ถึงแม้ว่าอู๋ตี้กับเสี่ยวหงจะเก่งกาจ แต่ระดับของฝ่ายตรงข้ามนั้นสูงกว่า อีกทั้งยังมีจำนวนเยอะกว่า เยอะชนิดที่ว่าเพียงพอที่จะคร่าชีวิตมันเลยก็ว่าได้
ในการต่อสู้ที่ความแข็งแกร่งของสองฝ่ายแตกต่างกันมากเช่นนี้ สิ่งที่มู่เฉียนซีทำได้คือการปกป้องตัวนางเองให้ดีที่สุดก่อนเท่านั้น
ตัวเอกของการต่อสู้รอบที่สองนี้คืออู๋ตี้กับเสี่ยวหง ต่อให้พวกมันจะหมดเรี่ยวหมดแรง มู่เฉียนซีก็รู้ดีว่าตนเองไม่อาจใช้วิธีพิเศษที่จะช่วยให้ทั้งสองชนะได้ อู๋ตี้กับเสี่ยวหงนั้น พวกมันทั้งสองมีความทะนงในตนเอง
— ตูม! —
เสียงดังลั่นสนั่นฟ้า การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป
— ปัง! —
ขนปุกปุยสีขาวราวหิมะของอู๋ตี้เวลานี้แปดเปื้อนไปด้วยเลือด และเป็นเพราะร่างของอู๋ตี้ใหญ่อย่างยิ่งยวด บาดแผลของมันจึงเรียกได้ว่าโหดร้ายและสร้างความเจ็บปวดกว่าปกติมาก
มู่เฉียนซีเป็นห่วงอู๋ตี้มาก ร่างของนางเคลื่อนไหวรวดเร็วราวกะพริบ รีบไปฉีดยาแก้อาการปวดและยาห้ามโลหิตให้กับมัน
ในเวลานี้ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ไล่ตามมู่เฉียนซีก็เริ่มโจมตีเข้าใส่นาง อู๋ตี้ไม่รอช้า รีบใช้กรงเล็บที่แหลมคมข่วนสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวนั้นทันที
“ไสหัวไป! อย่ามาทำร้ายนายท่านของข้า ไป ไปซะ!”
เปลวไฟสีแดงเข้มเป็นอาวุธป้องกันตัวและเป็นอาวุธโจมตีที่ดีที่สุดของเสี่ยวหง เปลวไฟสีแดงเข้มนั้นพวยพุ่งออกไป ทำให้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์หวาดกลัว
เปลวไฟนี้เป็นพลังอานุภาพในการทำลายล้าง ดังนั้นจึงทำให้พวกมันหวาดกลัวอย่างไร้ที่เปรียบ
แต่ถึงกระนั้นแล้วอย่างไรเล่า ? อย่างไรเสียพวกมันก็มีวิธีจัดการกับเจ้าสองตัวนี้อยู่วันยังค่ำ
การเข่นฆ่าของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ทั้งโหดร้าย ป่าเถื่อน และกินเวลาไปนานมาก สภาพของอู๋ตี้ในเวลานี้ไม่อาจจะทนไหวแล้ว มันร่อแร่แย่แล้ว
— ปัง! —
ร่างอันมหึมาของอู๋ตี้ล้มลงไปกับพื้น
“โฮกกกก!”
ยามที่เห็นคู่ต่อสู้ล้ม สัตว์ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้เร่งฉวยโอกาสพุ่งเข้าหาอู๋ตี้อย่างบ้าคลั่ง
มู่เฉียนซีหน้าซีดเผือด เข็มยาที่อยู่ในมือเตรียมพร้อมจะพุ่งออกไป แต่ทันใดนั้นเอง แสงสีขาวพลันกะพริบขึ้นมา ในขณะที่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์กำลังจะมาถึงตัวอู๋ตี้ ร่างของอู๋ตี้พลันเปลี่ยนแปรเป็นหดเล็กลงเช่นเดิม มันหาช่องโหว่พุ่งพรวดออกมาเพื่อหลบการโจมตีนั้น
ช่างน่าหวาดเสียวยิ่งนัก โชคดีที่เจ้าอู๋ตี้ไม่เป็นอะไร
ทว่าอู๋ตี้ในร่างที่เล็กเท่าฝ่ามือนี้พลังก็ใช่ว่าจะอ่อนแอ จิ๋วแต่แจ๋ว ความรวดเร็วในการลอบโจมตีของมันก็ลื่นไหลดีมาก
ส่วนเสี่ยวหง ยิ่งร่างใหญ่เท่าไหร่ก็ยิ่งมีกำลังวังชามากขึ้นเท่านั้น มันหัวเราะก่อนจะกล่าวว่า “ฮี่ ๆ ๆ ๆ ตอนนี้ข้าไม่ง่วง เพราะฉะนั้นพวกเจ้าตายแน่”
มีผู้ที่จะต้องปกป้อง ทำให้มีกำลังใจในการเปลี่ยนแปลงตนเองให้แข็งแกร่งขึ้น เวลานี้เสี่ยวหงคล้ายว่าจะไม่ขี้ง่วงขี้เซาเหมือนเช่นเมื่อก่อนแล้ว ในที่สุดเสี่ยวหงก็ทะลวงพลังวิญญาณเลื่อนขั้นสำเร็จจนได้
มันเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสามแล้ว
ถึงแม้จะเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสามเหมือนกัน แต่เสี่ยวหงกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสามตัวที่เป็นคู่ต่อสู้ก็แตกต่างกันราวท้องฟ้ากับผืนแผ่นดิน พลังอำนาจที่น่ากลัวของเสี่ยวหงทำให้ทำให้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้หวาดกลัวมันเหลือเกิน
เห็นได้ชัดว่ามันเพิ่งจะเลื่อนขั้นไปเมื่อครู่นี้ แต่กลับดูเหมือนเลื่อนขึ้นมานานแล้วหลายร้อยปี เสี่ยวหงเริ่มเข้าโจมตีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ทันที
อู๋ตี้เห็นเช่นนี้รู้สึกไม่พอใจ “ให้ตาย! เจ้าหมูอ้วนนั่นได้เลื่อนขั้นก่อนข้าได้อย่างไร ?! อันที่จริงต้องเป็นข้าสิที่ได้เลื่อนขั้นก่อน”
แสงสีขาวสว่างวาบตัดผ่านอากาศ อู๋ตี้ทุ่มเทอย่างสุดกำลังเพื่อลอบโจมตีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ ทำให้เหล่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์รู้สึกรำคาญใจยิ่งนัก พวกมันพยายามจะจับอู๋ตี้ให้ได้ แต่อู๋ตี้ก็หลุดรอดไปได้ทุกครั้ง
“โฮก! โฮก! โฮก! แค้นใจยิ่งนัก”
“เมี๊ยว ข้าเองก็เลื่อนขั้นแล้ว ม๊าววววว!”
อู๋ตี้ตะเบ็งเสียงเมี๊ยวม๊าวดังลั่น มันรู้สึกได้ถึงพลังความแข็งแกร่งที่เปลี่ยนแปลงในร่างกายของมัน ใบหน้ามันแสดงออกถึงความปีติยินดี หลังจากพลังกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง มันก็สามารถแปลงเป็นร่างอันมหึมาได้ดังเดิม
— ปัง! —
สองมือของอู๋ตี้กวัดแกว่งตบไปมา ทำให้เหล่าบรรดาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่เข้ามาใกล้มันกระเด็นลอยออกไป
มู่เฉียนซียิ้มมุมปากด้วยความพึงพอใจ ในที่สุดอู๋ตี้กับเสี่ยวหงก็ได้เลื่อนขั้นสำเร็จแล้ว
เงาร่างสีเหลืองของท่านผู้อาวุโสที่อยู่ในความมืดเห็นเสี่ยวหงกับอู๋ตี้ร่วมมือต่อสู้ไปอย่างเพลิดเพลินเช่นนี้ ร่องรอยความตกใจก็ปรากฏขึ้นในดวงตา สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองตัวนี้มีความพิเศษเหมือนกันมาก แม้แต่เขาเองก็ยังมองไม่ออกถึงเบื้องหลังความเป็นมาของพวกมัน
ช่างแปลกประหลาดดีแท้!
— ปัง! ปัง! ปัง! —
หลังจากที่เสี่ยวหงกับอู๋ตี้ได้เลื่อนขั้น ทั้งสองก็จัดการกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ได้อย่างราบรื่น
ร่างของปรมาจารย์ฝึกสัตว์ผู้นั้นออกมาอีกครั้ง “ยินดีด้วย เจ้าผ่านการทดสอบรอบที่สองแล้ว”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างไม่อ้อมค้อม “เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว คู่หูของข้าเก่งกาจนัก การทดสอบรอบสองนี้จัดได้ว่ากล้วย ๆ”
“เช่นนั้นก็มาเริ่มรอบที่สามกันเลยดีกว่า คิดจะผ่านรอบที่สามให้ได้ เกรงว่าคงจะไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่เจ้าคิด”
มิติเปลี่ยนไปอีกครั้ง มู่เฉียนซีเห็นลูกสัตว์วิญญาณตัวเล็ก ๆ ทั้งหมดตรงหน้า นางคิดว่าเหล่าบรรดาลูกสัตว์วิญญาณเหล่านี้ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรเลย เพียงให้อู๋ตี้ใช้กรงเล็บอันแหลมคมข่วนเข้าก็จบสิ้นแล้ว
ทว่า… การทดสอบรอบที่สามนี้ไม่ใช่การต่อสู้!
ในไม่ช้าปรมาจารย์ฝึกสัตว์ก็ได้บอกกับนางว่า “การทดสอบรอบที่สามนี้คือการทำให้เหล่าบรรดาลูกสัตว์วิญญาณเหล่านี้เข้ามาใกล้เจ้า การจะเป็นปรมาจารย์ฝึกสัตว์ก็ต้องมีคุณสมบัตินี้ด้วย”
‘ทำให้ลูกสัตว์เหล่านี้เข้ามาใกล้ตนเองรึ ?’ มู่เฉียนซีผงะไปครู่หนึ่ง ‘นี่มันการทดสอบบัดซบอะไรกัน ?’
อู๋ตี้พรวดเข้าไปในกลุ่มลูกสัตว์วิญญาณและโบกมือต้อนพวกมันพลางกล่าวข่มขู่อย่างลำพองตน “เร็วเข้า รีบเข้าไปหานายท่านของข้าเร็วเซ่!”
“โฮก! ฮี๊ด!” เหล่าบรรดาลูกสัตว์วิญญาณต่างพากันตกใจกลัว บ้างก็ส่งเสียงประหลาดพิกลออกมา
เปลวไฟพุ่งขึ้นไปในอากาศ เสี่ยวหงกล่าวข่มขู่ “จะร้องไห้กันทำไมเล่า ? ข้าแค่ให้พวกเจ้าเข้าไปหานายท่านของข้าก็สิ้นเรื่องแล้ว ไม่เช่นนั้นข้าจะเผาพวกเจ้าให้มอดไหม้ไปเลย ไป! เข้าไปเร็ว ๆ”
“ฮี๊ด! โฮก!”
สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองตัวของมู่เฉียนซีช่างไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย ซ้ำร้ายยังข่มขู่ใช้ความรุนแรง สิ่งนี้ทำให้ปรมาจารย์ฝึกสัตว์ไม่อาจทนดูได้ เขากระแอมในลำคอก่อนจะกล่าวขึ้น
“อะแฮ่ม! การใช้อำนาจและความรุนแรงข่มขู่ไม่อาจทำให้ลูกสัตว์วิญญาณเหล่านี้เข้าใกล้เจ้าได้ ต้องอ่อนโยนเท่านั้น…”
อ่อนโยนรึ ?!
สีหน้าของมู่เฉียนซีหม่นคล้ำลงด้วยความเคร่งเครียดเหลือแสน นางมองไปที่เหล่าบรรดาเจ้าลูกสัตว์ตัวเล็ก ๆ นั่นพลางกล่าวขึ้น “พวกเจ้ามานี่สิ มา… มาเร๊ว!”
แต่แล้วพวกมันก็ถอยหนีไปด้วยเพราะความขลาดกลัว แม้มู่เฉียนซีจะพยายามอย่างเต็มที่ ทั้งยังทำทุกอย่างด้วยความใจเย็น ลูกสัตว์วิญญาณเหล่านี้ก็ไม่ได้สนใจนางเลย อีกทั้งยังลอบโจมตีนางเสียด้วยซ้ำ
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างจนปัญญา “นี่มันการทดสอบบ้าบออันใดกัน ข้ากับลูกสัตว์วิญญาณไม่ได้มีวาสนาต่อกันเลย”
ปรมาจารย์ฝึกสัตว์มองดูเจ้าเด็กตรงหน้าผู้ซึ่งกำลังกลัดกลุ้มใจ แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร หากจะผ่านการทดสอบรอบนี้ไปให้ได้ก็ต้องพึ่งพาตัวเองเท่านั้น
มู่เฉียนซีคิดวิธีมาครึ่งค่อนวัน ในที่สุดนางก็นึกวิธีหนึ่งออก…ปรุงยา!
ไม่มีทางอื่นแล้ว นางคิดขึ้นได้ว่าที่ผ่านมารอบตัวนางล้วนแต่มีคนตะกละมากมาย เช่นนั้นหากนางจะใช้ของกินล่อก็นับว่าเป็นกลยุทธ์ที่ไม่เลว
เสี่ยวหงกล่าวขึ้น “นายท่าน ไม่ใช่ว่าสัตว์วิญญาณทุกตัวจะตะกละเหมือนเจ้าแมวโง่เง่านั่น ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นเหมือนเจ้าตะกละจวินโม่ซีที่จะกินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่มสักที และไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นเหมือนเจ้าท่อนไม้ชิงอิ่งที่ชอบกินยาวิญญาณราวกับกินลูกกวาด ข้าเกรงว่าเราอาจจะไม่ผ่านการทดสอบที่สาม”
มู่เฉียนซี “หากไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไรเล่า บางทีข้าอาจจะหลอมยาหรือปรุงยาที่ถูกปากพวกมันก็ได้”
หลังจากที่ใช้ความพยายามอย่างหนัก มู่เฉียนซีก็ได้หลอมยาเม็ดวิญญาณและปรุงยาน้ำออกมาส่วนหนึ่งเพื่อมอบให้กับลูกสัตว์วิญญาณเหล่านี้กิน ทว่าพวกมันกลับวิ่งหนีราวกับกลัวว่าจะมีคนวางยาพิษพวกมัน
มู่เฉียนซีพยายามชักชวนและโน้มน้าวให้พวกมันกิน แต่โน้มน้าวอย่างไรพวกมันก็ไม่ยอมเข้ามาใกล้เลย
มู่เฉียนซีหมดความอดทน นางปรบมือและกล่าวขึ้นมา “อู๋ตี้ เสี่ยวหง เอายาวิญญาณแต่ละชนิดยัดให้พวกมันกิน ข้าไม่เชื่อหรอกว่าไม่มีชนิดใดที่ไม่ถูกปากพวกมัน”
อู๋ตี้ยิ้มพลางหัวเราะชอบใจ “ฮี่ ๆ ๆ ได้เลยนายท่าน นี่สิถึงจะสมกับเป็นนายท่าน”
สำหรับคำสั่งของนายท่านแล้ว ทั้งสองเชื่อฟังอย่างแน่นอน พวกมันไม่ได้รู้สึกอับอายกับการที่กำลังจะรังแกลูกสัตว์วิญญาณตัวน้อยพวกนี้แต่อย่างใดเลย
“โฮก! ฮี๊ด! โฮก!” ลูกสัตว์วิญญาณต่างก็ขัดขืนอย่างดุเดือด
มู่เฉียนซียกยิ้มมุมปาก ‘เจ้าตัวเล็กทั้งหลายเอ๋ย! ตอนนี้ไม่สนใจข้า แล้วอย่ามาวิ่งไล่กอดขาข้าทีหลังก็แล้วกัน’
ลูกสัตว์วิญญาณแต่ละตัวรายล้อมไปด้วยยาวิญญาณ บางตัวแสดงสีหน้าที่ไม่ชอบใจออกมา แต่บางตัวเมื่อได้กินเข้าไปแล้ว ก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
พวกมันวิ่งเข้ามาหามู่เฉียนซี ดวงตาก็มองมู่เฉียนซีตาแป๋วราวกับกำลังขอร้องนางว่า ‘ขออาหารอีก!’ ‘เลี้ยงดูข้าด้วยเถิด!’
เหล่าบรรดาลูกสัตว์วิญญาณที่ดื้อรั้นเหล่านี้ ในที่สุดก็เชื่อฟังนางแล้ว
ปรมาจารย์ฝึกสัตว์ผู้นั้นกล่าวขึ้นว่า “เจ้าแน่ใจนะว่าเจ้าไม่ได้ใช้ยาไม่ดีควบคุมพวกมัน ?”
.