ในใจของจี้เทียนซิงเต็มไปด้วยข้อสงสัย มวลอารมณ์รอบกายคละคลุ้งไปด้วยความหดหู่
วิถีดวงใจกระบี่ที่มันฝึกปรืออยู่นั้นไม่เคยถูกกล่าวถึงและไม่เคยมีผู้ใดได้ยินมาก่อน
ตอนนี้เขาควบแน่นตัวอ่อนกระบี่ได้อย่างเชื่องช้านักและติดอยู่ในคอขวดไม่อาจทะลวงขีดขั้นไปได้ในระยะสั้น
ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่มีประสบการณ์ในการฝึกปรือที่ถ่ายทอดสอนสั่งจากผู้อื่นหรือบรรพบุรุษ เขาทำได้เพียงเข้าถึงและสำรวจวิถีทางนี้ได้ด้วยตนเองเท่านั้น
วิถีดวงใจกระบี่ที่ผิดแผกนี้ถูกกำหนดให้เป็นเส้นทางบ่มเพาะที่แข็งแกร่งก็จริง แต่ยากเย็นในความก้าวหน้านัก !
จี้เทียนซิงครุ่นคิดอยู่เนิ่นนานและก็ยังตีโจทย์ไม่แตก สุดท้ายก็นึกถึงสุสานเทพกระบี่
เขาตัดสินใจเข้าสู่สุสานเทพกระบี่อีกครั้งเพื่อดูศิลาจารึกอันอื่นๆเผื่อว่าจะพบหาทางแก้ปัญหา
เขากุมวิญญาณแห่งสมาธิและรวบรวมสติของเขาไปในหลุมดำที่ตันเถียน
วิธีนี้ใช้ได้ผลและสติของเขาก็ถูกกลืนลงไปในหลุมดำอย่างรวดเร็ว
ร่างกายของชายหนุ่มยังคงนอนแอ้งแม้งอยู่ในห้องฝึกลับ แต่จิตสำนึกของมันทะยานเข้าสู่พื้นที่ที่เย็นเยียบและดำมืด
“วู้ม !”
จิตสำนึกของเขาควบแน่นเป็นร่างโปร่งแสงและรูปร่างหน้าตาก็มิได้ผิดแผกไปจากเดิม จากนั้นก็มุ่งหน้าเข้าสู่พื้นที่แห่งสุสานเทพกระบี่
ความรู้สึกที่เท้ายังคงเย็นเฉียบและสัมผัสได้ถึงพื้นดินที่แข็งกระด้าง มันเต็มไปด้วยหมอกที่เปล่งกลิ่นอายของความตายออกมาเหมือนเคย
แม้ว่านี่เป็นครั้งที่สองที่ชายหนุ่มได้เข้ามา แต่มันก็ยังก็ยังรู้สึกแปลกใหม่ในพื้นที่แห่งนี้
จิตสำนึกของมันล่องลอยไปข้างหน้าและกวาดมองดูสภาพแวดล้อมของการล่มสลายไปพร้อมๆกัน
เป็นเรื่องน่าเสียดายที่หมอกรอบๆหน้าแน่นอย่างยิ่ง ราวกับว่ามันจะไม่มีกระจายตัวออกจากกัน มันปิดกั้นระยะสายตาของเขาหมดสิ้น ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถมองเห็นภาพที่อยู่ไกลออกไปได้เลย
หลังจากนั้นไม่นาน ชายหนุ่มก็มาถึงภายใต้อนุสาวรีย์กระบี่สีดำขนาดใหญ่
ตัวอักษรทั้งสี่ ‘สุสานเทพกระบี่’ บนตัวกระบี่นั้นยังคงเฉียบคมและแข็งแกร่งจนเขาก็ไม่กล้ามองมันนานๆ
ศิลาจารึกหน้าหลุมศพทั้งดำและขาวทั้งสิบแปดแห่งยังคงตั้งตะหง่านอยู่ทางด้านซ้ายและด้านขวาของอนุสรณ์กระบี่
เมื่อยามที่จี้เทียนซิงมาที่นี่เป็นครั้งแรก เขาพบว่าศิลาจารึกทางด้านซ้ายทั้ง 9 นั้นเป็นเคล็ดบ่มเพาะวิถีดวงใจกระบี่ทั้งสิ้น
คราวนี้เขาจึงมุ่งความสนใจเป็นพิเศษกับศิลาจารึกทั้ง 9 ทางด้านขวาและจับจ้องอยู่ครู่หนึ่ง
ศิลาจารึกทั้ง 9 ทางด้านขวานั้นถูกจารึกด้วยอักษรโบราณ แต่อย่างไรก็ตาม อักษรเหล่านั้นช่างคลุมเครือจนเขาแทบมองไม่เห็นอะไรเลย
จี้เทียนซิงคาดเดาว่าอักษรทั้ง 9 ของศิลาจารึกทางด้านขวานั้นย่อมลึกซึ้งอย่างแน่นอนและไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยเขตแดนพลังในปัจจุบันของเขา
ดังนั้นเขาจึงหันกลับมาและเดินไปที่ด้านหน้าของศิลาจารึกทั้งหลายในฝั่งซ้าย
เขาจับจ้องที่ศิลาจารึกอันแรกและต้องการเห็นอักษรซ้ำอีกครั้งเพื่อยืนยันให้แน่ใจว่า วิธีการฝึกฝนของเขานั้นไม่มีขั้นตอนใดขาดตกบกพร่อง
อย่างไรก็ตาม ศิลาจารึกนั้นกลับว่างเปล่า !
อักษรมากกว่าหนึ่งร้อยคำที่มีมาก่อนหน้านี้หายไปหมดสิ้น !
“นี่…เป็นไปได้อย่างไร ?”
จี้เทียนซิงรู้สึกตะลึงงัน
โชคดีที่เขาจำอักษรและประโยคทั้งหมดของศิลาจารึกทั้ง 5 แห่งแรกได้แล้ว
ดังนั้นการหายไปของศิลาจารึกอันแรกนั้นจึงไม่ส่งผลกระทบต่อการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องของเขา
เขามองไปที่ศิลาจารึกอื่นอย่างรวดเร็ว โชคดีที่อักษรบนนั้นยังคงอยู่ครบถ้วนและมองเห็นได้ชัดเจน
จี้เทียนซิงขมวดคิ้วและครุ่นคิดในใจ *“อักษรชุดแรกบนศิลาจารึกบันทึกเอาไว้เกี่ยวกับวิถีดวงใจกระบี่ในขั้นแรก,*ควบแน่นปราณกระบี่และวิธีการเพาะตัวอ่อนกระบี่”
“ตอนนี้ข้าควบแน่นปราณกระบี่ได้ครบทั้ง12**สายแล้ว เหลือเพียงขั้นตอนเดียวเท่านั้นก็คือเพาะตัวอ่อนกระบี่ แต่ศิลาจารึกแรกกลับหายไป”
“หรือว่าวิธีการบ่มเพาะของข้ามิได้ผิดพลาด ในเมื่อผ่านขั้นตอนแรกไปแล้วศิลาจารึกอันแรกจึงหายไป?**”
เมื่อขบคิดถึงเรื่องนี้แล้วจิตใจของจี้เทียนซิงก็กระจ่าง เขาเริ่มวิเคราะห์วิธีการในขั้นตอนต่อไป
“หากวิธีการบ่มเพาะของข้าถูก งั้นปัญหาก็ย่อมอยู่ในร่างกายของข้าเอง!**”
“ในตอนนี้เรื่องยากที่สุดของข้าก็คือไม่สามารถชักนำปราณกระบี่ในจุดชีพจรทั้ง12**สายไปไว้ที่ตันเถียนได้ เส้นชีพจรของข้าไม่อาจทนทานมัน พวกมันจึงตัดขาด”
*“*ถ้าหากข้าฝืนบังคับปราณกระบี่พวกนั้น เส้นชีพจรของข้าอาจจะขาดสะบั้นเป็นแน่ ถึงเวลานั้นแม้จะไม่ตกตายก็คงเป็นยิ่งกว่าขยะที่ใช้ชีวิตประจำวันยังไม่ได้….”
“ดูเหมือนว่ากุญแจสำคัญของปัญหานี้ก็คือเส้นชีพจรของข้าไม่แข็งแรงพอ บางทีข้าอาจจะต้องหาวิธีเสริมความแข็งแกร่งของเส้นชีพจร!**”
จี้เทียนซิงเคยเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของรัฐนภากระจ่าง เขาหลักแหลมเฉลียวฉลาดและมีประสบการณ์ในการฝึกฝนวิชายุทธ์สูงล้ำกว่าผู้อื่น
ทำให้แม้ว่าเขาจะฝึกฝนวิชายุทธ์แบบที่แตกต่างจากสามัญสำนึกคนทั่วไป เช่น วิถีดวงใจกระบี่ เขาก็ยังสามารถเข้าใจได้อย่างถี่ถ้วนด้วยภูมิปัญญาของตนเองและวิเคราะห์ได้ถึงปัญหา
เมื่อคาดว่าตนเองทำความเข้าใจกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้แล้ว เขาจึงออกจากสุสานเทพกระบี่ด้วยความอุ่นใจ
จิตสำนึกของจี้เทียนซิงกลับคืนสู่ร่างกายและเขาก็ลืมตาลุกขึ้นนั่ง
เขาจดจำเรื่องการเสริมความแข็งแกร่งให้เส้นชีพจรและนึกถึงดอกไม้ดาราแดงในทันที
เขาหยิบกล่องเหล็กเล็กๆออกจากแขนและเปิดกล่องออกมา มองไปที่เข็มทิศและกระซิบแผ่วเบาว่า
*“*ท่านพ่อบอกว่าดอกไม้ดาราแดงสามารถซ่อมแซมตันเถียนและเสริมสร้างเส้นชีพจรได้ มันเต็มไปด้วยพลังต้นกำเนิดและยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งอย่างมากอีกด้วย”
*“*ถ้าหากข้าสามารถหาดอกไม้ดาราแดงได้ บางทีข้าอาจจะช่วยเสริมแกร่งเส้นชีพจรจนทำให้ข้าควบแน่นตัวอ่อนกระบี่ได้ก็เป็นได้”
“ยังมีเวลาเหลืออีกหกกว่าจะถึงเวลา จากเมืองจักรวรรดิไปยังเทือกเขาเย่ใช้เวลาสองวันในการเดินทางด้วยม้าที่เร็วที่สุดดูเหมือนว่าข้าควรจะเตรียมพร้อมได้แล้ว … “
จี้เทียนซิงออกจากห้องลับและกลับไปที่ห้อง
ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงแล้ว เขาต้องเก็บข้าวของหลังกินมื้อกลางวันเพื่อเตรียมที่จะออกเดินทางไปยังเทือกเขาเย่ตอนเช้าของวันพรุ่งนี้
ในเวลานั้นเอง ฮวนเอ๋อก็วิ่งเข้ามาในห้องพอดีและรายงานต่อจี้เทียนซิงว่า
“คุณชายใหญ่คะ ! องค์หญิงเค่อเค่อกำลังมาที่นี่ !”
จี้เทียนซิงตกตะลึงและยิ้มเจื่อนอย่างเป็นทุกข์ “องค์หญิงน้อยมาได้อย่างไร ?”
เขาซ่อนกระเป๋า เดินออกจากห้องเพื่อจะไปทักทายองค์หญิงน้อยในสวน
ถึงแม้ว่าองค์หญิงน้อยนางนี้จะเป็นองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ แต่นางชอบที่จะเที่ยวเล่นกับจี้เทียนซิงตั้งแต่ยังเด็กแล้ว ยามว่างนางมักจะหนีออกจากวังเพื่อมาหาเขาและชวนไปเที่ยวเล่นกัน ความสัมพันธ์ของเขากับนางนั้นนับว่าดียิ่ง
องค์หญิงน้อยเป็นผู้ที่มีชีวิตชีวาและซุกซน นางมักจะหาเรื่องแปลกๆมาเล่นกับเขา ซึ่งทำให้จี้เทียนซิงไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี…
จี้เทียนซิงขบคิดระหว่างเดิน องค์หญิงน้อยมาเยือนตระกูลจี้วันนี้ ข้าหวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกนะ*?*
ในช่วงเวลาไม่นานก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นที่ประตูของสวนเล็กๆ
สิ่งแรกที่ปรากฏในดวงตาของจี้เทียนซิงก็คือเด็กสาวสวมชุดคลุมสีเขียวและรองเท้าบูทสีทอง
เด็กผู้หญิงนางนี้มีอายุประมาณ 14 ปี รูปร่างเล็กน่ารัก ใบหน้าสีขาวนวลของนางนั้นเป็นสีชมพูระเรื่อและดวงตาของนางก็กระจ่างใส
ข้อมือขาวของนางสวมกำไลหยกสีแดงเพลิง ผมของนางยาวบดบังผ้าคลุมไหล่ดูน่ารักมาก
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือองค์หญิงน้อยที่จักรพรรดิชื่นชอบและตามใจ, องค์หญิงน้อยจี้เค่อ
ลำพังนางผู้เดียวก็นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้จี้เทียนซิงปวดกบาลได้แล้ว แต่เขาคาดไม่ถึงว่านางยังลากผู้ติดตามมาด้วยอีกนับสิบชีวิต !
คนเหล่านี้ทั้งหมดล้วนต่างจากคนธรรมดาสามัญ พวกเขาสง่างามและราศีจับ
นอกจากนี้ยังมีฝูงคนที่ติดตามมาพร้อมกับทหารองครักษ์ร่างใหญ่อีก 8 คนที่สวมเกราะอันองอาจ เท่านั้นไม่พอยังแบกกล่องใหญ่มาอีก 4 กล่อง !
“ยะโฮ ! พี่ใหญ่เทียนซิง ข้ามาหาท่านแล้ว !”
องค์หญิงน้อยเผยแย้มยิ้มและเอ่ยปากทักทายจี้เทียนซิง จากนั้นนางก็ชี้โบ้ชี้เบ้ให้เหล่าองครักษ์ร่างใหญ่ทั้ง 8 คนแบกกล่องใหญ่ 4 กล่องเข้าไปในห้องของชายหนุ่ม