ตั้งแต่เจิ้งหวาชิวพูดกับแม่ชีจิ้งอี้ แม่ชีก็ไม่เคยให้ตนทำงานหนักอีกเลย ทุกวันนี้ได้ทำงานเหมือนกับแม่ชีคนอื่น นั่นก็คือการทำรองเท้าให้กับคนในวัง เย็บเสื้อผ้าฤดูหนาว และนำส่งไปยังกองกิจการเพื่อแจกจ่ายอีกที ซึ่งเป็นงานที่เบาลงเยอะมากไม่โดนน้ำไม่ตากลม แถมยังมีเวลาเหลือให้อ่านหนังสือที่เหยากวางเย่าส่งมาอีกด้วย แต่ละวันผ่านไปอย่างสบาย
พริบตาเดียวผ่านไปแล้วสิบกว่าวัน
ระหว่างนั้นมีหิมะตกสองวัน เมื่ออากาศดีขึ้นแดดก็เริ่มออก อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นว่าอากาศอุ่นๆ แบบนี้มีไม่บ่อยจึงเข้าไปหยิบเก้าอี้ตรงด้านหน้าอารามกับแม่ชีอีกหลายคนนั่งตากแดดพร้อมกับเย็บรองเท้าไปด้วย มีแม่ชีคนหนึ่งพูดอย่างทอดถอนใจ “หากมิใช่เพราะซือไท่ล้มป่วย พวกเราจะได้อยู่อย่างสุขสบายเช่นนี้หรือ”
แม่ชีหลายคนอดขำไม่ไหว
ในขณะที่กำลังพูดคุยกันสนุกสนาน มีเสียงเท้ากระทบพื้นดังมาจากหน้าประตูอาราม มีขันทีเดินนำหน้าสองคน คงมาจากพระราชวัง พวกนางวางเข็มเย็บฐานรองเท้าอย่างรีบร้อนและเดินเข้าไปเตรียมการต้อนรับตามมารยาท
ไป๋ซิ่วฮุ่ยเดินนำหน้า นางกวาดสายตาหนึ่งรอบและหยุดลงตรงอวิ๋นหว่านชิ่น จากนั้นหันไปมองทางอื่นและพูดขำๆ ว่า “ซือไท่ล้มป่วย อารามฉางชิงหละหลวมขึ้นไม่น้อยเชียวนะ สุขสบายกว่าภัตตาคารร้านน้ำชาเสียอีก ไม่เคยทำให้ตัวเองลำบากเลยสินะ”
แม่ชีอายุมากคนหนึ่งเดินเข้าไปใกล้พร้อมกับพูดด้วยความตื่นตระหนกว่า “ไป๋หลิ่งเหริน งานที่พวกข้าต้องทำกับวิชาที่พวกข้าต้องเรียน พวกข้าไม่เคยขาดตกบกพร่องแม้แต่เรื่องเดียว”
ไป๋ซิ่วฮุ่ยทำเสียงชิ นางมองอวิ๋นหว่านหนึ่งที ใบหน้าดูเหมือนยิ้มและดูเหมือนไม่ยิ้ม “ชีวิตแบบนี้ยังเรียกว่ารับโทษงั้นรึ งั้นข้าก็อยากลองเข้ามาอยู่บ้างเหมือนกันเจ้าค่ะ”
การที่คนพระตำหนักเฟิงจ๋ามาถึงที่นี่นั้นไม่ได้มาเพื่อตำหนิแม่ชีแน่ อวิ๋นหว่านชิ่นเดินเข้าไปย่อตัวทำความเคารพและเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่าฮองเฮามีธุระอะไรกับข้ารึ”
ไป๋ซิ่วฮุ่ยเห็นนางเป็นคนตรงดีจึงไม่พูดอะไรมาก “พระชายาเอกในฉินอ๋องรับโทษมาแล้วเกือบครึ่งหนึ่ง ตามกฏแล้วไทเฮากับฮองเฮาจะดูว่าพระชายามีความรู้สึกเช่นไร ทบทวนสิ่งใดไปแล้วบ้าง สองวันมานี้มีหิมะตก อากาศค่อนข้างเย็น ไทเฮาทรงพระประชวรเล็กน้อย ฮองเฮากลัวว่าไทเฮาจะทรงงานหนักจนอาการประชวรเล็กน้อยอาจทวีรุนแรงขึ้นเหมือนฝ่าบาท วันนี้ฮองเฮาจึงจะดูแลเรื่องนี้แต่เพียงพระองค์เดียว ฮองเฮากำลังรอที่พระตำหนักซือฝา ขอเชิญพระชายาเอกไปกับข้าด้วยเจ้าค่ะ”
แท้จริงแล้วนางมาเพื่อจับผิดนี่เอง อวิ๋นหว่านชิ่นจับกระโปรงเดินตามหลังคนกลุ่มหนึ่งและเดินออกอารามฉางชิงไป
ภายในตำหนักซือฝา เจี่ยงฮองเฮานั่งอยู่ด้านบน
ไป๋ซิ่วฮุ่ยสั่งให้ทุกคนออกไปทันทีที่นำคนเข้ามาด้านใน
เจี่ยงฮองเฮาถือเตาทำความร้อนถักด้วยไหมสีทอง สายตามองมายังพระชายาฉิน ช่างเป็นคนมีโชคเสียจริง หญิงสาวที่ถูกส่งไปรับโทษในอารามฉางชิง เมื่อรับโทษแล้วกึ่งหนึ่ง เวลาเรียกตัวออกมาก็มีแต่ถูกสั่งสอนจนตายหรือไม่ก็มีสภาพร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผล
ฝีมืออันร้ายกาจของซือไท่จิ้งอี้เจี่ยงฮองเฮานั้นรู้ดี
ไม่เพียงแต่รู้แต่ยังปล่อยให้ทำเช่นนั้นด้วย หลายๆ เรื่องนางก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ หลายปีมานี้จะยืมมือจิงอี้สั่งสอนพวกหญิงสาวไม่รู้ที่ต่ำที่สูงของวังหลังได้อย่างไร
เจียงเหม่ยเหรินที่ทำวัตถุโบราณแตก แต่ได้รับอภัยโทษหลายต่อหลายครั้ง ฝ่าบาทยังทรงคิดเลื่อนตำแหน่งให้ แล้วนางจะปล่อยให้เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร นางผู้นั้นเลยถูกจับเข้าไปที่นั่นไงล่ะ
แล้วยังมีนางในสวี ถึงแม้มีตำแหน่งต่ำต้อยไม่เคยได้พบพระพักตร์ของฝ่าบาทแม้แต่ครั้งเดียว แต่นางเป็นหญิงผิวพรรณนวลขาวราวกับไขมันวัว[1] ดวงตากลมโตราวกับดวงจันทร์ มีรูปลักษณ์คล้ายกับสวีชิงเหยามาก หากฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรเข้าคงแย่แน่ ฉะนั้นจะให้ทอดพระเนตรไม่ได้เด็ดขาดต้องจับเข้าไปที่นั่นด้วยเหมือนกัน
ซือไท่จิ้งอี้หนึ่งคนแต่ช่วยเป็นมือเท้าได้หลายอย่างและยังเป็นเกราะกำบังคำด่าทอต่างๆ นานาให้อีก
แต่หญิงสาวตรงหน้าหมายความว่าอย่างไร ทั้งเนื้อตัวเต็มไปด้วยพลัง เพียงแค่ไม่ได้สวมชุดกระโปรงผ้าแพรอันสวยงาม ผมเผ้าจัดเก็บแบบธรรมดาเท่านั้น แต่นางกลับดูน่าเอ็นดูกว่าเมื่อก่อนและไม่เหมือนกับคนที่เพิ่งประสบความลำบากมาแม้แต่น้อย
นางตอบสิ่งที่เล่าเรียนในหอสักการะว่าแต่ละวันนางทำอะไรบ้าง สิ่งที่นางตอบหามีจุดบกพร่องแม้แต่จุดเดียวไม่ ทุกถ้อยคำทุกประโยคแทบหาความผิดไม่ได้เลย
นางจิ้งอี้ไม่ได้เรื่องหรือเจอกับตัวชงเข้าแล้วกันแน่ นางสั่งสอนหญิงในราชวงศ์มาทั้งชีวิตแต่ครั้งนี้ดันมาเจอกับนังเด็กคนนี้ ไม่เพียงแต่ทำอะไรไม่ได้สุดท้ายตัวเองยังล้มป่วยอาการหนักอยู่บนเตียง
แม่ชีแก่อย่างจิ้งอี้มีร่างกายแข็งแรงมาโดยตลอดแทบจะนับครั้งได้ว่าป่วยมาแล้วกี่ครั้ง แต่ครั้งนี้ช่างน่าแปลกยิ่งนัก
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนใกล้จะจบการสนทนาแล้ว
เมื่อเห็นสีหน้าของนางหายเกร็งคล้ายว่าจะปล่อยนางกลับ แล้วเจี่ยงฮองเฮาก็แสดงท่าทีเย็นเยือกออกมาและเอ่ยว่า “ซือไท่จิ้งอี้สุขภาพแข็งแรงมาโดยตลอด ตั้งแต่ข้าเข้ามาอยู่ในวังจนถึงบัดนี้ ข้าแทบไม่ได้ยินว่านางล้มป่วย ครั้งนี้ช่างโชคร้ายเสียจริง ทันทีที่พระชายาเอกฉินเข้าไปซือไท่จิ้งอี้ก็ล้มป่วยเลย”
คิดจะโยนความผิดเรื่องการป่วยของแม่ชีแก่คนนั้นมาให้ตนอย่างนั้นรึ
วันนี้ไทเฮาไม่อยู่เจี่ยงฮองเฮาจึงถืออำนาจแต่เพียงผู้เดียว ถึงแม้อวิ๋นหว่านชิ่นเตรียมรับมือกับการเล่นงานของฮองเฮาเอาไว้แล้ว แต่พอได้ยินเช่นนี้นางก็ทำได้เพียงอ่อนน้อมถ่อมตนและตอบกลับไปว่า “หิมะตกกะทันหัน อุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว คนที่ล้มป่วยจากลมหนาวนั้นมีจำนวนไม่น้อย ส่วนซือไท่จิ้งอี้ก็ถือว่าเป็นคนที่มีอายุพอสมควรเพคะ”
เจี่ยงฮองเฮาเห็นนางพยายามหลีกเลี่ยง นางอดกลั้นไว้ก่อนและลองเชิงอีกครั้งว่า “ข้าได้ข่าวจากมอมอในอารามฉางชิงพูดว่า แม่ชีจิ้งอี้ล้มป่วยได้แปลกนัก นอนหลับอยู่ดีๆ หน้าต่างในห้องนอนกลับถูกคนเปิดออกหมดทุกบาน ช่างน่าขำสิ้นดี ถูกลมหนาวเหน็บพัดเป่าอยู่ทั้งคืนแต่กลับนอนหลับราวกับหมูที่ตายไปไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด”
เจ้าแปลกใจ ข้าแปลกใจกว่าอีก! ใบหน้าของอวิ๋นหว่านชิ่นคล้ายว่ายิ้มและไม่ยิ้ม แล้วนางก็ตอบอย่างรวดเร็วฉับไวว่า “นั่นสิเพคะ มีทั้งคนหลับลึกกับไม่ลึก หม่อมฉันมีเรื่องจะเล่าให้เหนียงเหนียงฟังเพคะ น้องชายของหม่อมฉัน เวลาฟ้าผ่าฟ้าร้องเขาไม่เคยสะดุ้งตื่นเลยเพคะ แต่หม่อมฉันไม่เหมือนกัน แค่ลมพัดเบาๆ หม่อมฉันก็รู้สึกตัวทันทีเพคะ”
เจี่ยงฮองเฮาทำเสียงชิ “คงไม่เกี่ยวกับการหลับลึกหรือไม่ลึกหรอกกระมัง ข้าส่งคนไปถามมอมอคนข้างกายของจิ้งอี้แล้ว จิ้งอี้บอกว่านางตื่นขึ้นมากลางดึกรู้สึกถึงลมหนาวที่หนาวไปถึงกระดูก นางมีสติแต่สองแขนสองขากลับไม่มีเรี่ยวแรง ทั้งเนื้อตัวแข็งทื่อขยับไม่ได้ราวกับถูกเชือกมัดไว้ เหมือน——”
อวิ๋นหว่านชิ่นนึกบางอย่างขึ้นได้
“เหมือนถูกสะกดเอาไว้” น้ำเสียงของเจี่ยงฮองเฮาหนักแน่นกว่าเดิม ส่วนสายตาคู่นั้นดูนิ่งและไม่สงบ “แม้แต่จิ้งอี้ยังพูดเองเลยว่า เหมือนกึ่งหลับกึ่งฝัน รู้สึกเหมือนมีคนเข้าใกล้เตียงของนาง”
หรือว่า——คืนนั้นท่านอ๋องสามเป็นคนทำ
อวิ๋นหว่านชิ่นเข้าใจทันที เซิ่นจื่อหลิงเคยกล่าวไว้ว่า พลังชี่กับกดจุดเป็นสองสิ่งที่ประกอบเสริมซึ่งกันและกัน พลังชี่ไหลเวียนเข้าออกตามจุดเลือดลม เขาได้รับการฝึกพลังชี่ที่ใช้ป้องกันร่างกายและจิตใจกับอู้เต๋อตั้งแต่เด็ก ต้องมีความรู้เกี่ยวกับจุดเลือดลมบนร่างกายของคนเป็นแน่ การทำให้ร่างกายของคนชาจนลุกไม่ขึ้น โดยใช้วิธีปิดจุดเลือดลมเสีย ก็คงทำได้ไม่ยาก
กลั่นแกล้งผู้อื่นโดยใช้วิธีแบบเด็กๆ กล้าทำลงไปได้อย่างไร!
อวิ๋นหว่านชิ่นจับชายกระโปรงกลั้นขำกล่าวด้วยความนิ่งเรียบว่า “เหนียงเหนียง หม่อมฉันเป็นคนโง่เขลา แต่ก็เคยได้ยินวิชาแพทย์พื้นฐานมาบ้าง หลังจากร่างกายแข็งทื่อเพราะความหนาวจนมือเท้าเหน็บชาลุกไม่ขึ้นก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติเพคะ ส่วนการกดจุดหรือมีคนเข้าใกล้เตียง เมื่ออุณหภูมิของร่างกายลดลงก็ง่ายต่อการเห็นภาพหลอน หากเหนียงเหนียงไม่เชื่อ ลองถามเหล่าหมอหลวงดูก็ได้เพคะ”
เดิมทีเจี่ยงฮองเฮาอยากจับผิดจากการตอบต่างๆ ของนางแล้วจึงสอบสวนอย่างจริงจังอีกที แต่ดูท่าแล้วนางตอบทุกคำถามได้เป็นธรรมชาติมีเหตุมีผล ไม่มีสิ่งใดผิดปกติเลยแม้แต่น้อย ด้วยความที่ไม่มีหลักฐานจึงไม่ได้พูดอะไรอีก พอหันไปดูตรงหน้าต่าง ตรงระเบียงคงทำความสะอาดไปแล้วล่ะ แต่ก็ยังมีหิมะหนาประมาณครึ่งนิ้วเกาะอยู่ นางยิ้มและกล่าวว่า “นั่นน่ะสิ ซือไท่จิ้งอี้คงโชคไม่ดีเสียเอง แต่ว่าสิ่งที่พระชายาฉินกล่าวมาก็ไม่ผิด อากาศของปีนี้น่าแปลกมากนัก อากาศหนาวอยู่ตั้งหลายเดือนแต่หิมะตกลงมาแค่ครั้งเดียว แม้แต่ส่งสัญญาณสักนิดก็หามิไม่ หรือแม้แต่สำนักดาราศาสตร์เองก็ยังว่าแปลก”
[1] ไขมันวัว นำมาใช้ประโยชน์ในการผลิตผลิตภัณฑ์ไขมันบางชนิด