวจบ อันหลิงเกอก็พึมพำออกมาเบา ๆ ว่าแย่แล้ว
มู่จวินฮานหมายยื่นมือไปขวางแต่ก็ช้าก้าวหนึ่งอยู่ดีเพราะคนผู้นั้นชิงฆ่าตัวตายด้วยยาพิษเสียแล้ว
“บ่าวทำงานมิได้เรื่อง เมื่อครู่มิได้ตรวจสอบภายในปากของมันให้ดีขอรับ” ชิงเฟิงตำหนิตนเองออกมา
“มิใช่ความผิดของเจ้า” เป็นอันหลิงเกอที่เดินเข้ามาด้านใน