ตอนที่ 179.3 สำรวจยามดึก (3)

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

แม่ชีจิ้งอี้ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่มองหญิงสาวผู้สวมชุดแม่ชีเดินจากไป นางรู้สึกโกรธอย่างเจ็บใจแต่ไร้ที่ระบาย 

 

 

ส่วนเจิ้งหวาชิว หลังจากออกจากอารามฉางชิง นางตรงไปยังพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยนโดยเดินเลียบไปตามกำแพง 

 

 

มีชายหนึ่มสวมใส่ชุดทหารรักษาพระองค์ยืนอยู่ตรงทางเดินระเบียงสีแดงที่อยู่ด้านนอกพระที่นั่ง เจิ้งหวาชิวรู้ทันทีว่าวันนี้เป็นหน้าที่ของฉินอ๋องที่ต้องมาปรนนิบัติรับใช้ช่วงเวลากลางวัน และในเวลานี้ท่านอ๋องกำลังอยู่ด้านใน นางเดินเข้าไปทักทาย “ใต้เท้าซือ” 

 

 

ซือเหยาอันมองซ้ายขวา เป็นอันส่งสัญญาณให้ขันทีประจำการกลางวันสองคนออกไปก่อน เขาถามเสียงเบาว่า “เจิ้งกูกูไปอารามฉางชิงมาแล้วหรือ” 

 

 

“ใช่” เจิ้งหวาชิบตอบ “ข้านำคำสั่งของฉินอ๋องไปแจ้งให้กับแม่ชีจิ้งอี้ทราบแล้ว แม่ชีแก่พอได้ยินประวัติอันเลวร้ายที่นางเคยก่อเอาไว้ นางตกใจจนหน้าม่วงไปเลยเจ้าค่ะ จากนี้ไปนางคงปฏิบัติต่อพระชายาฉินดีขึ้น ใต้เท้าซือบอกฉินอ๋องให้วางใจได้เจ้าค่ะ” 

 

 

ซือเหยาอันพยักหน้าหงึกๆ “ขอบใจเจิ้งกูกูมาก” 

 

 

จากนั้นเจิ้งหวาชิวก็เดินจากไป เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ดวงอาทิตย์เริ่มย้ายไปอยู่ทิศตะวันตก 

 

 

ประตูพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยนเปิดออกเสียงดังเอี๊ยด ซย่าโหวซื่อถิงเดินออกมาพร้อมกับเหยาฝูโซ่วที่เดินตามหลัง 

 

 

ซือเหยาอันรู้ว่าช่วงเวลาการปรนนิบัติรับใช้ของท่านอ๋องสามถึงเวลาแล้ว เมื่อเห็นท่านอ๋องคุยกับเหยากงกงไม่กี่คำเสร็จ เขาสองคนก็เดินออกจากพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยน และนำสิ่งที่เจิ้งหวาชิวแจ้งเมื่อครู่นี้รายงานให้ฟังทั้งหมด อีกทั้งยังปลอบใจอีกว่า “ท่านอ๋องสามวางใจเถอะขอรับ หลักฐานที่ให้ข้ารวบรวม เพียงพอที่จะหยุดแม่ชีจิ้งอี้ ไม่ให้ทำการใดต่อเหนี่ยงเหนียงได้อีกขอรับ อีกอย่างนี่ก็ใกล้แล้วขอรับ” 

 

 

ใกล้แล้ว? หนึ่งวันในนั่นไม่รู้ว่าต้องเจอสิ่งใดบ้าง ซย่าโหวซื่อถิงนิ่งเงียบไม่พูด มือไขว้ไว้ด้านหลังและเดินเลียบไปตามกำแพงพระราชวังจนเกือบถึงประตูเจิ้งหยาง ซึ่งเป็นประตูทางเข้าออกพระราชวัง เขาเห็นเกี้ยวหลังคาสีน้ำเงินกำมะหยี่ถูกนายทหารทำความเคารพและอนุญาตให้เข้าวังไป 

 

 

เกี้ยวลำนั้นโยกไปโยกมา ผ้าม่านแผงลูกปัดก็กวัดแกว่งไปมา ดูสง่างามและอิสระ 

 

 

ทั้งซ้ายและขวามีผู้ติดตามพกดาบยาวที่พร้อมจะดึงออกมาเพื่อใช้เปิดทางทุกเมื่อ ระหว่างคนกลุ่มนี้มีคนต่างชาติหน้าตาเข้มขรึมแทรกอยู่ด้วยหลายคน 

 

 

เป็นชาวต้าสื่อ 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงไม่เดินต่อ คนในเกี้ยวคล้ายว่าจะมองเห็นตัวเองเหมือนกัน เกี้ยวลำนั้นเปลี่ยนทิศทางและกำลังมาทางนี้ จากนั้นเกี้ยวก็จอดนิ่งอยู่ตรงหน้าซึ่งห่างออกไปเพียงไม่กี่สิบก้าว 

 

 

แผงลูกปัดถูกปัดออก มีชายหนุ่มหน้าตาเคร่งขรึม หาใช่ชายหนุ่มชาวฮั่นไม่ กำลังก้าวลงมา พอเงยหน้าขึ้น ลักษณะโฉมหน้าของเขาดูสุขุมนุ่มลึก ดวงตาคู่นั้นเป็นสีเขียวราวกับหยก หางตาชี้ขึ้นเล็กน้อย ดูโดดเด่นอย่างบอกไม่ถูก 

 

 

ชายหนุ่มย่ำเท้าเข้ามาหาซย่าโหวซื่อถิง สองมือประสานทำความเคารพ “ถวายความเคารพฉินอ๋อง” 

 

 

ทั้งสองคนถือว่าเป็นชายหนุ่มที่มีรูปร่างโดดเด่นเหนือบรรดาชายหนุ่มชาวฮั่นทุกคน เมื่อยืนคู่กัน หาข้อแตกต่างแทบไม่ได้ 

 

 

ซือเหยาอันกระซิบทันทีที่รู้ว่าคนตรงหน้ามีสถานะเป็นอะไร “ท่านอ๋องสามขอรับ ท่านนี้คือผู้แปลภาษาของภริยาทูต และท่านทูตแห่งต้าสื่อที่มาค้าขายในเยี่ยจิงเมื่อหลายวันก่อน สินค้าที่ร้านเซียงหยิงซิ่วส่งออก ล้วนประสานงานผ่านท่านนี้ขอรับ ได้ยินท่านเกาจ๋างซื่อพูดไว้ว่า เรื่องที่ท่านหญิงหย่งจยาแอบใส่แมลง ท่านนี้เองขอรับที่เป็นผู้ช่วยเหลือเหนี่ยงเหนียงคอยประสานกับทางทูตของต้าสื่อ…เอ๊ะ ทูตแห่งต้าสื่อกลับไปแล้วนี่ขอรับ แล้วเหตุใดเขายังอยู่ที่นี่” 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงรู้ว่าเขาเป็นใคร พอกลับถึงจวนวันนั้น ด้วยความที่เกาจ๋างซื่อเป็นคนจงรักภักดี เขาจึงนำเรื่องเฟิ่งจิ่วหลังกับอวิ๋นหว่านชิ่นทำอะไรด้วยกันบ้าง รายงานอย่างไม่ขาดตกบกพร่องให้เขาทราบ เขาเองก็ฟังอย่างตั้งใจ และรู้ดีกว่าซือเหยาอันอีก 

 

 

ตอนนี้เขามองเฟิ่งจิ่วหลังและใช้น้ำเสียงเรียบนิ่งเกรงใจพูดออกไปว่า “ใต้เท้าเฟิ่งยังไม่ออกจากเมืองหลวง เพราะยังทำธุระที่เยี่ยจิงไม่เสร็จรึ” 

 

 

เฟิ่งจิ่วหลังยิ้ม  “อ้าว ฉินอ๋องไม่รู้อย่างนั้นหรือ” 

 

 

ในสายตาเขา รอยยิ้มนั้นไม่ใช่การยิ้มเป็นมารยาทหากแต่เป็นการยุแหย่ ซย่าโหวซื่อถิงเริ่มรู้สึกตงิดๆ ไม่พอใจ 

 

 

เฟิ่งจิ่วหลังกวาดสายตาไปรอบๆ ภายใต้แสงตะวันที่ใกล้ลับขอบฟ้า สาดส่องมายังพระราชวัง ช่างโออ่าสง่างามยิ่งนัก สองแขนของเขากางออก “หลายปีมานี้ข้าเดินทางไปทั่วเมือง หากเมืองนั้นมีทิวทัศน์น่าหลงใหลจนยากที่จะลืม ข้าก็จะอยู่ต่ออีกสักพัก อย่างน้อยก็ครึ่งปีถึงหนึ่งปี อย่างมากก็สามถึงห้าปี เมืองเยี่ยจิงแห่งนี้เป็นเมืองใหญ่ของแผ่นดินใหญ่ ถูกใจข้ายิ่งนัก ข้าขอไม่ปิดบังฉินอ๋องก็แล้วกัน เมื่อตอนก่อนที่เหนี่ยงเหนียงจะเดินไปเยี่ยนหยาง ข้าเริ่มซื้อที่อยู่อาศัย อ้อใช่ ยังซื้อร้านขายของอีกหนึ่งร้าน เอาไว้ค้าขายเครื่องเทศอันเป็นสินค้าของต้าสื่อด้วย ร้านค้าอยู่ตรงถนนจิ้นเป่านี่เอง ถัดจากร้านเซียงหยิงซิ่วไปไม่กี่ร้าน ความสามารถในการจัดตำรับยาของเหนี่ยงเหนียงนั้นยอดเยี่ยมมาก หากข้ามีสิ่งใดให้ช่วยเหลือ คงต้องขอคำปรึกษาจากเหนี่ยงเหนียง ศึกษาแลกเปลี่ยนความรู้ ผลิตเครื่องเทศของทั้งสองเมืองให้เป็นเลิศ ไม่แน่ ข้าอาจจะปักหลักอยู่ที่นี่เลยก็ว่าได้” 

 

 

ชายหนุ่มพูดฉอดๆ สบายใจเฉิบ แต่บรรยากาศกลับเย็นเยือกขึ้นมาในทันใด 

 

 

เฟิ่งจิ่วหลังดูเหมือนไม่สนใจว่าฉินอ๋องยินดีหรือไม่ที่ตนอยู่ต่อ นัยน์ตาของเขายังเปล่งประกายพร้อมเผยรอยยิ้มออกมา อีกทั้งยังมีท่าทีพร้อมต้อนรับการตอบโต้และท่าทีจากฝ่ายตรงข้าม 

 

 

แต่ซย่าโหวซื่อถิงตอบกลับเพียงว่า “หลงใหลในทิวทัศน์ก็คงพอแล้ว เรื่องอื่นอย่าไปสนใจเลยดีกว่า” 

 

 

เฟิ่งจิ่วหลังหรี่ตาลง ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลยสักนิด ทีเมื่อครู่ใบหน้าของเขาดูเหมือนเต็มไปด้วยความหึงหวงและกริ้วโกรธ โธๆ ช่างน่าเบื่อสิ้นดี เขาจึงเปลี่ยนเรื่องและถามออกไปว่า “เหนี่ยงเหนียงยังอยู่ที่อารามฉางชิงหรือ” 

 

 

ชาวต้าสื่อนี่ยุ่งไปซะทุกเรื่อง ซือเหยาอันคิดในใจ ต่อหน้าท่านอ๋องสาม คำก็เหนี่ยงเหนียงสองคำก็เหนี่ยงเหนียง เรียกขานราวกับสนิทสนมกันมาก เขาฟังแล้วยังรู้สึกไม่พอใจเลย คนดินแดนตะวันตกนี่มัน เปิดเผยในเรื่องผู้ชายกับผู้หญิงเสียจริง ต่อหน้าสามีของผู้อื่น ยังเก็บอาการไม่อยู่ขนาดนี้ กลัวหมัดชกไม่ถึงตัวหรืออย่างไรกัน เขาทำคิ้วเขม่นและตอบว่า “ขอรับ ใต้เท้าเฟิ่ง” 

 

 

เฟิ่งจิ่วหลังพยักหน้าหงึกๆ “ชาวฮั่นแห่งดินแดนจงหยวน[1]ช่างเป็นคนกว้างขวางในทุกเรื่อง มีแค่เรื่องเดียวที่ไม่ดี นั่นก็คือการอวดรู้ เรื่องของเหนี่ยงเหนียงข้าพอได้ยินมาบ้าง หากเกิดเรื่องเช่นนี้ในต้าสื่อ จะต้องได้รับการสรรเสริญชมเชยจากข้าราชการและประชาชนเป็นแน่ เห้อ เสียดายนัก ทำผลงานได้แท้ๆ ต้าซวนมีหลักจารีตที่เข้มงวด กลับได้โทษซะงั้น” 

 

 

นี่กำลังบอกว่าการเป็นสะใภ้ของต้าซวนสู้เป็นสะใภ้ของต้าสื่อไม่ได้อย่างนั้นรึ ซย่าโหวซื่อถิงเขม่นตาใส่เขา เขาพูดต่อว่า “แต่ท่านอ๋องวางใจได้ ข้าได้รับจดหมายจากต้าสื่อเมื่อวันก่อน เครื่องเทศของเหนี่ยงเหนียงส่งถึงแล้ว จักรพรรดิและเหล่าขุนนางชอบใจนัก วันนี้ที่ข้าเข้าวัง ก็มาเพื่อรายงานให้ไทเฮาทรงทราบ และถือโอกาสนี้ช่วยเหนี่ยงเหนียง” 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงตอบอืมคำเดียว ถือว่าสุภาพมากพอแล้ว “รบกวนใต้เท้าเฟิ่งด้วยขอรับ” 

 

 

เฟิ่งจิ่วหลังจึงขอลาและขึ้นเกี้ยวไป 

 

 

เมื่อเห็นเกี้ยวห่างออกไปเรื่อยๆ ซือเหยาอันถอนหายใจ ฮู้ววว จากนั้นเดินตามหลังอ๋องสามอย่างเงียบๆ บรรยากาศเมื่อครู่นี้อึดอัดยิ่งนัก แม้ว่าไม่มีเรื่องทะเลาะเกิดขึ้น แต่ราวกับว่าในอากาศเต็มไปด้วยหนามแหลม มันทรมานยิ่งกว่าทะเลาะกันเสียอีก 

 

 

ถ้าเป็นเขา มีชายหนุ่มคนหนึ่งเล่นหูเล่นตาอยู่ตรงหน้า แถมยังพูดถึงภรรยาของตนอย่างสนิทสนมไม่หยุด อย่าว่าแต่ต่อยสองหมัดให้ฝ่ายตรงข้ามร้องขอชีวิต อย่างน้อยก็ต้องด่าทั้งโคตรเหง้า ไม่เสียเวลาพูดกับมันเยอะขนาดนั้นแน่ 

 

 

นับถืออ๋องสามจริง ที่รักษาภาพพจน์องค์ชายแห่งเมืองใหญ่เอาไว้ ไม่แสดงทีท่าหึงหวงออกไปเลยสักนิด นิ่งไว้ให้เรื่องมันผ่านไปเอง เก่งจริงๆ ไม่ได้การล่ะ ข้าต้องเรียนเอาไว้ 

 

 

พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าว คนตรงหน้าที่ไขว้มือไว้ด้านหลังก็หยุดลง 

 

 

ซือเหยาอันหยุดตาม 

 

 

“เมื่อครู่นี้——เขาบอกว่าร้านใหม่ของเขา อยู่ถนนจิ้นเป่า ใช่หรือไม่” ชายหนุ่มไม่ได้หันกลับมา แต่ส่งเสียงอันแผ่วเบาราวกับเสียงลมออกมา 

 

 

“ขอรับ” ซือเหยาอันงุนงง 

 

 

“หาคนไปพังให้หมด” 

 

 

หลังจากเจิ้งหวาชิวกลับไป ความเป็นอยู่ของอวิ๋นหว่านชิ่นก็ดีขึ้น 

 

 

แม้ว่าแม่ชีจิ้งอี้ยังคงปั้นสีหน้ากับนาง แต่ยุติธรรมกับนางขึ้นมาก และไม่มอบหมายงานหนักให้นางทำอีก 

 

 

 

 

 

 

 

 

[1] จงหยวน หมายถึง ศูนย์กลาง ภาคกลาง หรือที่ราบแถวแม่น้ำหวงเหออันเป็นอู่อารยธรรมจีนในสมัยก่อน