ภาค 3 ธาตุแท้ของวีรบุรุษ บทที่ 245 ขนของกลับมาเต็มไม้เต็มมือ!

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

อาหู่มองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยใบหน้าเลื่อมใสศรัทธา “คุณชาย ท่านช่างฉกาจจริงๆ นี่ไม่เหมือนเช่นตาเฒ่าเหยียนซวี่ที่เจ็บสาหัสในตอนแรก หัวหน้าค่ายชื่อหลิงเมื่อครู่นี้อยู่ในช่วงที่มีพลังสูงสุด ไม่ว่าจะใช้อุบายอะไรก็ตาม ปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาระยะท้ายท้ารบสังหารมหาปรมาจารย์ขั้นกำเนิดญาณสิ้นชีพ นี่เกรงว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์กระมัง?”

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มพลางส่ายศีรษะ “เหมือนกับตอนนั้นที่เหยียนซวี่ถูกท่านอาจารย์ลุงอัดจนหวิดเอาชีวิตไม่รอด อันที่จริงคราวนี้เองก็ไม่อาจนับ เฉกเช่นหากเป็นท่านพ่อจับกุมหัวหน้าค่ายชื่อหลิง สะกดพลังพลังฝึกปรือเอาไว้ จากนั้นข้าสังหารเขา นั่นก็ยังคงเป็นข้าปลิดชีวิตมหาปรมาจารย์ขั้นกำเนิดญาณคนหนึ่งเช่นกัน หากแต่นั่นจะเป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การอวดอ้างหรือ? เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่”

สวีเฟยเองคงตบไหล่เยี่ยนจ้าวเกอเบาๆ “หากไม่ต้องเสี่ยงภัยได้ ก็ไม่ต้องเสี่ยงภัยจะเป็นการดี เจ้าพลาดพลั้งครั้งเดียว ท่านอาจารย์ลุงจะเสียใจยิ่ง”

ชายหนุ่มได้ยินดังนั้น รอยยิ้มบนดวงหน้าพลันคลายลง ผงกศีรษะกล่าว “ที่ศิษย์พี่สวีกล่าวก็ถูกต้อง”

ตัวศิษย์พี่สวีท่านนี้ ผจญสถานที่อันตรายซึ่งรอดปากเหยี่ยวปากกามาได้ ฮึกเหิมไม่หวาดหวั่น แม้จะพูดจาสนุกสนานจนติดเป็นนิสัย ทว่าเขาไม่หวังจะเห็นคนร่วมสำนักตนผจญอันตราย

สีหน้าเศร้าสลดปรากฏวาบบนดวงหน้าเขาแล้วหายไป เห็นได้ชัดว่าคะนึงถึงสือเถี่ยอาจารย์สำนักตน เป็นความเศร้าโศกที่คนผมขาวส่งศพคนผมดำ

สวีเฟยมีความสัมพันธ์กับสือเถี่ยเสมือนบุตรบิดา ในปีนั้นมองสือซงเทาประดุจพี่ชายในสายเลือดเฉกเช่นเดียวกัน

เรื่องราวในปีนั้น เป็นความผิดหวังเสียใจชั่วชีวิตสือเถี่ย สำหรับสวีเฟย ก็รู้สึกเป็นทุกข์อยู่ในใจเช่นเดียวกัน

เยี่ยนจ้าวเกอมองสีหน้าท่าทางสวีเฟย ก็รับรู้ว่าเขานึกถึงบุตรบิดาสือเถี่ยขึ้นมาอีกแล้ว

เขามองดูสวีเฟย ก่อนจะทอดถอนใจครั้งหนึ่ง นิ่งเงียบไม่พูดจาเช่นเดียวกัน

ถึงแม้ว่าอาหู่กับเฟิงอวิ๋นเซิงจะไม่เข้าใจสวีเฟยเหมือนดั่งเยี่ยนจ้าวเกอเช่นนั้น ทว่าขณะนี้ต่างก็ไม่พูดจาล้อเล่นต่อไปอีก

ครั้นสวีเฟยได้สติกลับมา เขาก็ปรบมือยิ้มเอ่ย “จะว่าไปแล้ว หัวหน้าค่ายชื่อหลิงน่าจะเป็นยอดฝีมือที่สุดของสายค่ายห้าวิญญาณที่ดำรงอยู่ตอนนี้ เขาสิ้นชีพด้วยน้ำมือจ้าวเกอ แม้จะกล่าวไม่ได้ว่าค่ายห้าวิญญาณสลายตัวไปจนหมดสิ้น แต่ก็ยากเป็นยิ่งที่จะซัดคลื่นลมใหญ่ขึ้นมาแล้ว เจ้าสร้างความดีความชอบใหญ่หลวง ให้กับสำนักเขากว่างเฉิงของพวกเราอีกครั้งแล้ว”

“เพียงแต่น่าเสียดาย เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเจ้าผู้เดียว ขาดประจักษ์หลักฐาน หากจะขอเบื้องบนประทานความชอบให้เจ้า อาจจะมีความยากอยู่เล็กน้อย”

“หากแต่ ถ้าหัวหน้าค่ายชื่อหลิงสูญหายไม่เห็นเงาต่อเนื่องตลอดสองสามปีหรือกระทั่งสิบกว่าปีล่ะก็ กลับพอถูไถนับว่าเป็นหลักฐานได้เช่นกัน”

สวีเฟยยิ้มพลางมองเยี่ยนจ้าวเกอ “แต่จะว่าไปแล้ว ความชอบในการสังหารหัวหน้าค่ายชื่อหลิงแม้จะไม่เล็กน้อย แต่ก็เทียบไม่ได้กับคุณูปการใหญ่หลวงหลายเรื่องก่อนหน้านี้ของเจ้า”

“ตอนนี้สำนักบำเหน็จเจ้าจนใกล้จะไม่มีอะไรให้บำเหน็จแล้ว รอผ่านไปสักสองสามปี หรือสิบกว่าปี ความชอบในการปลิดชีพหัวหน้าค่ายชื่อหลิงเกรงว่าจะยิ่งไม่สลักสำคัญเท่าไรสำหรับเจ้าแล้ว”

เยี่ยนจ้าวเกอโบกมือ “ยุงจะเล็กกระจิริดเพียงใดก็เป็นเนื้อเช่นกัน ถูกหรือไม่?”

สวีเฟยมองทางเยี่ยนจ้าวเกอ จากนั้นย้ายไปมองยังเฟิงอวิ๋นเซิง ยิ้มกล่าว “ฟังดูวาจานี้เข้าสิ มหาปรมาจารย์ขั้นกำเนิดญาณผู้น่าเกรงขามคนหนึ่ง กลายเป็นยุงในสายตาเขาเสียแล้ว นี่ต้องลำพองถึงขั้นไหน?”

“ศิษย์น้องเฟิงเจ้าเข้าใจเขามากกว่าจริงๆ ด้วย ต่อหน้าข้าแสร้งถ่อมตน ไม่แน่ว่าภาคภูมิอยู่ในใจสักเพียงใด”

เฟิงอวิ๋นเซิงและอาหู่ต่างก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมาพร้อมกัน เยี่ยนจ้าวเกอยักไหล่ ยิ้มแต่ไม่เอื้อนเอ่ย

กำจัดหัวหน้าค่ายชื่อหลิง สำนักบำเหน็จรางวัลหรือไม่ อันที่จริงกลับไม่สลักสำคัญอะไร หากแต่ในที่สุดแล้วเป็นเรื่องที่สบายใจเรื่องหนึ่ง

ด้วยความเร็วในการพัฒนาของเยี่ยนจ้าวเกอตอนนี้ สุดท้ายต้องมีสักวันที่หัวหน้าค่ายชื่อหลิงไม่เป็นภัยคุกคามอีก

กระนั้นก่อนหน้าที่เวลานั้นจะมาถึง ถูกมหาปรมาจารย์ขั้นกำเนิดญาณผู้หนึ่งคิดตามล้างแค้นอยู่เสมอ ย่อมทำให้คนไม่สุขสบายใจนัก

ยิ่งไปกว่านั้น มหาปรมาจารย์ขั้นกำเนิดญาณผู้นี้กระทำการเกินควรอยู่บ้าง เพราะคนที่เขาเกลียดชังที่สุดคือบิดาของเยี่ยนจ้าวเกอ เยี่ยนตี๋

ทว่าเยี่ยนตี๋นั้น หัวหน้าค่ายชื่อหลิงเอาชนะไม่ได้อย่างแน่นอน หากเขากล้าปรากฏกายเบื้องหน้าเยี่ยนตี๋ คงจะถูกเยี่ยนตี๋ฟาดปลิดชีพด้วยฝ่ามือเดียวทันใด

ผู้ที่สูงวัยกว่าเอาชนะไม่ได้ ฉะนั้นเป้าหมายของหัวหน้าค่ายชื่อหลิงจึงจดจ้องอยู่ที่ผู้ที่อ่อนวัยกว่า จดจ้องอยู่ที่เยี่ยนจ้าวเกอ

หากรอจนพลังความสามารถและพลังฝึกปรือของเยี่ยนจ้าวเกอพัฒนาไม่หยุดยั้ง ในเวลาที่แม้แต่เขาก็เอาชนะเยี่ยนจ้าวเกอ เขาย่อมไม่มาหาชายหนุ่มแน่

สามารถกำจัดหัวหน้าค่ายชื่อหลิงได้อย่างว่องไวหมดจด ตัดไฟเสียแต่ต้นลม เยี่ยนจ้าวเกอพึงพอใจอย่างยิ่งยวด เรียกได้ว่าเป็นผลพลอยได้ที่เหนือความคาดหมาย

อีกทั้ง แม้ว่าจะมีโชคอยู่บ้างมากน้อยเพียงใด แต่เยี่ยนจ้าวเกอเข้ามายังมิติต่างแดนที่ชาวกระเรียนล่องลอยหลงเหลือไว้ครานี้ ก็ได้รับสิ่งของอุดมสมบูรณ์ยิ่งเช่นกัน

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวลาพวกสวีเฟยและเฟิงอวิ๋นเซิงแล้ว กลับไปที่พำนักของตน เริ่มสำรวจของวิเศษมากมายที่หามาได้คราวนี้

ที่เตะตาเป็นสิ่งแรก แน่นอนคือเป้าหมายแรกเริ่มในการเดินทางครั้งนี้ของเยี่ยนจ้าวเกอ ศิลาเซียนส่องชะตา

ของสิ่งนี้ เยี่ยนจ้าวเกอรู้เพียงว่าชาวกระเรียนล่องลอยมีอยู่ในมือเช่นกัน หากแต่เก็บไว้ในมิติต่างแดนแห่งนั้นหรือไม่นั้น กลับเป็นเรื่องที่ยากจะยืนยันล่วงหน้าไปก่อน

“เห็นทีโชคของข้ายังไม่ย่ำแย่เกินไปนัก” เยี่ยนจ้าวเกอจับศิลาเซียนส่องชะตาเล่นในมือ มุมปากเผยรอยยิ้มออกมาหลายส่วน

มีศิลาเซียนส่องชะตาแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องไปคิดวิธีหาของทดแทนอีก

หลังตนเองย่างสู่ขั้นฝ่านภา สั่งสมตกตะกอนสักหน่อย ก็สามารถเริ่มทดลองปะทะคูน้ำกั้นระดับมหาปรมาจารย์ได้

แน่นอนแล้วว่าใฝ่สูงมุ่งมั่น สอดคล้องความเป็นจริง ถัดจากนี้มุ่งทะลวงถึงขั้นฝ่านภาก่อนค่อยว่ากัน

ทว่าสำหรับสั่งสมของเยี่ยนจ้าวเกอตอนนี้แล้ว ไม่ยากปานใด

นอกจากศิลาเซียนส่องชะตาแล้ว ยังมีของตื่นตาตื่นใจเหนือคาดชิ้นหนึ่ง แน่นอนว่าคือปีกเซียนกระเรียนชิ้นนี้

ผ่านการก่อกวนจากหัวหน้าค่ายชื่อหลิงครั้งหนึ่งแล้ว สูญเสียพลังชีวิตของปีกเซียนกระเรียนอย่างมาก เฉกเช่นดวงตาราชันสายฟ้าอย่างไรอย่างนั้น ไม่อาจใช้การได้ในระยะอันสั้นนี้

หากแต่ หลังจากผ่านการบ่มเพาะบำรุงของเยี่ยนจ้าวเกอผู้เป็นเจ้าของคนนี้ คอยจนปีกเซียนกระเรียนฟื้นฟูปราณดั้งเดิม ก็สามารถเฉิดฉายท่วงท่าสง่างามได้อีกครั้ง

ที่วางไว้กับศิลาเซียนส่องชะตาบนโต๊ะเตี้ยตอนแรก ยังมีของอื่นอีกหลายอย่าง ซึ่งเยี่ยนจ้าวเกอหอบเอาออกมาพร้อมกัน

ในนั้นมีขวดโอสถ ภายในบรรจุโอสถลูกกลอนที่ชาวกระเรียนล่องลอยกลั่นเอาไว้ตอนนั้น หากแต่ผ่านไปเป็นเวลายาวนานอย่างยิ่ง ตั้งแต่ยุคสมัยก่อนวิกฤตการณ์จวบจนถึงปัจจุบัน

โอสถลูกกลอนบางส่วนยังคงมีฤทธิ์โอสถ บางส่วนปราณวิญญาณกลับค่อยๆ สลายไปจนสิ้น

เยี่ยนจ้าวเกอกลับไม่ได้สนใจสิ่งนี้เป็นพิเศษ ความสนใจของเขาตอนนี้ ถูกของอีกอย่างหนึ่งดึงดูดไว้

นั่นคือม้วนภาพที่ทำจากหนังสัตว์แผ่นหนึ่ง ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นสัตว์อะไร

เขาแผ่ม้วนภาพออกมา เห็นด้านบนว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย มีเพียงภาพลวดลายทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสหนึ่งเดียวอยู่ใจกลางเท่านั้น

ดูไปแล้วภาพลวดลายนี้ น่าจะเป็นตราประทับบางอย่างประทับทิ้งเอาไว้

ครั้นมองดูไปอย่างละเอียด ก็เห็นว่าภาพลวดลายนั้นคล้ายเป็นดวงอาทิตย์ดวงหนึ่ง

เห็นได้ชัดว่าภาพลวดลายเก่าแก่โบราณอย่างยิ่ง ทว่าด้วยการจับจ้องของเยี่ยนจ้าวเกอ กลับรู้สึกถึงความแสบร้อนที่ดวงตาพักหนึ่ง ราวกับว่ากำลังจ้องมองดวงอาทิตย์จริงๆ อย่างไรอย่างนั้น

ม้วนหนังสัตว์นี้คือสิ่งของของชาวกระเรียนล่องลอย เก็บไว้อยู่ในมิติต่างแดน ก่อนหน้าวันนี้ที่เยี่ยนจ้าวเกอและหลินโจวจะเข้าไป ก็เก็บรักษาอยู่ที่นั่นอย่างดีมาโดยตลอด นับเป็นวัตถุโบราณก่อนวิกฤตการณ์ใหญ่ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ในปัจจุบันอย่างแน่นอน

ทว่าเท่าที่เยี่ยนจ้าวเกอทราบ สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่หลังวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ขุดค้นซากอารยธรรมวิถีวรยุทธ์คนรุ่นก่อนเฉกเช่นเดียวกัน แล้วผนึกรวมกับความเข้าใจซึ้งของตนพัฒนาสำนักขึ้นมา หากจะไล่ย้อนกลับขึ้นไป ก็มีเส้นทางที่ย้อนสู่ก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ได้เช่นเดียวกัน

เยี่ยนจ้าวเกอลูบคางตนเอง “ตราประทับนี้ บางทีอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับการสืบทอดคัมภีร์เทพดวงอาทิตย์ในตำนานนั่นก็เป็นได้ แต่ไม่รู้ว่าลวดลายจารึกชุดหนึ่งไปอยู่ในมือชาวกระเรียนล่องลอยได้อย่างไรกัน”

————————–