ภาคที่ 2 บทที่ 125 การฝึก (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 125 การฝึก (2)

ในวันที่ 2 ซูเฉิน อวิ๋นเป้า และหวังโต้วซานตื่นขึ้นมาด้วยกัน จากนั้นพากันมุ่งหน้าไปยังลานฝึก

ลานฝึกแห่งนี้ไม่ได้อยู่ในสถาบันมังกรซ่อนเร้นหากแต่อยู่บนหุบเขาพันเถ้า

ตามคำบอกเล่าของซือหมิงหลี่ ศิษย์ทุกคนต้องรีบออกเดินทางแต่เช้าตรู่ และไปให้ถึงหุบเขาก่อนพระอาทิตย์ตกดินเพื่อตั้งเพิงพักของตนเอง

แท้จริงแล้วการฝึกฝนได้เริ่มขึ้นตั้งแต่ตรงนี้แล้ว

การเดินทางให้ถึงหุบเขาพันเถ้าภายในวันเดียวนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นการเดินเขาที่ยาวไกลนัก ระหว่างทางยังต้องเผชิญกับอสูรร้ายหลากหลายตัว

เมื่อคราก่อน กลุ่มพิสุทธิ์ใช้เวลาเดินทางนานถึง 2 วัน

ดังนั้นหากต้องการเดินทางถึงลานฝึกภายใน 1 วัน เหล่าศิษย์จึงต้องใช้ความสามารถในการหลบหลีกเป็นหลักมากกว่าทักษะการต่อสู้

ซึ่งแน่นอนว่าเป็นอวิ๋นเป้าที่เชี่ยวชาญเรื่องนี้นัก

ไม่ว่าอสูรร้ายตนใดก็ไม่อาจหลบหลีกสายตาตรวจจับของเขาไปได้

คนทั้งสามเคลื่อนที่ว่องไว มุ่งหน้าเข้าสู่เขาอินทรีโรยไม่หยุดฝีเท้า ในที่สุดก็เดินทางถึงลานฝึกเป็นคนที่ 8 9 และคนที่ 10 ส่วนสาเหตุที่ไม่อาจมาถึงได้เป็นกลุ่มแรกเป็นเพราะเจ้าอ้วนหวังโต้วซานทำให้การเดินทางล่าช้า ด้วยหลังจากฝึกวิชากลืนสวรรค์แล้ว ทักษะในการต่อสู้ของเขาก็พุ่งขึ้นสูง หากแต่มีผลต่อความเร็วของเขาเช่นกัน

หรือก็คือเจ้าอ้วนนั้นเหมาะกับการประลองบนสนามมากกว่าการต่อสู้จริงนั่นเอง

ในหมู่คนที่มาถึงเป็นกลุ่มแรก ๆ ซูเฉินและคนอื่น ๆ จึงมีโอกาสเลือกสถานที่ตั้งเพิงพักของตนเองมากมาย

หุบเขาพันเถ้านั้นอยู่ข้างลำธาร ล้อมรอบไปด้วยภูเขามากมาย วิวทิวทัศน์สวยงาม หากแต่ก็มีอสูรร้ายอยู่มาก ยิ่งเลือกที่ตั้งเพิงพักได้ดียิ่งหลีกหนีอันตรายได้มาก

คนทั้งสามเลือกสถานที่ที่เหมาะสมเป็นของตนเอง ดึงเครื่องมือสร้างเพิงพักออกจากแหวนต้นกำเนิดแล้วเริ่มลงมือตั้งเพิง ศิษย์คนอื่น ๆ เริ่มมาถึงมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่นานหุบเขาพันเถ้าก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะพูดคุยกัน

เมื่อศิษย์คนสุดท้ายมาถึง ณ ลานฝึก ยามราตรีก็มาถึง

เงาร่างชายผู้หนึ่ง รูปร่างกำยำสูงใหญ่ ดูแล้วน่าจะเป็นอาจารย์ พลันปรากฏขึ้นก่อนจะเอ่ยเสียงดัง “ข้าคืออวี๋เฉิงเจียว ผู้บังคับบัญชาของพวกเจ้า ข้าขอพูดตามตรง พวกเจ้าทำให้ข้าผิดหวังไม่น้อย เจ้าอาจจะคิดว่าตนเองเป็นชนชั้นสูง แต่ในสายตาข้าพวกเจ้าก็เป็นเพียงคนไร้ค่าตั้งแต่หัวจรดเท้าเท่านั้น ข้ายอมไปฝึกกองทหารกองหนึ่งยังดีกว่าต้องมาฝึกพวกอัจฉริยะอย่างพวกเจ้า พวกเจ้า 25 คนมาสายในการฝึกธรรมดาสามัญครั้งนี้…… คนที่มาสายจำต้องถูกบทลงโทษแบกหินผา”

เขาพูดจบก็คว่ำฝ่ามือลง ร่างของศิษย์ 25 คนลอยหวือขึ้นในอากาศ เป็นเหล่าศิษย์ที่เขาบอกว่ามาสายนั่นเอง

พริบตาที่คน 25 คนถูกยกตัวลอยไป ไม้ยาวที่ปลายสองข้างมีถังห้อยอยู่ก็ลอยตามไป และแม้แต่ละคนจะแข็งแกร่งไม่น้อย แต่เมื่อไม้ยาวห้อยถังถูกวางลงบนไหล่คนทั้งหมด พวกเขาต่างก็พากันไหล่ทรุดลง เข่าโค้งงอกระแทกพื้น ภายในถังนั้นมีควันลอยอยู่ภายใน แท้จริงแล้วควันนี้คือหินแร่พิเศษชนิดหนึ่ง แม้จะดูเหมือนหินปล่อยควันธรรมดา แต่จริง ๆ แล้วมีน้ำหนักมาก แต่ละถังต้องใช้แรงกระทิงร้อยตัวในการยก ดังนั้นบทลงโทษนี้จึงสมชื่อมันมาก

คนมาช้า 25 คนถูกบทลงโทษแบกหินผา จำต้องแบกหินเหล่านั้นไป 1 ชั่วยาม ไม่ว่าจะนั่งหรือเดินก็ต้องแบกเอาไว้ นับเป็นการฝึกร่างกายอย่างหนึ่ง แต่แน่นอนว่าก็เป็นบทลงโทษที่น่าขื่นขมไม่น้อย

แต่คนอื่น ๆ ก็ไม่ได้โชคดีไปมากกว่ากันเท่าไร

เป็นเพราะวันต่อมาทุกคนต้องถูกฝึกโดยผู้บังคับบัญชาอวี๋เฉิงเจียว

วิธีฝึกของอวี๋เฉิงเจียวนั้นเรียบง่ายแต่ดุดัน อย่างแรกเขาแยกทุกคนออกเป็นกลุ่ม 3 คน จากนั้นบังคับให้แต่ละกลุ่มต่อสู้กันเองภายในป่าไม่ไกลจากที่พักนัก

คนแพ้ต้องถูกบทลงโทษแบกหินผา ส่วนคนชนะก็สู้ต่อไปจนกว่าจะแพ้

หรือก็คืออย่างไรทุกคนก็ต้องถูกลงโทษ เพียงแต่ผู้ที่เอาชนะคนได้มากจะถูกบทลงโทษแบกหินผาสั้นกว่าคนอื่น ๆ เท่านั้น เพราะบทลงโทษของทุกคนจะจบลงพร้อมกัน

เมื่อเป็นเช่นนี้ ความแกร่งส่วนตัวย่อมไม่สำคัญเท่าความสามัคคีในกลุ่ม ไม่เพียงต้องแข็งแกร่ง แต่ต้องร่วมมือกันช่วยเหลือคนในกลุ่ม ใช้จุดแข็งกลบจุดอ่อนให้กันและกัน

การจัดกลุ่มเป็นไปโดยการสุ่ม โดยอวี๋เฉิงเจียวจะทำการชี้ตัวแต่ละคนมารวมกลุ่มละสามคน

ดังนั้นซูเฉินจึงถูกแยกจากอวิ๋นเป้าและหวังโต้วซาน

เขาได้รวมกลุ่มกับคนไม่รู้จักอีก 2 คน จากนั้นกลุ่มสามคนก็พากันเข้าไปฝึกฝนในป่า

กลุ่ม 3 คนของซูเฉินชนะไปในการต่อสู้คราแรก หากแต่พ่ายแพ้ไปในการต่อสู้ครั้งที่ 2 ทันใดนั้นน้ำหนักมหาศาลก็กดลงมาบนไหล่ของเขา

ซูเฉินรู้สึกราวกับร่างจะถูกความหนักมหาศาลนี้ทับร่าง

เป็นตอนนั้นเองที่มีเสียงหนึ่งที่หู “รวมพลังปราณไว้ในทะเลปราณกลาง จากนั้นนำไปหล่อเลี้ยงยังบ่อพลังอุ่น……”

คือเสียงอวี๋เฉิงเจียว

ซูเฉินเก็บความประหลาดใจไว้แล้วทำตามคำสั่งอวี๋เฉิงเจียว ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าน้ำหนักบนหลังและไหล่เบาบางลงเล็กน้อย

ชายหนุ่มพลันเข้าใจในตอนนั้นเองว่าบทลงโทษแบกหินผาเองก็เป็นการฝึกรูปแบบหนึ่ง ที่อวี๋เฉิงเจียวสอนเขาไปเมื่อครู่คือวิชาการหลอมกายาประเภทหนึ่งที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งได้ โดยการใช้ของที่มีน้ำหนักมากเป็นตัวช่วยในการฝึก ซึ่งต้องใช้เวลานานกว่าน้ำหนักนั้นจึงจะเบาลงเป็น 2 เท่า และในเมื่อน้ำหนักเบาบางลงมากแล้ว ซูเฉินก็เริ่มควบคุมลมหายใจตนเองได้บ้าง

แต่ถึงกระนั้นเมื่อบทลงโทษแบกหินผาจบลง เขาก็เหนื่อยล้าไปทั่วทั้งร่าง กล้ามเนื้อต่าง ๆ คล้ายกับจะสลายกลายเป็นวุ้นนิ่ม โชคไม่ดีที่แม้จะเหนื่อยล้าเพียงไหนก็ไม่อาจล้มลงไปกับพื้นได้

อย่างไรบทลงโทษก็คือบทลงโทษ แม้จะมีผลในการฝึกร่างกายร่วมด้วย แต่ก็ยังเป็นการทำเพื่อสั่งสอน การฝึกร่างกายมีอีกหลายประเภท ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีนี้เท่านั้นก็ย่อมได้

ต่อไปหากต้องการเลี่ยงบทลงโทษนี้ เขาจำต้องเอาตัวรอดในการต่อสู้ในวันพรุ่งนี้ให้ได้นานกว่าเดิม ความร่วมมือและความสามัคคีภายในกลุ่มต้องดีกว่าเดิมหากหมายคว้าชัยชนะ

ดูท่าสิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่อาจารย์ฝึกพยายามบอกให้เหล่าศิษย์รับรู้

การเอาชีวิตรอดและความสำเร็จในการเข้าและออกจากซากโบราณนั้นย่อมต้องใช้ความร่วมมือและความสามัคคีภายในกลุ่มสูงมาก

ดังนั้น หลังจากการฝึกฝนในวันนั้นจบลง แต่ละกลุ่มก็เริ่มใช้เวลาร่วมกันให้มากขึ้น หาจุดแข็งและจุดอ่อนของแต่ละคนเพื่อเตรียมตัวต่อสู้ในวันต่อไป

ยามพลบค่ำคือเวลาที่เหล่าศิษย์ศึกษาวิชาเลือก โดยมีอาจารย์ท่านอื่น ๆ พาศิษย์ที่เลือกเรียนวิชาเดียวกันไปสอนรวมเป็นกลุ่ม

วันแรกของทุกคนต่างหมดไปกับการผจญภัย การต่อสู้ การศึกษาวิชาเลือก และการสนทนาวิชา

เดิมทีซูเฉินคิดว่าจะหาเวลามาคุยกับกู่ชิงลั่ว หากแต่ความจริงคือตั้งแต่การฝึกเริ่มต้นขึ้น เขาไม่มีแม้แต่เวลาจะคิดถึงนางด้วยซ้ำ

หลังจากพูดคุยสอบถามกันมาระยะหนึ่ง กลุ่มสามคนก็ตัดสินใจวางแผนการต่อสู้ในวันถัดไป จากนั้นอาจารย์จึงปล่อยให้ศิษย์กลับไปพักผ่อน

หากแต่ในวันที่ 2 กฎข้อใหม่ก็ทำให้ทุกคนสับสนมึนงงกันไปตาม ๆ กัน

ด้วยกลุ่ม 3 คนเมื่อวันก่อนถูกสลายตัว ทุกคนต้องทำการจัดกลุ่มใหม่เป็นกลุ่ม 5 คน

อวี๋เฉิงเจียวเอ่ย “ไม่มีใครรู้ว่าในซากโบราณจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นบ้าง ซากโบราณบางที่มีความสามารถในการส่งคนไปยังสถานที่ต่าง ๆ หากเป็นเช่นนั้น พวกเจ้าอาจจะไม่ได้รวมกลุ่มกับคนหน้าเดิม ย่อมหมายความว่าพวกเจ้าจำต้องรวมกลุ่มกับผู้ใดก็ได้ให้เร็วที่สุดไม่ว่าคนเหล่านั้นจะเป็นใครก็ตาม อีกทั้งยังต้องรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ”

“ดังนั้นจึงไม่มีกลุ่มถาวร และจำนวนคนที่ไม่แน่นอน พวกเจ้าต้องปรับตัวเข้ากับคนในกลุ่มให้ได้โดยเร็ว นอกจากนี้ ข้ายังสามารถมอบภารกิจให้พวกเจ้าไม่ว่าที่ใดเวลาใดก็ย่อมได้ พวกเจ้ามีแต่ต้องพึ่งกำลังตนเองในการทำภารกิจให้สำเร็จเสร็จสิ้น”

อวี๋เฉิงเจียวพูดแล้วก็โบกมือ “ภารกิจในวันนี้คือทุกทีมต้องนำไก่ฟ้าเงาลวงสีรุ้งหนึ่งตัวกลับมาให้ได้ หากพวกเจ้าสามารถนำมันกลับมาก่อนเวลาอาหารเย็นได้ก็นับว่าทำภารกิจสำเร็จ แต่หากพวกเจ้าไม่อาจทำได้ก็เตรียมตัวถูกลงโทษได้เลย แต่ไม่ต้องกังวล ไม่ใช่บทลงโทษแบกหินผาแบบวันนี้แน่นอน”

เขาหัวเราะ จากนั้นเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน “แต่จะเป็นบทลงโทษฟ้าคำราม”

เป็นไปอย่างชื่อบทลงโทษ บทลงโทษฟ้าคำรามคือบทลงโทษที่ใช้สายฟ้าทรมานคน คงไม่เบาไปกว่าบทลงโทษแบกหินผาเป็นแน่ ดังนั้นยามได้ยินผู้อาวุโสเอ่ยชื่อขึ้นเหล่าศิษย์ก็ขนลุกเกรียว

“อ้อใช่ ข้าลืมบอกอีกอย่าง” อวี๋เฉิงเจียวเอ่ย “หุบเขาพันเถ้านั้นไม่มีไก่ฟ้าเงาลวงสีรุ้งอาศัยอยู่ ทางสถาบันมังกรซ่อนเร้นจะนำพวกมันมาปล่อยที่นี่ หลังจากปล่อยแล้วมันก็จะวิ่งวุ่นไปทั่ว จะยังอยู่ในหุบเขาพันเถ้าหรือไม่ข้าไม่อาจบอกได้ ที่สำคัญ…… คือพวกมันมีเพียง 15 ตัวเท่านั้น หรือก็คือใน 20 กลุ่ม อย่างน้อยต้องมี 5 กลุ่มที่ทำภารกิจไม่สำเร็จ”

ทุกคนพลันมองหน้ากัน จากนั้นก็พากันพุ่งออกไปพร้อมเสียงกู่ร้องตะโกนก้อง

อวี๋เฉิงเจียวหัวเราะเสียงชั่วร้าย มองภาพที่เหล่าศิษย์พุ่งเข้าสู้กันด้วยความพึงพอใจ