ภาคที่ 2 บทที่ 126 ล่า (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 126 ล่า (1)

ใน 20 กลุ่ม มีเพียง 7 กลุ่มที่สามารถจับไก่ฟ้าเงาลวงสีรุ้งมาได้ ส่วนไก่ฟ้าอีก 8 ตัวอาจจะเตลิดออกนอกหุบเขาพันเถ้าไปแล้ว

อวิ๋นเป้าทำภารกิจเสร็จอย่างรวดเร็ว สำหรับเขาแล้ว ภารกิจนี้ไม่ยากแม้แต่นิด

ทว่าซูเฉินโชคร้ายทำภารกิจไม่สำเร็จ ดังนั้นจึงได้มีโอกาสลิ้มรสชาติการฝึกกายาด้วยการถูกสายฟ้าอัสนีบาตฟาดใส่

มีสองกลุ่มที่พยายามทำเจ้าเล่ห์ คิดว่าในเมื่อมีไก่ฟ้าเงาลวงสีรุ้งเพียงไม่กี่ตัว แย่งเอาจากกลุ่มอื่นคงง่ายกว่า แต่สุดท้ายก็ถูกลงโทษหนัก โดนโบยไป 1 วัน

อวี๋เฉิงเจียวเป็นคนลงมือโบยศิษย์เหล่านั้นด้วยตนเองทั้งยังตะโกนเสียงดังลั่น “พวกเจ้ารับรู้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าห้ามโจมตีผู้อื่นไม่ว่าจะมีเหตุอันใด เว้นเสียแต่เป็นการประลองต่อสู้เพื่อฝึกปรือฝีมือ ! พวกข้าไม่คิดเลี้ยงคนให้กลายเป็นงูเจ้าเล่ห์ แต่เตรียมพร้อมให้พวกเจ้าต่อสู้กันเป็นกลุ่ม นี่ไม่ใช่การแข่งขัน แต่เป็นการต่อสู้จริง !!!”

เปรี๊ยะ !

แรงหวดรุนแรงส่งผลให้ทั้งเนื้อทั้งเลือดปริแตกออกมา

ศิษย์ทั้งหมดยืนดูภาพนั้นเงียบ ๆ ไม่เอ่ยอันใด กลายเป็นภาพที่สลักลงในความทรงจำพวกเขา

ก่อนเข้านอน ศิษย์ทั้งหายก็มีเวลาออกมาพูดคุยกันอิสระกว่าเดิม

ทุกคนแนะนำตัวให้คนอื่น ๆ รู้จัก ด้วยเพราะไม่อาจรู้ได้ว่าต่อไปจะต้องรวมกลุ่มกับใคร ดังนั้นการทำความรู้จักคนให้มากเข้าไว้ย่อมดีกว่า ทำให้ง่ายต่อการรวมกลุ่มโดยฉับพลันมากขึ้น

กระทั่งคนที่เย่อหยิ่งอย่างจีหานเยี่ยนก็ยังลดความหยิ่งลง เริ่มมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น ๆ

คืนนั้นทุกคนหลับสนิท

ความเหนื่อยยากทั้งวันทำให้พวกเขาเหนื่อยล้า เมื่อได้นอนก็หลับใหลไปโดยเร็ว ซูเฉินตรงเข้าสู่แดนฝันเพื่อฝึกวิชาโบราณอาร์คาน่าในทันที

หากแต่นิสัยเช่นนี้ของเขากลับนำพาความเดือดร้อนมาให้ ในตอนที่เขาคิดจะเข้าไปยังดินแดนนั้นเอง ก็คล้ายกับรู้สึกว่าผืนดินสะท้านสะเทือนหนักหน่วง

แรงสะเทือนนั้นรุนแรงจนคล้ายกับโลกกำลังจะล่มสลาย

ทันใดนั้นพื้นใต้ร่างซูเฉินก็แยกออกเป็นรอยแตกใหญ่ ดึงร่างชายหนุ่มดิ่งลงรอยแยกไป

“อ๊ากกก !” เขาร้องเสียงดัง ก่อนจะลืมตาขึ้น พบว่าตนถูกผูกอยู่กับเสาไม้อย่างแน่นหนา

อวี๋เฉิงเจียวที่อยู่ไม่ไกลตะคอกใส่ “โง่ ! ไร้ปัญญา ! อาจารย์เจ้าไม่เคยสอนหรือว่ายามเข้าแดนฝันแล้วจะไม่อาจรับรู้ถึงโลกภายนอกได้อีก ? หากเจ้าไม่ได้อยู่ในสถานที่ปลอดภัย ห้ามไปยังแดนฝันเด็ดขาด ! กล้าเข้าไปยังแดนฝันในสถานการณ์เช่นนี้เสมือนการฆ่าตัวตาย !!! พวกเจ้าที่คิดเข้าแดนฝัน คืนนี้ก็นอนบนยอดเสาไม้ไปเสีย !”

ซูเฉินหันมองรอบตัว พบว่ามีคนอีกราว 20 คนที่ถูกมัดไว้บนเสาไม้เหมือนเขา

ยามมองไปไกล ๆ ก็พบว่าลานฝึกราวกับถูกข้าศึกบุก

เพิงทุกหลังถูกทำลายจนย่อยยับราวกับพายุเข้า

ไม่สิ ยังมีเพิงพักอีก 4 หลังที่ยังอยู่ดีมีสุขท่ามกลางความวอดวายของเพิงพักศิษย์คนอื่น ๆ

“เกิดอะไรขึ้น ?” คนที่ยังตามสถานการณ์ไม่ทันเอ่ยขึ้น

ซูเฉินพอเดาออกว่าเกิดอะไรขึ้น หันไปมองอวิ๋นเป้า

อวิ๋นเป้าจึงเดินเข้ามาแล้วเอ่ยว่า “อาจารย์สองสามท่านเข้ามาลอบทำลายเพิงพัก”

เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ ด้วย

เขาน่าจะรู้ตัวให้เร็วกว่านี้ ช่วงหลังนี้เขาประมาทไม่มากจริง ๆ มุ่งเพียงศึกษาหาความรู้ แต่กลับลืมจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของการฝึกครั้งนี้ไปเสียสิ้น

จุดมุ่งหมายที่แท้จริงคือการจำลองการต่อสู้จริงต่างหาก !

อวิ๋นเป้าเอ่ยต่อ “คนที่รู้ตัวและคอยป้องกันเพิงพักตนเองก็ปลอดภัย ส่วนคนที่ไม่ทันรู้ตัวที่พักจะถูกทำลาย ส่วนคนอย่างเจ้าที่เข้าแดนฝัน หรือพวกที่สัญชาตญาณมีน้อยเกินไปก็ต้องพบกับชะตากรรมเช่นนี้”

“……”

ซูเฉินครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นเอ่ยถาม “เจ้าเล่า ?”

อวิ๋นเป้ายกยิ้มหนึ่ง จากนั้นชี้ไปยังเพิงพักที่ยังคงอยู่รอดปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน “ของข้าอยู่ตรงนั้น”

เป็นไปดังคาด

เช้าวันต่อมา อวี๋เฉิงเจียวก็ยืนรอเหล่าศิษย์อยู่ที่ศิลาส่องกลับ

ด้านหลังเขาคือบางสิ่งบางอย่างที่มีผืนผ้าสีดำขนาดใหญ่คลุมอยู่

หลังจากทุกคนมาถึงและตั้งแถวเรียงกันเรียบร้อยแล้ว อวี๋เฉิงเจียวก็ตะโกนขึ้น “ภารกิจวันนี้คือภารกิจเอาชีวิตรอดในป่า ในสนามรบจริง พวกเจ้าย่อมพบได้ทุกอย่าง บางครั้งได้เปรียบ บางคราอาจพบอันตราย วันนี้พวกเจ้าจะถูกทดสอบว่าจะสามารถเอาตัวรอดจากสถานการณ์เช่นนั้นได้หรือไม่”

พูดจบ เขาก็ดึงผ้าคลุมดำออก เผยให้เห็นกรงค่ายกลพลังต้นกำเนิดมากมายหลายกรง

ภายในกรงขังคืออสูรกาย

เหล่าอสูรกาย !

เจ้าพวกนี้คืออสูรกายทั้งสิ้น !

ศิษย์ทุกคนเริ่มรู้สึกใจเต้นทันที

อวี๋เฉิงเจียวเอ่ย “ใช่แล้ว อสูรกายพวกนี้คือสิ่งที่เจ้าต้องรับมือให้ได้ แต่แน่นอนว่าภารกิจไม่ใช่ให้สังหารพวกมัน แต่เป็นการเอาชีวิตรอดจากการไล่ล่าของมันต่างหาก”

ทุกคนอดตัวสั่นขวัญผวาไม่ได้

มีคนผู้หนึ่งรวบรวมความกล้า เอ่ยถามขึ้น “หากหนีไม่รอดเล่า ?”

“เช่นนั้นก็ตาย !” อวี๋เฉิงเจียวตอบ

ทุกคนตกตะลึงไป

ล้อกันเล่นหรือ ? เจ้าพวกนี้มันอสูรกายเชียวนะ !

กระทั่งอสูรกายระดับต่ำสุดยังแข็งแกร่งกว่าอสูรร้ายระดับสูงสุด หรือก็คือพวกมันมีกำลังเทียบเท่าได้กับผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณด้วยซ้ำ

อสูรร้ายที่ทรงพลังที่สุดในหุบเขาพันเถ้า เจ้าปลามังกร แค่เจ้านั่นก็นับเป็นฝันร้ายตรึงใจของใครหลายคนแล้ว แต่ตอนนี้จู่ ๆ ก็มีฝูงอสูรกายโผล่ขึ้นมาให้รับมืองั้นหรือ

เช่นนี้ก็สั่งให้พวกเขาปาดคอตัวเองตายไปเลยดีกว่า

เมื่อเห็นสีหน้าหดหู่ของทุกคนแล้ว อวี๋เฉิงเจียวก็หัวเราะออกมา “ไม่ต้องห่วง อสูรกายพวกนี้เป็นระดับต่ำสุด อีกทั้งยังถูกกรอกยาให้มีกำลังจำกัด”

ได้ยินดังนั้นแสงแห่งความหวังก็เริ่มปรากฏขึ้นในใจของเหล่าศิษย์

คนผู้หนึ่งถามขึ้น “กำลังลดลงไปเท่าไหร่หรือ ?”

อวี๋เฉิงเจียวผายมือออก “ก็พูดยาก ข้าบอกได้เพียงอสูรทุกตัวมีกำลังลดลงในจำนวนไม่เท่ากัน บางตัวอาจลดลงเพียงสิบส่วน ดังนั้นจึงนับได้ว่าแทบไม่ต่างจากยามปกติ บ้างอาจลดลงเก้าสิบส่วน ทำให้มันยิ่งอ่อนแอกว่าอสูรร้ายระดับสูงส่วนมาก”

“หากทว่าพวกเจ้าอยากรู้ว่ากำลังมันถูกลดไปมากเท่าไร มีความแข็งแกร่งเหลืออยู่เพียงไหน พวกเจ้าต้องทดสอบมันด้วยตนเอง ยามพวกเจ้าต่อสู้กับศัตรู การรู้จักประเมินกำลังศัตรูนับเป็นทักษะจำเป็น หากประเมินผิดอาจหมายถึงตัดสินใจผิด การตัดสินใจผิดอาจนำไปสู่ความล้มเหลว กระทั่งอาจถึงชีวิตได้ ดังนั้นจะสู้หรือจะหนีย่อมขึ้นอยู่กับการประเมินของเจ้าเอง แน่นอนว่าหากกลุ่มใดสามารถสังหารอสูรกายได้ก็จะมีรางวัลให้ แต่หากมีกำลังไม่พอแล้วคิดสู้ เช่นนั้นความตายก็รอเจ้าอยู่”

เขาพูดจบ ศิษย์ทุกคนก็ตกอยู่ในความเงียบ

ภารกิจฝึกฝนในวันนี้ไม่ใช่ภารกิจธรรมดาเลย

ไม่เพียงทดสอบความสามารถในการวิเคราะห์และสังเกตของแต่ละคน ยังทดสอบความสามารถในการตัดสินใจสู้หรือหนีกด้วย

เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังเคร่งเครียดของเหล่าศิษย์แล้ว อวี๋เฉิงเจียวก็พยักหน้าด้วยความพอใจ “จำไว้ จะใช้วิธีใดหนีก็ย่อมได้ แต่ห้ามออกจากหุบเขาพันเถ้า วันนี้ข้าจะรวมกลุ่มละ 4 คน เดินออกมาจับฉลากเสีย จับไปคนละหนึ่งหมายเลข คนที่ได้หมายเลขเดียวกันไปรวมกลุ่มเดียวกัน แต่ละกลุ่มต้องจัดการอสูรกายหนึ่งตัว ส่วนมันจะแข็งแกร่งมากเพียงไหนก็ขึ้นอยู่กับดวงของเจ้า”

เขาพูดจบก็ปล่อยให้เหล่าศิษย์เดินออกมาจับหมายเลขเรื่อย ๆ

ซูเฉินเป็นกลุ่มท้าย ๆ ที่ได้จับหมายเลข เขาได้หมายเลข 12

ไม่ไกลนัก เหล่าศิษย์ทั้งหลายก็เริ่มจับกลุ่มกับคนที่มีหมายเลขเหมือนกัน

คนผู้หนึ่งโบกท่อนไม้ขึ้นแล้วร้องตะโกนถาม “ใครได้หมายเลข 12 ? มาทางนี้เลย !”

ซูเฉินจึงหันไปมองยังต้นเสียง เห็นคนราวสามคนยืนอยู่ตรงนั้น

หนึ่งในนั้นคือกู่ชิงลั่ว