อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นท่าตกใจของเขา นางจึงตอบว่า “ข้าขอดูหน่อย”
มือของนางถูกเขาจับไว้ “ไม่ต้องดูแล้ว ข้าหายแล้ว พอกลับเข้าจวนหมอก็ทายาให้ข้าทันที”
นางนิ่งและตอบว่า “อ่อ” แล้วนางก็ดึงมือกลับ
ซย่าโหวซื่อถิงเห็นนางกลับไปนั่งที่เดิม ท่าท่างดูเหมือนผิดหวังมาก น้ำเสียงที่ใช้ก็แข็งกระด้าง ราวกับโดนบีบบังคับซะอย่างนั้น “ก็ได้ ถ้าเจ้าอยากดูก็มาดูสิ” เขากำลังเตรียมแกะเข็มขัดออก
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ว่าเขาคิดเป็นอย่างอื่น นางจึงห้ามเอาไว้ “ข้าไม่ดูแล้ว! ข้าก็แค่ไม่เคยเห็นแผลไม้ฟาดมาก่อนก็เท่านั้น ข้าอยากเห็นว่าแผลแบบนั้นเป็นเช่นไร ถ้าท่านหายดีแล้ว ก็ไม่มีอะไรให้ดูแล้วล่ะ”
คุยกันอยู่ครึ่งค่อนวัน ที่ไหนได้ อยากใช้เขาเป็นหุ่นเชิดเอาไว้ศึกษานี่เอง ซย่าโหวซื่อถิงกระชากตัวนางมาหาขณะที่นางไม่ทันตั้งตัว จึงทำให้นางเสียศูนย์และล้มไปทับอยู่บนตัวของเขา
นางกลัวว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บ เตรียมตัวจะลุกขึ้นแล้วแต่กลับถูกดึงกลับไป
อยู่ใกล้กันถึงเพียงนี้ ทำให้สัมผัสได้ถึงลมหายใจอันลุ่มร้อนของต่างฝ่าย และนางได้คลายเสื้อออกตั้งแต่เข้ามาด้านในไม่นานเพราะห้องนี้อุ่นมาก
ชุดแม่ชีของนางที่ถูกดึงไปดึงมา มันเริ่มหลุดลุ่ย จนทำให้เสื้อขาวชั้นในกับส่วนเว้าที่อยู่ด้านในเสื้อชั้นในสีแดงโผล่ออกมา ตัวของนางทับอยู่บนร่างของชายหนุ่ม ซึ่งทำให้คนที่อยู่ด้านล่างมองเห็นทุกส่วนได้อย่างชัดเจน
ซย่าโหวซื่อถิงชาไปถึงกระดูก แต่ใช้พลังภายในช่วยเอาไว้ จึงช่วยให้อาการไม่ถูกแสดงออกมา แต่สองมือที่จับตรงเอวของนาง กลับไม่เชื่อฟัง มันลูบไล้ขึ้นมาเรื่อยๆ ตามส่วนเว้าที่อยู่ด้านในชุดแม่ชี
เขาพยายามที่จะเตือนตัวเองว่า นอกจากพิษแผลไม่หายแล้ว สภาพแวดล้อมตรงนี้ไม่ได้ดีเท่าไหร่ เขาจึงต้องหยุดแรงกระตุ้นที่มีต่อชุดแม่ชีบนตัวนางเอาไว้ก่อน
ตรงหน้าประตู มีเสียงเท้ากระทบพื้นหิมะและตามด้วยเสียงที่เอ่ยถามว่า “ข้างในมีคนหรือไม่ ใช่พระชายาหรือเปล่า พระชายาอยู่ด้านในใช่หรือไม่”
อวิ๋นหว่านชิ่นได้สติทันที เสียงนั่นคือเสียงแม่ชีที่ถูกแม่ชีจิ้งอี้ฟาดจนเป็นแผล คงเห็นว่านางไปเก็บสมุนไพรไม่กลับสักที ก็เลยออกตามหา
นางเด้งตัวขึ้นนั่งและตอบไปว่า “ใช่ ข้าอยู่ด้านใน ตอนไปเก็บสมุนไพร รองเท้าข้าเปียกน้ำ ข้าเห็นพวกเจ้าดับไฟหมดแล้ว ก็เลยหาห้องทำให้มันแห้งน่ะ เจ้ากลับไปก่อน เดี๋ยวข้าตามไป”
แม่ชีเข้าใจและตอบว่า “อ่อ อย่างนี้นี่เอง ข้าตามหาพระชายาให้ทั่วเลย เห็นว่ามีไฟสว่างอยู่แถวนี้..เช่นนั้นให้ข้าช่วยพระชายาเถอะ”
“ไม่ต้อง!” เมื่อเห็นคนที่อยู่ด้านข้างแอบหัวเราะ นางจึงเขม่นตาใส่ ถ้าถูกจับได้ละก็แย่แน่ แต่ดูท่าทางของเขาสิ ทำเหมือนไม่มีอะไร อวิ๋นหว่านชิ่นจึงตอบด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยทั้งความโกรธและไม่พอใจ
แม่ชีตกใจและรู้สึกว่าเหมือนนางโมโห นางไม่คิดเซ้าซี้และตอบกลับไปว่า “งั้นข้ากลับไปเฝ้าประตูให้ พระชายารีบกลับมานะเจ้าคะ แม่ชีจิ้งอี้บอกไว้แล้วว่าวันนี้ห้ามออกจากห้องเด็ดขาด ถ้าแม่ชีรู้เข้า จะโดนทำโทษเอาได้นะเจ้าคะ!”
“อืม ข้ารู้แล้ว”
เมื่อเสียงกระทบพื้นของแม่ชีเริ่มเบาลง อวิ๋นหว่านชิ่นจึงกระโดดลงจากเตียงไฟ “ข้ากลับก่อน ท่านกลับเองนะเจ้าคะ” นางกล่าวพร้อมกับดับไฟในกะละมัง และเดินไปตรงประตู
มือของนางกำลังยื่นออกไป แต่ตัวของนางถูกดึงกลับมาอีกครั้ง นางรู้สึกว่ามีบางอย่างแตะที่หน้าผากโดยไม่ทันตั้งตัว พอรู้สึกตัว นางก็ทำปากจู๋ใส่และเดินจากไป
ซย่าโหวซื่อถิงเห็นนางไปได้สักพักใหญ่ ถึงได้เปิดประตูและเดินออกมา เขาไม่ได้เดินไปทางประตูใหญ่ของอารามฉางชิง แต่กลับเลี้ยวไปห้องพักแม่ชีที่ดับไฟแล้วทั้งแถว เขาเดินไปจนถึงห้องที่ใหญ่ที่สุดและเปิดประตูเดินเข้าไป
ภายในห้องมีอุณหภูมิที่อบอุ่น บนพื้นมีกะละมังไฟวางอยู่ และยังมีเสียงลมหายใจของคนที่ดูเหมือนจะหลับลึกมาก ห้องนี้มีเตียงเพียงเตียงเดียว ซึ่งไม่เหมือนกับห้องอื่นที่ต้องนอนเบียดกัน
เขาก้าวเท้าเข้าไปยังด้านในสุดจนถึงขอบเตียงอย่างช้าๆ ทำการเปิดมุ้งออกแล้วก็ยื่นมือลงไปบริเวณคอที่โผล่ออกมา แตะไปสองสามที ตอนนี้คนบนเตียงหายใจลึกและนิ่งกว่าเดิม แม้จะยังหายใจอยู่ แต่ลมหายใจช้ากว่าเมื่อครู่นี้มาก
เขาดึงมุ้งลงและหันหลังเดินไปตรงหน้าต่างที่อยู่ข้างเตียง ทำการเปิดหน้าตาทุกบานในห้อง
เวลาผ่านไปเพียงครู่เดียว หน้าต่างในห้องนอนทุกบานก็ถูกเปิดออก ลมเย็นฟิ้วพัดเข้ามาพร้อมเกล็ดหิมะ มันพัดแรงจนมุ้งปลิวไสว แม้แต่ไฟในกะละมังยังดับหมด
ชายหนุ่มจึงออกจากห้อง ทำการปิดประตู และเดินกลับไปพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยนโดยไม่แวะที่ไหนอีก
เช้าวันรุ่งขึ้น หิมะหยุดตกแล้ว พระราชวังทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ
เมื่อคืนนี้อวิ๋นหว่านชิ่นหลับสบายมากคงเป็นเพราะเขาคนนั้นมาหานาง พอลืมตาขึ้นอีกทีก็เช้าเสียแล้ว เมื่อหันไปไม่เห็นเหล่าแม่ชี นางจึงลุกขึ้นแต่งตัวอย่างรวดเร็ว ถึงแม้แม่ชีจิ้งอี้จะไม่กล้าปฏิบัติต่อตนอย่างไม่เป็นธรรมอีกแล้วก็ตาม แต่หากกระทำผิดจริง ก็อาจใช้เป็นข้ออ้างได้
หลังจากชำระล้างเสร็จสิ้น อวิ๋นหว่านชิ่นเตรียมตัวไปเรียนธรรมะยามเช้าในห้องโถงอย่างรีบร้อน แต่แล้วนางกลับได้ยินเสียงคุยเจี้ยวจ้าวของเหล่าแม่ชีที่อยู่ด้านนอก
นางเปิดประตูออก พบว่าเหล่าแม่ชีและมอมอของอารามกำลังก่อตุ๊กตาหิมะและเล่นปาหิมะกันสนุกสนาน
เกิดอะไรขึ้น หรือว่ายังฝันอยู่ วันนี้ไม่ต้องเข้าเรียนยามเช้าหรือ ทำไมทุกคนถึงเล่นหิมะกันล่ะ
อวิ๋นหว่านชิ่นเรียกแม่ชีมาคนหนึ่งแล้วถามว่า “ทำไมพวกเจ้าถึงไม่ไปเรียนที่ห้องโถงใหญ่”
แม่ชีถูจมูกที่เจออากาศเย็นจนแดงระรื่อ ในขณะที่มือยังถือหิมะก้อนกลมๆ อยู่ นางกล่าวไปยิ้มไปว่า “วันนี้แม่ชีจิ้งอี้ป่วย ไม่ต้องเรียนคาบเช้า! พวกข้าไปห้องโถงใหญ่แล้ว แต่มอมอบอกว่า ซื่อไท่บอกว่าให้กลับมาทบทวนเอง!”
“คงไม่ใช่แค่วันนี้แน่ๆ ข้าไปดูมาแล้ว น่าจะลงจากเตียงไม่ได้เลยล่ะ คาบเช้าคงต้องงดไปอีกหลายวัน!” แม่ชีอายุน้อยอีกคนขอพูดด้วยคน
การที่แม่ชีจิ้งอี้ไม่สบาย คนในอารามฉางชิงดูมีความสุขราวกับเป็นวันเฉลิมฉลอง
ป่วยจนลงจากเตียงไม่ได้เชียวรึ อวิ๋นหว่านชิ่นนึกสงสัย “เมื่อคืน ก่อนจะเข้านอนยังดีๆ อยู่เลยมิใช่หรือ”
“ได้ยินว่า ก่อนซือไท่เข้านอน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะปิดหน้าต่างไม่สนิท หรือลมพัดแรงเกินไป หน้าต่างในห้องเปิดหมดทุกบาน เอาเป็นว่า คงโดนลมเย็นพัดทั้งคืนแน่ๆ” แม่ชีอายุน้อยคนนั้นกล่าวถึงตรงนี้เสร็จ นางกล่าวต่อด้วยเสียงเบาอีกว่า “ไม่ถูกลมหนาวพัดจนแข็งตายก็ดีแค่ไหนแล้ว ตอนนี้มีแค่อาการไข้ขึ้นสูง หลับไม่ได้สติ ล้วนแต่เป็นเพราะเจ้าแม่กวนอิมคอยคุ้มครองอยู่”
อวิ๋นหว่านชิ่นถามออกไปด้วยความไม่กระจ่าง “อากาศหนาวแบบนี้ ลมก็พัดทั้งคืนแบบนี้ ระหว่างที่นอนอยู่ ไม่ถูกลมพัดจนตื่นบ้างเลยรึ” นี่มันไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย
แม่ชีงุนงงไปตามกัน “ข้าก็รู้สึกแปลกใจ เวลามีลมพัดเข้ามาแค่นิดเดียว พวกเราจะรีบไปปิดทันที…สงสัยแม่ชีจิ้งอี้จะหลับลึกเกินไปมั้ง” นางไม่เดาต่อ เพราะเวลานี้มีค่านัก พอนางพูดเสร็จ นางก็หันไปเล่นหิมะกับคนอื่นต่อ
หลายวันผ่านไป ไข้สูงของแม่ชีจิ้งอี้แม้ว่าจะลดลงแล้ว แต่ก็ยังขึ้นลงไม่หยุด บางทีไข้สูงจนกระดูกอ่อนระทวยไปหมด ไม่ใช่อ้วก ก็ท้องเสีย ทั้งยังลงจากเตียงไม่ได้ นางจึงทำได้เพียงรักษาไข้อยู่แต่ในห้อง และให้แม่ชีกับมอมออาวุโสสองคนคอยดูแลความเรียบร้อยของอารามฉางชิงแทน
เมื่อแม่ชีจิ้งอี้เกิดไม่สบาย การใช้ชีวิตในอารามฉางชิงก็หละหลวมมากขึ้น อวิ๋นหว่านชิ่นเองก็รู้สึกสบายใจมากขึ้น เพราะไม่มีใบหน้ามึนตึงคอยจ้องหน้า ทุกครั้งหลังจากเข้าเรียนเสร็จ นางจะใช้เวลาที่เหลือทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ