อวิ๋นหว่านชิ่นจึงมีเวลาว่างมากขึ้น ทำงานเสร็จเมื่อไหร่ นางจะใช้เวลาที่เหลืออ่านหนังสือที่เหยากวางเย่าส่งมา พออ่านถึงเนื้อหาเส้นลมปราณของร่างกาย นางถึงกับพูดไม่ออกบอกไม่ถูก คนที่ตื่นเต้นกว่าคือเหยากวางเย่า ที่ถึงกับฝากเจิ้งหวาชิวให้นำตุ๊กตาผ้าพร้อมจุดฝังเข็มกับเข็มอีกหนึ่งชุด ส่งมาให้นางฝึกซ้อม เมื่อได้สองสิ่งนี้มา มันช่วยให้นางมีความชำนาญมากขึ้นจริง
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะถูกลงโทษ ไม่มีความวุ่นวายจากภายนอกมารบกวน จนใจนั้นนิ่งหรือไม่ ที่ทำให้อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกว่าการอ่านของนางนั้น เร็วขึ้น เกิดความเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง มากกว่าตอนอยู่ในเรือนหรือจวนอ๋องเสียอีก นางมีเวลาไตร่ตรองเป็นการส่วนตัว จนกระทั่งได้ความรู้เรื่องเวชเครื่องสำอางมามากมาย เมื่ออยู่นานวัน นางเริ่มสนิทกับเหล่าแม่ชีที่พักห้องเดียวกัน บางครั้งนางยังเก็บสมุนไพรตามสวนด้านหลังอาราม มารักษาโรคคันมือตามเท้าที่มักเกิดในฤดูหนาวกับโรคกลากเกลื้อนบนหนังศีรษะให้กับเหล่าแม่ชีอีกด้วย
แม่ชีจิ้งอี้ไม่ชอบใจเวลาเห็นนางอ่านหนังสือสบายใจเฉิบ ทว่านางก็ต้องลืมตาค้างหนึ่งปิดตาค้างหนึ่งทำเป็นไม่สนใจ เพราะนางคุ้นเคยพระคัมภีร์และหลักธรรมะชนิดที่ว่าไร้ที่ติ อีกอย่างคำขู่ของเจิ้งหวาชิวยังคงวนเวียนอยู่ข้างหูนางตลอดเวลา
อากาศในเมืองหลวงปีนี้ค่อนข้างผิดปกติ แม้เข้าฤดูหนาวมาแล้วพักใหญ่ แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าหิมะจะตก เมื่อหลายวันก่อนก็มีแต่ลูกเห็บ แต่แล้วหิมะแรกของฤดูหนาวอันล่าช้าก็ได้ตกลงมาในช่วงกลางดึกของคืนนี้
เกร็ดหิมะที่ตกลงมาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ปกคลุมลานกว้างทั้งด้านหน้าและด้านหลังของอารามฉางชิงจนส่องประกายวิบวับ
หิมะตะลงมาเปาะๆ แปะๆ
กลุ่มแม่ชีกับมอมอ จากที่ใช้ชีวิตอย่างไร้สีสันและอรรถรส ตอนนี้กลับมีความสุขจนแทบหยุดไม่ได้ พวกเขาโฮ่ร้อง เล่นปาหิมะ และปั้นตุ๊กตาหิมะกันอยู่ด้านนอก
เวลาเพียงครู่เดียว เสียงแห่งความสุขก็ดังสะท้านจนหลังคาอารามฉางชิงแทบจะพลิกกลับด้าน
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ค่อยเห็นหิมะตก พอได้เห็น นางจึงเล่นสนุกไปกับคนเหล่านั้นด้วย
แม่ชีจิ้งอี้ไม่ชอบความคึกคัก คนกลุ่มนั้นเล่นสนุกได้ไม่นาน นางก็หยิบไม้ลงโทษออกมาขับไล่ทีละคนเข้าห้อง
เหล่าแม่ชีนานทีจะได้เห็นหิมะ เพิ่งเล่นกันได้ครู่เดียว พวกนางจึงขอร้อง “ซือไท่ ขอเล่นเพียงครู่เดียว เดี๋ยวค่อยเข้าห้องได้หรือไม่ ปีนึงมีครั้งเดียวเอง…”
แม่ชีจิ้งอี้โกรธพลุ่งพล่านขึ้นมาทันที นางนำไม้ลงโทษฟาดลงหัวของแม่ชีคนนั้น “มีอย่างที่ไหน คำพูดของข้าก็ไม่เชื่อแล้วหรืออย่างไร”
ไม้ลงโทษฟาดลงไปอย่างเสียงดัง นางไม่สนใจเลยว่าฟาดแรงแค่ไหน แม่ชีน้อยเล่นจนเหนื่อยแล้วเหมือนกัน นางถอดหมวกออก ก็พบว่าศีรษะอันเงาวับมีรอยเลือด นางปิดปากงียบ แต่ก็ทนความเจ็บปวดไม่ไหว นางได้แต่ปิดปากเอาไว้และเริ่มร้องไห้สะอื้น
“ร้องไห้ ข้าทำไม่ถูกรึ” แม่ชีจิ้งอี้คว้ามือและพยายามเอามือออก จากนั้นก็ฟาดลงไปอีกครั้ง เพียะ มีรอยเลือดเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งที่
อวิ๋นหว่านชิ่นทำหน้าเขม่น “ซือไท่จิ้งอี้ การเล่นเป็นพฤติกรรมธรรมชาติของมนุษย์ ขอเพียงไม่เล่นจนหมกหมุ่นไม่แสวงหาความก้าวหน้า ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร”
ในสำนักนางชี ไม่เคยมีใครกล้าสั่งสอนตนเลยสักคน แม่ชีจิ้งอี้เห็นนางเถียง ความอัดอั้นที่สั่งสมมาหลายวัน มันจะทะลักออกมาเดี๋ยวนี้ล่ะ และในตอนนั้นไม้ลงโทษในมือที่เกือบยกขึ้น ก็มีเสียงย่ำเท้าและแสงไฟ ดังและส่องมาจากจุดที่ไม่ไกลจากตรงนี้
เป็นกลุ่มขันทีจากพระราชวังถือโคมไฟกำลังเดินมาทางนี้ คนนำหน้าตะโกนขึ้นว่า “เสียงดังอะไรกัน! ดึกดื่นป่านนี้! ถึงว่าฝั่งพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยนรายงานว่าฝ่าบาทเข้าบรรทมไม่ได้ เพราะมีเสียงดังมาจากทางนี้ ที่แท้ก็เป็นพวกเจ้าจริงด้วย! ยังไม่ไสหัวกลับไปอีก ล็อกประตู ดับไฟ ห้ามใครออกมาอีกเด็ดขาด!”
แม่ชีจิ้งอี้ตกใจ เมื่อครู่นี้กลุ่มแม่ชีและมอมอเสียงดังจริง แต่เสียงดังแค่ไหน ก็คงไม่ดังไปถึงพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยนจนฝ่าบาทได้ยินหรอกกระมัง แต่ในเมื่อจิตฝ่าบาทไม่สงบ คนด้านล่างจะใช้เหตุผลอะไรก็ได้อยู่แล้ว ก็คงเป็นเพราะผ่านมาแถวนี้พอดี ก็เลยบังเอิญได้ยิน ส่วนทางนี้คงแก้ตัวไม่ได้ ถือว่าได้โอกาสนี้พอดี นางย่อตัวรับคำสั่ง “เจ้าค่ะ แม่ชีจะให้พวกเขาเข้าห้อง และไม่ให้ออกมาอีก” พูดเสร็จ นางหันหน้าไปทางอวิ๋นหว่านชิ่นและพูดจาประชดประชันว่า “ทำไมล่ะ พระชายาฉินคิดจะเล่นต่ออย่างนั้นหรือ”
อวิ๋นหว่านชิ่นแปลกใจไม่ต่างกับคำตำหนิของเหล่าขันที แต่นางไม่ได้พูดอะไร
แม่ชีจิ้งอี้ได้ใจเมื่อเห็นนางอ่อนข้อ นางยกมือขึ้นและเริ่มออกคำสั่ง “พวกเจ้า ยังไม่ทำตามคำสั่งของกงกงอีก กลับเข้าห้องตัวเองซะ ดับไฟ ล็อกประตู คืนนี้อย่าออกมาอีก ผู้ใดฝ่าฝืน รับโทษตามกฎสำนักนางชี!”
ทุกคนคิดว่าขันทีสำรวจการมาถึงที่เพราะพวกตนเสียงดัง จึงไม่กล้าพูดอะไรต่อ และกลับเข้าห้องอย่างเชื่อฟัง
แล้วกลุ่มขันทีก็จากไป
อวิ๋นหว่านชิ่นเดินข้างๆ แม่ชีที่ได้รับบาดเจ็บ ก่อนเข้าห้อง นางอยากไปเก็บสมุนไพรแก้บวมเอามาแช่น้ำไว้ เช้าของวันพรุ่งนี้นำมาทุบและทาที่แผล อย่างน้อยนางก็จะได้ฝึกวิชา แม่ชีน้อยส่งเสียงสะอื้นและพยักหน้าขอบคุณ
นางไปเก็บสมุนไพรที่สวนด้านหลังอย่างรวดเร็ว ซ่อนเอาไว้ข้างในไม่ให้ใครเห็น นางกลับเข้ามาอย่างเงียบๆ เวลาผ่านไปเพียงครู่เดียวเท่านั้น ตะเกียงไฟในทุกห้องนอนได้ดับลงหมดแล้ว
คนในอารามฉางชิง ไม่มีใครไม่เชื่อฟังแม่ชีจิ้งอี้ แต่ละคน พอขึ้นเตียงนอนและดับไฟ ต่างก็เอาผ้าห่มคลุมโปงและไม่กล้าส่งเสียงอีก
ตอนที่อวิ๋นหว่านชิ่นเพิ่งกลับมายังห้องตัวเอง นางเปิดประตูออก เสียงรองเท้าทำจากเหล็กย่ำพื้นหิมะดังขึ้นกึกกัก
สำนักนางชีทั้งหลังอยู่ในความมืดและความเงียบ ไม่มีใครกล้าออกมาสักคน คนที่กำลังเดินมาเป็นคนกล้าหาญมาก
ท่ามกลางพื้นที่เต็มไปด้วยหิมะ นางรู้สึกว่าคนด้านหลังโอบเอวนางเอาไว้ทั้งที่ยังไม่ทันหันหลังกลับ ความทุกข์ทรมานใจสอดแทรกอยู่ในลมหายใจอันร้อนลุ่ม ที่ออกมาจากรูจมูก มันร้อนราวกับไฟของมังกร และมันกำลังสัมผัสอยู่ที่คอของนาง
“บังอาจ กล้าล่วงล้ำเข้ามายังวัดในพระราชวัง ลักหยกขโมยบุปผา หากแม่ชีเห็นเข้า เจ้าคิดว่าเจ้ามีหัวอยู่กี่อันให้ตัดรึ” อวิ๋นหว่านชิ่นใช้หางตามองไปด้านหลังและพูดข่มขู่
“ประตูหน้าต่างล็อกหมดแล้ว ไม่มีใครกล้ายื่นหัวออกเลยสักคน แล้วใครจะเห็นรึ” คนข้างหลังกล่าวด้วยเสียงอู้อี้ คล้ายว่ารู้อยู่แล้วว่านางตั้งใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ตานี่ เล่นเหมือนเด็กๆ ไม่รู้จักเวล่ำเวลาเอาซะเลย ยิ่งได้ยินคำว่า “ลักหยกขโมยบุปผา” ฝ่ามือที่ทาบไว้กับตัวนางยิ่งอยู่ไม่นิ่ง เสียงลมหายใจที่อยู่ข้างหูก็เริ่มรุนแรง
“มักมากบ้าตัณหา!” นางกล่าวตำหนิพร้อมจับมือข้างนั้นเอาไว้ “โจรขโมยบุปผา! ถ้ายังไม่หยุดข้าจะตะโกนแล้วนะ!”
ในที่สุดคนด้านหลังก็ยอมแพ้ เขาพูดเสียงทุ้ม “แม่ชีอยู่จนเบื่อสินะ แสดงละครขึ้นมาล่ะเก่งเชียว”
หญิงสาวด้านหน้าก็เลยไม่แกล้งต่อ “ก็ใช่นะสิเจ้าคะ หรือไม่ ท่านอ๋องก็ลองมาอยู่สักวันสองวัน”
คนด้านหลังออกแรงพลิกตัวนางกลับมา ค่ำคืนแห่งหิมะไร้ดวงจันทร์ เหล่าแม่ชีต่างนอนหลับใหล หามีตะเกียงไฟจุดไม่ มีเพียงพื้นสีขาวที่ส่องประกายแสงเล็กน้อย ทำให้มองเห็นใบหน้าที่ไม่ได้พบมานาน
แก้มสีอมชมพูถูกปิดด้วยเสื้อคลุมแม่ชีสีน้ำเงินเขียว ผมดำยาวเกือบถึงเอวถูกมัดรวบไว้บนหัวทั้งหมด แก้มสองข้างมีสีแดงระรื่อ ปลายจมูกอันสวยงามกะทัดรัดถูกลมหนาวพัดจนกลายเป็นสีชมพู ดวงตากลมโตราวกับตาแมว ส่องประกายวิบวับในคืนแห่งหิมะ ริมฝีปากแอบแฝงไปด้วยรอยยิ้ม
ทุกส่วนที่อยู่ด้านบนของแก้ม ไม่ว่าจะเป็นตา คิ้ว จมูก ปากและลักยิ้ม มันช่างน่าดึงดูดไปหมด ตั้งแต่นางเข้ามาอยู่ในวัดเป็นเวลาหนึ่งเดือน เขาเก็บความรู้สึกคิดถึงนี้แทบไม่ไหว
แต่เขาก็พยายามห้ามความพลุ่งพล่านของเลือดเอาไว้ เขาใช้นิ้วโป้งปัดเกล็ดหิมะตรงคิ้วของนางออก และพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “เบื่อก็ดีแล้ว อยู่ไปอีกสักวันสองวัน รับโทษอีกสักหน่อย อย่างน้อยก็จะทำให้เจ้าจำขึ้นใจว่าจะไม่ทำผิดอีก”