ทางหนีทีไล่สุดท้าย โดย Ink Stone_Fantasy
เหมียวอี้กลับไม่ถือสา เขาเองก็ถือว่าคบหาเป็นเพื่อนกับฉินเวยเวยมาหลายปี เพียงยิ้มบางๆ แล้วสุดท้ายก็เดินเข้ามานั่ง ชี้ไปยังทั้งสอง แล้วถามต่อว่า “พวกเจ้าสองคนนี่ยังไงกัน?”
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์รินสุราให้ทั้งสาม ฉินเวยเวยกล่าวขอบคุณ
อวิ๋นจือชิวรู้ว่าเขาอยากจะถามอะไร จึงเล่าสถานการณ์ให้ฟัง บอกว่านางกับฉินเวยเวยถูกชะตาเหมือนรู้จักกันมานาน ตอนที่เหมียวอี้ไม่อยู่ อวิ๋นจือชิวมักจะเรียกนางมาคุยเล่นในตำหนัก เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ ทั้งสองก็กลายเป็นพี่น้องกันแล้ว ตอนที่ไม่มีคนนอกอยู่ด้วย อวิ๋นจือชิวก็จะเรียกฉินเวยเวยว่าน้องสาว ส่วนฉินเวยเวยก็จะนับถืออวิ๋นจือชิวเป็นพี่สาว
แน่นอนว่าในช่วงแรกฉินเวยเวยเอ่ยปากลำบากมาก เพราะทั้งสองฝ่ายมีฐานะแต่งต่างกัน แต่ภายใต้การริเริ่มของอวิ๋นจือชิว ทำแบบนี้ไม่กี่ร้อยปีก็ชินแล้ว เวลาไม่มีคนนอกก็จะเรียกอวิ๋นจือชิวว่าพี่สาว ถึงอย่างไรเหมียวอี้ก็ไม่อยู่ บางครั้งฉินเวยเวยถึงกับโดนรั้งให้อยู่ค้างคืนกับอวิ๋นจือชิวด้วยซ้ำ การที่ทั้งสองนอนร่วมเตียงและพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกันก็เป็นเรื่องปกติ ตอนนี้เหมียวอี้กลับมาแล้ว นางย่อมไม่สะดวกจะอยู่ค้างคืนด้วยอีก
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” เหมียวอี้เข้าใจในทันที เขาเหลือบมองอวิ๋นจือชิวหลายครั้ง พอจะเข้าใจวิธีการของนางอยู่บ้าง นางออกจากทะเลทรายม่านเมฆามาอยู่ที่แดนเซียน ประกอบกับที่เหมียวอี้เพิ่งเลื่อนขั้นจากประมุขสองตำหนักเป็นประมุขปราสาทดำเนินสุริยัน แม้แต่พวกเหยียนซิวก็ยังไม่รู้สถานการณ์ของที่นี่ชัดเจน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอวิ๋นจือชิวเลย ยิ่งไปกว่านั้น ถึงอย่างไรนางก็เป็นฮูหยินของประมุขปราสาท ยังต่างกับประมุขปราสาทตัวจริง สานสัมพันธ์กับฉินเวยเวยเอาไว้เพื่อผูกมัดให้หยางชิ่งคุมกำลังพลเบื้องล่างให้มั่นคง ก็คือเรื่องที่จำเป็นมาก
ครั้งแรกที่ไปถ้ำคล้อยบูรพา เขาก็โดนคนกลั่นแกล้ง ตอนเลื่อนขั้นเป็นประมุขเขาเจิ้นไห่ก็โดนคนกลั่นแกล้ง พอเลื่อนขั้นเป็นประมุขจวนเมฆธาราก็โดนคนกลั่นแกล้งอีก ตอนเลื่อนขั้นเป็นประมุขสองตำหนักก้ยังมีคนมาท้าทาย พอมาที่นี่…คนส่วนใหญ่ของที่นี่ล้วนเป็นกำลังพลเก่าของเฉิงอ้าวฟาง เฉิงอ้าวฟางโดนแย่งอาณาเขตไปหนึ่งปราสาท ในใจนางจะต้องไม่ปลื้มแน่นอน ถ้าไม่มีใครก่อกวนก็แปลกแล้ว
ไม่ต้องถามก็รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ใช้พลังความคิดไปมากเท่าไรเพื่อคุมปราสาทดำเนินสุริยันตอนที่เขาไม่อยู่ ยิ่งอาณาเขตใหญ่โต ปัญหาก็ยิ่งเยอะ สามารถอาศัยตำแหน่งฮูหยินนั่งออกคำสั่งอยู่บนบัลลังก์ประมุขปราสาทนั้นไม่ง่ายเลย ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่เป็นทางการ จึงพูดอะไรไม่สะดวก ต้องรับแรงกดดันทั้งข้างบนทั้งข้างล่าง จะเห็นได้ช่วงแรกลำบากขนาดไหน
พอนึกถึงจุดนี้ เขาก็รู้สึกผิดนิดหน่อย ตอนที่เขานำเครื่องประดับไปมอบให้ปี้เยว่ฮูหยิน ใครจะไปคิดว่าจะโดนปีศาจโลหิตขังไว้สามร้อยกว่าปี…เขาหันกลับมามองฉินเวยเวย แล้วถามพร้อมรอยยิ้ม “เวลาสั้นๆ เพียงสามร้อยปี จู่ๆ ก็บรรลุระดับบงกชแดงแล้วเหรอ เป็นเรื่องน่ายินดีจริงๆ”
“เป็นบุญคุณของฮูหยิน ที่มอบเคล็ดวิชาฝึกตนดีๆ ให้ข้า” ฉินเวยเวยกล่าวอย่างเก้อเขินเล็กน้อย
“นี่!” อวิ๋นจือชิวเอานิ้วจิ้มหน้าผากที่เกลี้ยงเกลาของฉินเวยเวย พลางยิ้มอย่างสดใสราวกับดอกไม้ “บอกแล้วไงว่าถ้าไม่ได้อยู่ต่อหน้าคนนอกห้ามเรียกฮูหยิน ดื่มสุราทำโทษ!”
ฉินเวยเวยทำตามเพื่อแสดงความเคารพ ทำได้เพียงดื่มรวดเดียวหมดจอก
ตอนแรกนางยังสำรวมอยู่บ้าง ตอนหลังพอเห็นเหมียวอี้ยังคงทำตัวสบายๆ บนใบหน้าก็ค่อยๆ เผยรอยยิ้ม ค่อยๆ ปลดปล่อยออกมา พูดคุยกับอวิ๋นจือชิวอย่างเบิกบานใจ ทั้งสองเรียกขานกันว่าพี่น้อง พูดคุยไปหัวเราะไป มองออกเลยว่ายามปกติคบหาจนสนิทสนมกันจริงๆ
ในทางตรงกันข้าม เหมียวอี้ที่รู้จักฉินเวยเวยมาหลายปี แทบจะไม่เคยเห็นฉินเวยเวยพูดคุยอย่างเบิกบานใจแบบนี้เลย ภาพฉินเวยเวยที่อยู่ในภาพความทรงจำของเขามาตลอด ก็คือผู้หญิงสวยที่เย็นชาเหมือนภูเขาน้ำแข็ง ครั้งแรกที่เจอฉินเวยเวย นางก็ทำสีหน้าเย็นชาแล้ว น้อยครั้งที่จะเห็นใบหน้ายิ้มแย้ม
ครั้งนี้ได้เห็นฉินเวยเวยที่อยู่ภายใต้แสงไฟยิ้มด้วยท่าทางพราวเสน่ห์ ยิ้มเห็นฟันขาวและเผยดวงตาอันสดใส ช่างน่าประทับใจ!
ทั้งสามกินดื่มและคุยเล่นกัน อาหารมื้อนี้สุขสันต์มาก ตอนที่กำลังจะแยกย้าย อวิ๋นจือชิวก็เป็นฝ่ายเชิญอีก “เมื่อก่อนพวกเจ้าสองคนเล่นหมากล้อมด้วยกันบ่อยไม่ใช่เหรอ? หนิวเอ้อร์เพิ่งจะกลับมา น้องสาวเล่นกับเขาให้หายอยากสักหน่อยสิ”
เมื่อพูดถึงเรื่องเล่นหมากล้อม เหมียวอี้ก็เหมือนโดนยั่วให้หิว เพราะไม่ได้แตะต้องมาหลายปีแล้ว เขาถูไม้ถูมือทันที “เวยเวย เรามาประลองกันสักหน่อยมั้ย?”
ฉินเวยเวยหันไปมองสีของท้องฟ้าด้านนอก แล้วตอบอย่างลังเล “ดูจากสีของท้องฟ้า เวลาน่าจะใกล้ค่ำแล้ว พี่สาวอยู่เล่นกับนายท่านดีกว่าค่ะ”
อวิ๋นจือชิวยักไหล่สองข้าง “ข้าก็อยากจะเล่นกับเขานะ แต่ข้าเล่นหมากล้อมไม่เป็นน่ะสิ!”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เหมียวอี้ก็ถามอย่างฉงนใจนิดหน่อย “ถ้าข้าจำไม่ผิด ตอนแรกที่เจ้าเห็นพวกเราเล่นหมากล้อมกัน เจ้ายังบอกว่าวันหลังจะเล่นแข่งกับข้าอยู่เลยนะ”
อวิ๋นจือชิวพูดเหน็บแนมว่า “ตอนนั้นข้าล้อเจ้าเล่น ถ้าข้าเล่นเป็นคงเล่นกับเจ้าไปนานแล้ว เจ้าเห็นข้าเคยเล่นหมากล้อมกับเจ้ามั้ยล่ะ?”
เหมียวอี้ลองคิดไปคิดมา ก็พบว่าไม่เคยเล่นด้วยกันจริงๆ จึงส่ายหน้าทันที “งั้นเจ้าก็ขาดความบันเทิงไปแล้วหนึ่งอย่าง เวยเวย เรามาประลองกันสักหน่อยเถอะ ให้นางคอยดูไป”
ในเมื่อประมุขปราสาทเอ่ยปากแล้ว ฉินเวยเวยก็ไม่สะดวกจะปฏิเสธ ทีแรกก็อยากปฏิเสธอยู่หรอก แต่พอได้ยินว่าอวิ๋นจือชิวเล่นหมากล้อมไม่เป็น นางจึงมองเหมียวอี้แวบหนึ่ง แล้วก็พยักหน้าโดยไม่พูดอะไร
อวิ๋นจือชิวจูงมือนางไว้อีกครั้ง “ไปกันๆ อยู่ที่นี่ไม่ต้องเกรงใจ ไม่อย่างนั้นพี่สาวจะโกรธแล้วนะ”
จูงมือเดินไปตลอดทาง ไม่ได้พาไปที่ไหน แต่พาฉินเวยเวยเข้ามาในห้องนอนของนางกับเหมียวอี้ แล้วให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์จัดโต๊ะเล่นหมากล้อมให้เรียบร้อย ถึงอย่างไรในห้องก็มีพื้นที่ว่างเยอะ
ฉินเวยเวยค่อนข้างอึดอัดกับสิ่งนี้ เพราะนี่คือสถานที่หลับนอนของสามีภรรยา จึงถามอย่างกังวลว่า “พี่สาว ไปเล่นหมาล้อมข้างนอกกันดีมั้ยคะ?”
เหมียวอี้ที่เดินตามหลังมาก็พูดไม่ออกเหมือนกัน คิดในใจว่า โถ่ ฮูหยิน นี่มันสถานที่ส่วนตัวของเราสองคนนะ ทำไมเจ้าพาคนอื่นมาในห้องนอนของพวกเราล่ะ
“เกรงใจอะไร ใช่ว่าเจ้าจะไม่เคยมาเสียหน่อย กลัวข้าจะจับเจ้ากินรึไง เล่นที่นี่แหละ” อวิ๋นจือชิวตัดสินใจเอง กดนางให้นั่งลงไป
ในเมื่ออวิ๋นจือชิวยังไม่ถือสา เหมียวอี้ก็ไม่ว่าอะไรแล้ว เมื่อเห็นกระดานหมอกล้อมก็ตาลุกวาว หย่อนก้นนั่งลง แล้วกวักมือบอก “เริ่มเลยๆ”
ฉินเวยเวยทำได้เพียงปฏิบัติตาม เริ่มลงหมากแข่งกับเหมียวอี้ทีละตัว
อวิ๋นจือชิวทำท่าเหมือนไม่รู้อะไรเลย นั่งดูเอาสนุกอยู่ข้างๆ หลายครั้งที่ขอคำชี้แนะวิธีการลงหมาก
เมื่อเห็นว่านางไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะลงหมากยังไง ฉินเวยเวยก็แอบโล่งใจ ไม่อย่างนั้นนางก็ไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะลงหมากต่อไปยังไง
กลับเป็นเหมียวอี้ที่คอยพูดแนะนำอยู่เรื่อยๆ ตอนหลังรำคาญที่อวิ๋นจือชิวโง่ในด้านนี้มากเกินไป ประกอบกับเวลาที่สมาธิจมดิ่งอยู่กับการ ‘โจมตี’ เจ้าบ้านี่ก็เหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน จ้องแต่จะเอาชนะอย่างเดียว ราวกับว่าถ้าแพ้แล้วจะร่วงหล่นลงสู่เหวลึก! ดังนั้นจึงทนรำคาญไม่ไหว บอกให้อวิ๋นจือชิวหุบปากเสียเลย!
อวิ๋นจือชิวก็เลยไปนั่งอยู่ข้างๆ นั่งเอามือเท้าคางพลางมองดูทั้งสองคนเล่นกัน ทั้งยังให้คนที่เล่นหมากล้อมเป็นอย่างเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ถอยออกไปด้วย
แต่เมื่อไรที่เห็นฉินเวยเวยพยายามใช้ความคิดเล่นเพื่อให้เหมียวอี้ชนะ อวิ๋นจือชิวก็จะตาเป็นประกายเสมอ นางย้ายสายตาออกจากกระดานหมอกล้อมอย่างแนบเนียน คอยสังเกตปฏิกิริยาของฉินเวยเวยอย่างเงียบๆ เมื่อไรที่เห็นฉินเวยเวยสื่ออารมณ์ที่แท้จริงออกมาทางสายตา มองเหมียวอี้อย่างอ่อนโยน อวิ๋นจือชิวก็จะแอบมองเหมียวอี้ที่ก้มหน้าเล่นหมากล้อมอย่างดื้อดึง
เมื่อเล่นได้ครึ่งทาง เห็นว่าน้ำชาหมดกาแล้ว อวิ๋นจือชิวก็หาข้ออ้างถือกาน้ำชาออกไป
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างนอกรีบเข้ามารับกาน้ำชาเปล่าไปเติมแล้วจะถือเข้าไป แต่กลับโดนอวิ๋นจือชิวโบกมือห้ามไว้ “พวกเขากำลังเล่นกันสนุกๆ อย่าไปรบกวนเลย พวกเราออกไปเดินเล่นกันเถอะ”
เมื่ออยู่ที่ตำหนักหลัง คำพูดของนางมีผลมากกว่าคำพูดของเหมียวอี้ ยิ่งไปกว่านั้น เดิมทีนางก็เป็นใหญ่ที่สุดในตำหนักหลังแห่งนี้อยู่แล้ว ประกอบกับที่นางกล้าซ้อมประมุขปราสาท แม้แต่ประมุขปราสาทยังโดนนางซ้อมจนขดตัวที่มุมผนัง หญิงรับใช้ทั้งสองย่อมไม่กล้าขัดคำสั่ง
ทั้งสองนำผ้าคลุมกันหนาวมาคลุมไหล่ให้อวิ๋นจือชิว แล้วเดินตามนางไปที่นอกประตูตำหนักใหญ่ ทำให้นางในสองคนที่เฝ้าเวรยามจุดตะเกียงทันที
อวิ๋นจือชิวโบกมือให้พวกนางถอยไป แล้วพาเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์เดินเล่นช้าๆ อยู่ในตำหนักหลัง เดินชมแสงจันทร์สีเงิน เดินมาถึงหน้าศาลาในสวนดอกไม้ รอบข้างเงียบสงัด นางเงยหน้ามองพระจันทร์นานมาก
เมื่อเห็นนางไม่ขยับไปไหนเสียที เชียนเอ๋อร์ก็ถามหยั่งเชิงว่า “ฮูหยินกำลังคิดอะไรอยู่เจ้าคะ?”
อวิ๋นจือชิวที่เงยหน้ามองพระจันทร์ถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “นายท่านยังยืนหยัดตั้งมั่นที่พิภพเล็กไม่ได้ คนที่สามารถเล่นงานให้เขาถึงตายได้มีเยอะเกินไป อนาคตไม่แน่นอน จะดีจะร้ายก็ยากจะคาดเดา ในฐานะภรรยาที่จะอยู่เคียงข้างกันไปตลอดชีวิต ข้าจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นได้อย่างไร…”
หญิงรับใช้ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ นางถึงทอดถอนใจแบบนี้
พวกนางยืนนิ่งๆ อยู่นอกศาลานานมาก แล้วก็เดินเล่นที่ตำหนักหลังอีกพักหนึ่ง ถือโอกาสตรวจดูที่พักของเหล่านางในไปด้วย พอดึกมากแล้ว นางถึงได้ถือกาน้ำชากลับมา รินเติมน้ำชาใส่ถ้วยให้ทั้งสองที่กำลังเล่นหมากล้อม แล้วนั่งเท้าคางมองดูอยู่ข้างๆ ต่อไป
จนกระทั่งฉินเวยเวยรู้สึกว่าดึกเกินไปแล้ว ไม่สะดวกจะอยู่ต่อ การแข่งหมากล้อมจึงจบลง หลังจากส่งฉินเวยเวยกลับไป อวิ๋นจือชิวก็หัวเราะคิกคักเดินกลับเข้ามา “หนิวเอ้อร์ วันนี้เล่นหมากล้อมเต็มอิ่มมั้ยล่ะ?”
เหมียวอี้มองไปที่กระดานหมากล้อมอย่างอิ่มใจทันที นั่งลงข้างโต๊ะ ยังคงหวนคิดถึงความสนุก หัวเราะเสียงดังแล้วบอกว่า “เจ้าอย่าพูดเลย เล่นหมากล้อมกับฉินเวยเวยถึงอกถึงใจที่สุดแล้ว”
“เต็มอิ่มก็ดีแล้ว! ผ่านไปหลายร้อยปี ไม่ง่ายเลยกว่าจะกลับมาได้ ถ้าวันนี้ให้ท่านสามีฝึกตนอีก ก็จะฟังดูไร้เหตุผลไปหน่อย รีบพักผ่อนเถอะค่ะ!” อวิ๋นจือชิวกล่าวพร้อมรอยยิ้ม จูงเขาไปข้างเตียง ปรนนิบัติถอดเสื้อผ้าให้เขา นำเสื้อผ้าไปแขวนไว้บนไม้แขวนเสื้อข้างๆ แล้วก็เดินกลับมานั่งยองๆ ข้างเตียง ยกเท้าของเขาไว้บนหัวเข่าตัวเอง ถอดรองเท้าและถุงเท้าให้เขา แล้วยกขาสองข้างของเขาวางไว้บนเตียง
จากนั้นก็ถอดเสื้อผ้าตัวเอง แล้วสวมเสื้อกล้ามชั้นในเดินกลับมา แต่กลับพบว่าเหมียวอี้กำลังเอามือหนุนศีรษะพลางหรี่ตามองดูเรือนร่างวับๆ แวมๆ ของนาง นางก็หน้าแดงทันที ทำเสียงฮึดฮัดอย่างเขินอาย แล้วใช้นิ้วจิ้มหน้าผากเขา “มองอะไรของเจ้า! วันนี้เจ้ารังแกข้าพอแล้ว ห้ามคิดอะไรเหลวไหลอีก ไปนอนไป!”
“ใครว่ารังแกพอแล้วล่ะ!” เหมียวอี้พลันยืนขึ้น โน้มตัวนางกดลงบนเตียง ทำให้มีเสียงร้องอุทานอยู่พักหนึ่ง และไม่นานก็ถอดเสื้อผ้านางออกจนหมด
แต่ครั้งนี้ค่อยๆ ลิ้มรสชาติอย่างพิถีพิถัน แบบนี้ได้รสชาติไปอีกแบบ แล้วค่อยๆ พัฒนากลายเป็นความดุเดือดราวกับพายุฝนคลั่ง…
หลังจากนอนกอดกันเงียบๆ อวิ๋นจือชิวก็พลันหัวเราะคิกคัก “หนิวเอ้อร์ ตอนที่เจ้าไม่อยู่ ฉินเวยเวยก็เคยนอนบนเตียงนี้เหมือนกันนะ เจ้ามีความคิดอะไรบ้างรึเปล่า?”
อยากจะทดสอบข้าเหรอ! เหมียวอี้ถามอย่างหงุดหงิดว่า “ความคิดอะไร?”
อวิ๋นจือชิวรู้จักอ่านสถานการณ์ จึงไม่พูดเรื่องนี้ต่อ เปลี่ยนประเด็นสนทนา “ตอนนี้เจ้าคิดจะเตรียมพิภพใหญ่ไว้เป็นทางหนีทีไล่รึเปล่า หลังจากปักหลักที่พิภพใหญ่ได้แล้ว ก็ค่อยให้พิภพเล็กเป็นทางหนีทีไล่สุดท้ายเหรอ?”
เหมียวอี้ไถลมือไปตรงหน้าอกของนาง “มีแค่ฮูหยินที่รู้ใจข้า!”
“งั้นหลังจากที่พวกเราไปพิภพใหญ่แล้ว พิภพเล็กก็ต้องมีคนคอยดูแลจัดการให้สิ? เจ้าคิดว่าให้ฉินเวยเวยช่วยคุมให้เจ้าดีมั้ย?” อวิ๋นจือชิวถาม
เหมียวอี้หยุดขยับมือทันที “เจ้าเอาแต่คิดเรื่องพิภพใหญ่ทำไม? ที่นั่นอันตรายกว่าที่นี่อีก ถ้าเจ้าไปด้วยข้าไม่วางใจ!”
อวิ๋นจือชิวปัดมือเขาออก เอามือยันร่างกายท่อนบนที่ทำให้เลือดลมสูบฉีด แล้วจ้องเขาพร้อมถามว่า “แล้วถ้าเจ้าไปคนเดียวข้าจะวางใจได้เหรอ? หรือเจ้าจะทิ้งเมียไว้แล้วหนีไปอีก? ข้าจะบอกเอาไว้ก่อนนะ ถ้าเจ้ากล้าทำแบบนั้นอีก ข้าจะสู้กับเจ้าสุดชีวิตเลย อย่าคิดว่าข้าล้อเล่นนะ!”
เหมียวอี้พูดไม่ออก ไม่คุยเรื่องนี้แล้ว กลับสู่ประเด็นสนทนาก่อนหน้านี้ดีกว่า “ให้ฉินเวยเวยคุมคงไม่เหมาะมั้ง? ไม่ว่าจะเป็นวรยุทธ์หรือความสามารถก็ไม่ไหวเลย อย่าเห็นแก่ความเป็นพี่น้องของพวกเจ้าแล้ว…ไม่เหมาะๆ ไม่เหมาะจริงๆ เรื่องนี้ข้าไม่รับปาก!”
อวิ๋นจือชิวนอนหมอบบนหน้าอกเขาเสียเลย จ้องหน้าพร้อมบอกว่า “ใช้เวลาด้วยกันมาหลายปี ข้าพบว่าหยางชิ่งเป็นคนมีความสามารถแบบที่หาได้ยากจริงๆ เจ้ารู้รึเปล่าว่าตอนที่เจ้าเพิ่งไปแล้วข้าติดต่อเจ้าไม่ได้ ที่ปราสาทดำเนินสุริยันมีสถานการณ์เป็นอย่างไร เฉิงอ้าวฟางมีเส้นสายที่ยอดเขาหยกนครหลวงดีมาก ที่นี่มีแต่ลูกน้องเก่าของนาง เป็นไปไม่ได้ที่พวกเราจะฆ่าคนในอาณาเขตตัวเองตายหมด สรุปก็คือเฉิงอ้าวฟางไม่ได้มาปะทะตรงๆ แค่เล่นสกปรกเฉยๆ อยากจะกดดันให้พวกเราออกไปและทวงอาณาเขตนี้คืน ตอนนั้นข้าไม่คุ้นเคยกับสถานการณ์ของที่นี่ ไม่รู้จะเริ่มลงมือจากตรงไหน แล้วข้าก็เป็นฮูหยินของประมุขปราสาท ไม่สามารถระดมกำลังพลของปราสาทดำเนินสุริยันได้อย่างเต็มที่ เป็นหยางชิ่งที่ไปงัดข้อกับเฉิงอ้าวฟาง จัดการจนเฉิงอ้าวฟางทำอะไรไม่ได้ วิธีการขั้นตอนของเขาทำให้ข้าทึ่งมากจริงๆ ถ้ามีเขาคอยช่วยฉินเวยเวย แล้วเหลือผู้ช่วยไว้อีกคน ตราบใดที่ไม่เกิดเรื่องราวใหญ่โตอะไร อาศัยความสามารถอย่างหยางชิ่ง พวกเขาสามารถรับมือได้แน่นอน ขอแค่หยางชิ่งสามารถประคับประคองไว้จนกว่าพวกเราจะมีความสามารถเพียงพอให้กลับมาเผชิญสถานการณ์ที่พิภพเล็ก ถึงตอนนั้นพวกเราค่อยกลับมาคุมพิภพเล็กก็ได้ ถึงตอนนั้นพิภพเล็กถึงจะนับว่าเป็นทางหนีทีไล่ของเราได้อย่างแท้จริงๆ ดังนั้นพวกเราต้องรักษาอาณาเขตในปัจจุบันนี้ไว้ ถ้าไม่จนใจจริงๆ ก็จะทิ้งไม่ได้เด็ดขาด อย่างน้อยถ้าอยู่ที่พิภพใหญ่ต่อไปไม่ได้ พวกเราก็ยังกลับมาอยู่ที่นี่ต่อได้ อย่าไปปักหลักที่ทะเลดาวนักษัตร ข้าไม่ค่อยวางใจปีศาจเฒ่าสี่คนนั้นเท่าไร ต้องควบคุมไว้บ้าง ส่วนเรื่องที่สำคัญรองลงมา ก็คือต้องซื้อใจคนอย่างหยางชิ่งไว้ด้วย ในภายหลังถ้าพาไปพิภพใหญ่ด้วยจะต้องใช้งานเขาได้แน่นอน”
เหมียวอี้ถอนหายใจ แล้วบอกว่า “ข้าเข้าใจที่เจ้าพูดทุกอย่าง! แต่คนเรายิ่งฉลาดก็ยิ่งควบคุมยาก พวกเรากำลังใช้ประโยชน์หยางชิ่ง หยางชิ่งก็กำลังใช้ประโยชน์พวกเราเหมือนกัน ถ้าอยากจะผูกเขาไว้กับพวกเราโดยสิ้นเชิง ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ขอแค่มีโอกาส เขาจะต้องเตรียมแผนไว้สำหรับตัวเองแน่นอน คงไม่เอาชีวิตไปทิ้งเพื่อคนอื่นหรอก ดังนั้นถ้าอยากรับมือกับหยางชิ่ง ก็ต้องทำให้เขามึนงงมืดแปดด้าน ถ้าเขาจับต้นสายปลายเหตุได้ขึ้นมา สมองเจ้านั่นไม่ใช่เล่นๆ ถ้าเจ้าจะให้เขาช่วยฉินเวยเวย ไม่สู้ให้เขารักษาการณ์โดยตรงไปเลยล่ะ เจ้าคิดว่าตัวเองเรียกฉินเวยเวยว่าน้องสาวแล้วจะคุมหยางชิ่งได้เหรอ?”
อวิ๋นจือชิวตบหน้าอกเขา แล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ท่านสามีวางใจเถอะ ข้ามีวิธีการทำให้หยางชิ่งหมอบราบคาบแก้วอยู่แล้ว!”