ตอนที่ 180.2 ความคิดถึง (2)

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ชิ อวิ๋นหว่านชิ่นบึนปาก แล้วใครกันที่ตั้งใจทำให้ขันทีพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยนมาถึงที่นี่ บอกว่าแม่ชีอารามฉางชิงเสียงดัง จนทุกคนต้องเข้าห้อง ดับไฟ และไม่กล้าออกมาอีก ทำไปเพื่อให้เขาเข้ามาที่นี่ได้อย่างเปิดเผยสินะ 

 

 

คนปากอย่างใจอย่าง! 

 

 

“อ่อ งั้นข้าเข้าไปคิดทบทวน ลงโทษด้านในก็แล้วกันเจ้าค่ะ” นางผลักชายหนุ่มออก 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงออกแรงดึงกลับมาสู่อ้อมอกอีกครั้ง แล้วเขาก็พูดด้วยเสียงทุ้ม ที่ทั้งแฝงไปด้วยความโกรธและไม่มีทางเลือกว่า “เจ้าจะทำให้ข้าอัดอั้นจนตายให้ได้เลยหรืออย่างไร” 

 

 

มันไม่ง่ายเลยที่ต้องปรนนิบัติรับใช้และรอจนเสด็จพ่อเข้าบรรทม เมื่อมีหิมะตก คนในพระราชวังต่างดีใจกันใหญ่ ทุกคนเล่นกันสนุกสนานตามลานกว้างต่างๆ ในวังราวกับเทศกาลปีใหม่ เขาออกจากพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยน บอกกับขันทีเฝ้าประตูว่ามีเสียงดังรบกวนมาจากแถวอารามฉางชิง ขันทีรับคำสั่งและไปจัดการทันที เพราะกลัวว่าจะส่งผลกระทบต่อการเข้าบรรทมของฝ่าบาท 

 

 

พอเห็นขันทีไล่เหล่าแม่ชีเข้าห้อง ดับไฟและล็อกประตูจนเรียบร้อย เขาที่เดินตามตลอดทางจึงใช้โอกาสนี้วิ่งมาหา แต่ไม่ได้มาเพื่อให้นางไล่กลับเช่นนี้นะ! 

 

 

การดึงครั้งนี้ ทำให้นางเข้าสู่อ้อมแขนอันกว้างของเขาเต็มๆ 

 

 

ช่วงเวลากลางคืนคล้ายว่าหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง หิมะตกเบาลง แต่ยังตกอยู่เรื่อยๆ จนพื้นเริ่มหนา 

 

 

ดวงตาสองข้างที่แฝงความคิดถึงคะนึงหาเอาไว้ ทำให้อวิ๋นหว่านชิ่นไม่กล้าหยอกล้อเขาอีก นางเขย่งเท้าขึ้นและโอบคอของเขาเอาไว้ จากนั้นเริ่มขยับเข้าไปใกล้ริมฝีปากทีละนิดและจุมพิตลงไปอย่างแผ่วเบา “แล้วแบบนี้ ท่านพอใจหรือยังเจ้าคะ” 

 

 

ความไม่พอใจที่มีอยู่เต็มอก หายเป็นปลิดทิ้งทันทีที่ได้รับการจุมพิตราวกับแมลงปอที่แตะบนผิวน้ำอย่างแผ่วเบา 

 

 

ยาโถ่วคนนี้ ชอบทุบตีแล้วลูบหัวประจำ ทั้งๆ ที่รู้ว่าตั้งใจแต่ก็ชอบทำให้เขาทำอะไรไม่ได้ 

 

 

เมื่อเห็นเขามีสีหน้าดีใจและพอใจ อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกขำ แล้วนางก็ถูกเขาคว้ามือและพาไปอีกทาง 

 

 

เสียงรองเท้าบูทหุ้มข้อหนังสีทองของชายหนุ่มกระทบกับหิมะเสียงดังกึกกัก 

 

 

จะยืนคุยตรงลานกว้างหน้าห้องนอนของแม่ชีก็คงไม่ได้ อวิ๋นหว่านชิ่นถูกเขาเดินจูงเอาไว้ อีกใจหนึ่งก็กลัวเขาเดินเร็วและอาจเสียงดังจนทำให้แม่ชีได้ยิน นางจึงเตือนด้วยเสียงเบาว่า “…เบาๆ เจ้าค่ะ เดี๋ยวมีคนได้ยิน…” นางยังพูดไม่ทันจบ คนด้านหน้าหันกลับมาช้อนตัวนางขึ้น ห่อตัวนางเอาไว้ในเสื้อคลุมต้าฉ่างลายนกกระเรียงและเดินต่อไป 

 

 

“ท่าน…ท่านทำอะไร…” หญิงในอ้อมแขนเป็นเหมือนนกพิราบที่ถูกล่าโดยนักล่า นางขยับไปมาเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยอมโดนล่าแต่โดยดี นางจึงจับคอเสื้อลายมังกรของเขาเอาไว้ 

 

 

“ใช่ เสียงย่ำเท้าเสียงดัง สู้เดินคนเดียวดีกว่า จะได้ไม่มีคนได้ยิน” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นบ่นงึมงำ เขาตีความผิดชัดๆ เขาเปลี่ยนทิศทางและเดินเร็วขึ้น จากนั้นเขาก็หยุด นางยื่นหัวออกมาดู ที่นี่คือห้องเก็บของห้องหนึ่งของอารามฉางชิง ด้วยความที่อยู่ไกลจึงไม่ค่อยมีคนมาที่นี่เท่าไหร่ 

 

 

เขาเตะประตูเบาๆ ขณะที่ยังอุ้มหญิงสาวเอาไว้ ประตูถูกเปิดออกแอ๊ด จากนั้นทั้งสองคนก็เข้าไปยังด้านใน 

 

 

แม้จะเป็นห้องเก็บของขนาดเล็ก แต่ก็เป็นห้องที่เคยมีคนอาศัยมาก่อน ของจำเป็นทุกอย่างจึงมีครบครัน 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงวางนางลงบนเตียงไฟ[1] และยื่นมือไปหยิบกะละมังไฟด้านหลังออกมา จากนั้นหยิบสิ่งของใช้จุดไฟออกมาจากเสื้อและโยนเข้าไปยังกะละมังไฟ 

 

 

เวลาผ่านไปเพียงครู่เดียว ไฟก็เริ่มลุกจนส่องแสงสลัวดูอบอุ่นไปทั่วห้อง 

 

 

เขาใช้สองมือที่กุมอำนาจใหญ่เป็นเครื่องมือทำความร้อนให้กับนาง เขากุมมือและถูมือให้นางอยู่ข้างเตียง และบอกเล่าสถานการณ์ต่างๆ ในจวนให้นางฟัง 

 

 

ตั้งแต่กลับเข้าเมืองหลวง เขาต้องเข้าเฝ้าพร้อมกับขุนนางในท้องพระโรง ยิ่งถ้าเป็นเรื่องใหญ่ ยิ่งต้องเข้าหารือกับเหล่าขุนนางฝ่ายใน เมื่อหลายวันก่อน ก็เพิ่งไปจัดการเรื่องการคัดเลือกข้าราชการใหม่ของเขตฉังชวน จากนี้ไปต้องเดินทางไปมาระหว่างเยี่ยจิงกับฉังชวน 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นฟังอย่างตั้งใจ หรือนี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของเขา ที่เริ่มจากการปราบความวุ่นวายตาทเขต เข้าเฝ้าในท้องพระโรง เป็นหนึ่งในขุนนางฝ่ายใน… 

 

 

เมื่อเห็นนางครุ่นคิดอย่างตั้งใจ เขากล่าวด้วยเสียงนิ่งเรียบว่า “อดทนอีกหน่อย รออาการประชวรของเสด็จพ่อดีขึ้น ข้าจะขอเรื่องอภัยโทษให้เจ้า” เดิมที อาการของฝ่าบาทดีขึ้นแล้ว แต่พอเรื่องขององค์ชายห้าเกิดขึ้น อาการก็แย่ลง หลายวันมานี้แม้แต่ลงจากเตียงยังทำไม่ได้ อย่าว่าโอกาสที่จะไปขออภัยโทษเลย 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นดึงมือออกมาและกล่าวว่า “อย่างกังวลเลยเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้ข้าหยอกล้อท่านก็เท่านั้น ข้าอยู่ได้ สามเดือนเอง ไม่ต้องไปขอหรอกเจ้าค่ะ เห็นไหม พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วหนึ่งเดือน” 

 

 

สีหน้าดูขรึม เมื่อเขาเลื่อนมือไปจับโดนตุ่มใสตรงฝ่ามือและหว่างนิ้ว มาอยู่ที่นี่ได้เพียงเดือนเดียวก็มีแผลมากมายถึงเพียงนี้ แล้วถ้าสามเดือน ยังไม่รู้เลยว่าต้องเจออะไรอีกบ้าง ในพระราชวังเต็มไปด้วยคนมีเจตนาร้าย อย่าว่าแต่สามเดือน แค่หนึ่งวัน เขาก๊อกสั่นขวัญแขวนแล้ว 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นสัมผัสได้ถึงการสำรวจแผลต่างๆ บนมือของนาง นางถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ก็อธิบายออกไปว่า “นั่นมาจากตอนข้ามาอยู่และทำงานที่นี่ใหม่ๆ ตอนนี้ท่าทีของผู้ดูแลอารามฉางชิงดีขึ้นมาก ทุกๆ วันที่ข้าทำงานเสร็จ ส่วนใหญ่ข้าก็อ่านหนังสืออยู่ในกุฏิกับห้องนอน” 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงยกมืออันนุ่มนวลขึ้นใกล้ริมฝีปากและแตะเบาๆ ทำแบบนั้นราวกับว่าจะทำให้บาดแผลหายเร็วขึ้น และไม่ได้พูดอะไรต่อ 

 

 

“อาการของฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง” นางถามด้วยความสงสัย เป็นหวัดทั่วไปจะหายช้าขนาดนี้เชียวหรือ แล้วนางก็ได้ข่าวว่าอาการประชวรเริ่มขึ้นหลังจากนางออกจากเมืองหลวงไม่นาน นี่ก็หลายวันแล้ว 

 

 

“ไม่นิ่งเท่าไหร่ เดี๋ยวดีเดี๋ยวแย่ หลายวันก่อนดีขึ้นจนจะหาย เตรียมตัวทรงว่าราชกิจแล้ว แต่คล้ายว่าหยวนชี่[2]จะถูกทำลาย สุขภาพจิตเทียบกับสมัยก่อนไม่ได้เลย” เขาตอบ “พอเจอเรื่องของน้องห้า อาการก็แย่ลง” 

 

 

นางชี้ไปที่เอวของเขาและถามว่า “แล้วท่านอ๋องละเจ้าคะ ดีขึ้นหรือยัง?” 

 

 

หืม เขามองหน้านางและทำหน้างุนงง —— นางชี้มาที่ก้นของเขา 

 

 

ไฟในกะละมังไฟยิ่งลุกยิ่งร้อน ร้อนซะจนเห็นเหงื่อตรงดั้งจมูก 

 

 

“เจ้าว่าอะไรนะ” เขาแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ 

 

 

ยังแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอีก อวิ๋นหว่านชิ่นกล่าวออกไปอย่างทำอะไรไม่ได้ “เจิ้งกูกูบอกข้าแล้ว” ตั้งแต่ที่ตนเข้ามาอยู่อารามฉางชิง เขาเคยไปขอไทเฮาให้อภัยโทษจนเจี่ยไทเฮารำคาญ จึงถูกลงโทษด้วยไม้ฟาดไปสิบห้าที คนในวังหลังไม่มีใครไม่รู้เรื่องนี้ 

 

 

เขากลืนน้ำลาย ใบหน้าอันหล่อเหลาที่อยู่ภายใต้แสงไฟนี้ ไม่รู้ว่าหน้าแดงเพราะความร้อนจากไฟหรือเพราะอย่างอื่น “ก็ไม่มีอะไร” 

 

 

เรื่องน่าอับอายขายหน้าเช่นนี้อย่าเอ่ยถึงเลยดีกว่า 

 

 

กว่าจะได้เจอหน้าสักครั้งหนึ่ง ถ้าไม่ใช่ตอนนี้แล้วจะตอนไหน สิบห้าที ไม่ใช่การลงโทษเบาๆ เมื่อเห็นเขานั่งได้ เจี่ยไทเฮาก็คงเห็นใจที่ร่างกายของหลานคนนี้ไม่ได้แข็งแรงเท่าที่ควร จึงไม่ได้ใช้ไม้ที่หนาเท่าไหร่ แม้จะเป็นไม้ที่เบาที่สุดของพระราชวัง แต่นั่นก็คือไม้อยู่ดี บาดแผลน่าจะยังไม่หายดีนัก 

 

 

นางยืนขึ้น และนึกถึงหนังสือรักษาบาดแผนภายนอกที่เหยากว่างเย่าส่งมาให้เมื่อวันก่อน ด้วยความร้อนวิชาและอดใจไม่ไหว นางจึงเห็นว่านี่เป็นโอกาสที่เหมาะสมและยื่นมือลงไป 

 

 

“เจ้าทำอะไร” ซย่าโหวซื่อถิงตกใจเมื่อเห็นนางยื่นมือมาที่เอว 

 

 

 

 

 

 

 

 

[1] เตียงไฟ หมายถึง เตียงที่สามารถจุดไฟด้านล่างเพื่อให้ความอบอุ่น เป็นภูมิปัญญาในการรับมืออากาศหนาวในสมัยก่อน 

 

 

[2] หยวนชี่ หมายถึง พลังชีวิต