บทที่ 127 ล่า (2)
ในที่สุด เขาก็มายืนอยู่ตรงหน้านางอีกครั้ง
ซูเฉินรู้สึกใจตนเองสั่นน้อย ๆ
คนในกลุ่มอีกสองคนกำลังวางแผนเพื่อภารกิจในวันนี้ หากแต่ซูเฉินทำท่าราวกับวิญญาณตนหลุดลอยออกจากร่างไปแล้ว
กู่ชิงลั่วก็ไม่ต่างกันมากนัก นางไม่คิดว่าจะต้องมาอยู่กลุ่มเดียวกับซูเฉิน ดังนั้นนางจึงตกตะลึงไปไม่น้อย
“การไล่ล่าจะเริ่มขึ้นหลังจากชั่วเวลา 3 ก้านธูป ดังนั้นเราจึงต้องใช้จังหวะนี้เตรียมตัวให้พร้อม เราอาจหาที่ซ่อน หรือจะวางกับดักแล้วโต้กลับมันก็ได้ ข้าขอเสนอว่าให้พวกเราวางกับดัก ใช้ตัวกับดักประเมินความแข็งแกร่งของอสูรกายที่ไล่ล่าเราเสียก่อน เมื่อรู้กำลังของมันแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อ” สมาชิกกลุ่มคนหนึ่งนามว่าเว่ยปินเอ่ยขึ้น
“วางกับดักใช้เวลานานไป อีกทั้งกับดักธรรมดายังไม่อาจใช้ประเมินกำลังมันได้ ข้าว่าเราอย่าคิดโต้กลับดีกว่า ข้ามียาที่ใช้แล้วสามารถกลบกลิ่นคนได้ น่าจะเพียงพอไม่ให้มันตามล่าเรากระมัง” สมาชิกอีกคน หลัวจิ่นเอ่ยตอบ
“พวกเจ้าว่าอย่างไร ?” คนทั้งสองหันมามองกู่ชิงลั่วและซูเฉินพร้อมกัน
“นี่”
ซูเฉินและกู่ชิงลั่วสะดุ้งพร้อมกันราวกับหลุดจากแดนฝัน เพิ่งรู้สึกตัวว่าเริ่มวางแผนกันแล้ว ได้แต่มองหน้ากันด้วยความสับสน
“อะไรของพวกเจ้า ?” คนหนึ่งเริ่มมองออกว่ามีบางอย่างปิดปกติ
“เปล่า ขอโทษด้วย” ซูเฉินเอ่ย “ข้าเห็นด้วยกับหลัวจิ่น เราควรเน้นการหลบหนีก่อน แต่ข้าไม่คิดว่าการกำจัดกลิ่นจะสำเร็จ อย่างน้อย ๆ เหล่าอาจารย์คงไม่ทำให้เรื่องราวง่ายดายเช่นนั้น อย่างไรก็ต้องถูกพวกมันไล่ล่าแน่”
“สำเร็จหรือไม่ มีเพียงต้องลองถึงจะรู้” กู่ชิงลั่วเอ่ย
จากนั้นคนทั่งสี่คนจึงเริ่มมุ่งหน้าออกเดินทาง
ยามออกเดินทาง ซูเฉินก็พลันเดินเข้าไปใกล้กู่ชิงลั่ว “เหตุใดจึงหลบหน้าข้า ?”
ซูเฉินเคยไปหากู่ชิงลั่วอยู่หลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็ถูกกู่ชิงลั่วปฏิเสธ
กู่ชิงลั่วหันหน้าหนี “ข้าไม่อยากคุยเรื่องนั้นระหว่างการฝึก”
“เช่นนั้นจะอยากคุยเมื่อไร ? หลังจากเข้าซากโบราณไปแล้วหรือ ?”
กู่ชิงลั่วเร่งฝีเท้า “เจ้ามีผู้หญิงที่ชอบแล้วไม่ใช่หรือ ? เหตุใดยังต้องมายุ่งวุ่นวายกับข้าด้วย ?”
ซูเฉินตกใจ ผู้หญิงที่เขาชอบหรือ ?
ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่านางอาจจะหมายถึงจูเซียนเหยา
เขาไม่เพียงไม่โกรธ แต่กลับรู้สึกมีความสุขขึ้นมา เขาเร่งฝีเท้าให้ทันกู่ชิงลั่วแล้วหัวเราะ “หึงหรือ ? เช่นนั้นก็หมายความว่าเจ้ายังใส่ใจข้า ถูกต้องหรือไม่ ? หากเจ้าไม่ได้ชอบข้าก็คงไม่พูดแบบนั้น”
กู่ชิงลั่วเอ่ยเสียงกระชากมองตาเขียว “ใครหึงเจ้า ? คนหน้าไม่อาย !”
ซูเฉินไม่คิดอันใด เพียงแต่เอ่ยขึ้น “ผู้หญิงที่เจ้าเห็นเมื่อครั้งก่อนมาเพื่อสังหารข้า”
อะไรนะ ?
กู่ชิงลั่วสะท้านไปเล็กน้อยยามได้ยินดังนั้น นางหยุดฝีเท้าแล้วหันมามองซูเฉินนิ่ง
ประโยคที่ซูเฉินเพิ่งเอ่ยไปนั้นกระแทกจุดอ่อนกู่ชิงลั่วเข้าอย่างจัง
แม้นางจะทำท่าเหมือนกับไม่มีอันใดเกิดขึ้น แต่การแสดงอันย่ำแย่ของนางก็ถูกซูเฉินมองออก คำว่า ‘ข้ายังชอบเจ้า’ นั้นราวกับถูกเขียนอยู่บนหน้า เช่นนั้นยิ่งทำให้ซูเฉินมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นสูง
เขาหัวเราะ “เจ้าจะยังยืนกรานว่าเจ้าไม่ใส่ใจข้าได้อีกหรือ ?”
กู่ชิงลั่วเริ่มไม่พอใจ นางก้มหน้าลง ยิ่งเร่งความเร็วขึ้นอีก “ข้าใส่ใจเจ้าเมื่อไร”
ซูเฉินเอ่ย “หญิงสาวที่หมายสังหารข้ามาจากสายเลือดจักรพรรดิอสูร มาจากตระกูลชั้นสูง แต่ข้าใช้นางเอาคืนพวกเขา อีกทั้งยังมีตระกูลสายเลือดเจ้าอสูรอีกสามตระกูล สายเลือดอสูรกายระดับสูงอีกสามตระกูล อ้อ แล้วยังมีคนจากอารามนิรันดร์อีก”
กู่ชิงลั่วจ้องซูเฉินด้วยสายตาตกใจ
ซูเฉินเอ่ย “ข้าแค่อยากบอกเจ้าว่าหลายปีมานี้ หลากหลายคนมีใจอยากสังหารข้า แต่ข้าก็ยังอยู่รอดปลอดภัยดี ข้าดูแลตนเองได้ ทั้งยังดูแลเจ้าได้ ในเมื่อตระกูลสายเลือดจักรพรรดิอสูรยังไม่อาจเอาชีวิตข้าได้ ตระกูลกู่ก็เช่นกัน ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ยังอยากอยู่กับเจ้า”
กู่ชิงลั่วไม่เอ่ยคำใด
นางจ้องซูเฉินไม่เอ่ยความ คำพูดของเขาดังก้องอยู่ในหัว
สิ่งที่เขาพูดมาไม่ใช่ประโยคที่ฟังดูยิ่งใหญ่อันใด หากแต่ท่าทางสงบนิ่งนั้นแฝงไปด้วยแววความมั่นใจที่ไม่อาจมีสิ่งใดสะเทือนได้ของเขา
สิ่งนี้คือความมั่นใจอย่างแท้จริง เป็นความมั่นใจที่ชี้ให้เห็นว่าเขาสามารถจัดการเรื่องทุกอย่างได้ ไม่ได้พูดเพียงทำให้ใจฮึกเหิมเท่านั้น หรือไม่ได้พูดเพียงเพราะต้องการแสดงให้เห็นถึงความรักหรือความหลงใหลใด
กู่ชิงลั่วถูกความมั่นใจของซูเฉินสะกดไว้ในพลัน หากไม่ใช่เพราะมีคนร้องตะโกนขึ้นทำลายช่วงเวลานี้ นางก็อาจจะยอมให้ชายหนุ่มรั้งร่างนางเข้าไปกอดแล้วก็เป็นได้
“นี่ เร่งฝีเท้าหน่อย ! พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่ ?” เว่ยปินตะโกนขึ้นอย่างอดทนไม่ได้
กู่ชิงลั่วจึงได้สติ จากนั้นจึงถอยไป หลบเลี่ยงมือซูเฉิน
ซูเฉินถอนหายใจ เขารู้ว่าตนเองพลาดโอกาสสำคัญไปแล้ว
หากกู่ชิงลั่วไม่หลบเลี่ยงอ้อมกอดเมื่อครู่ ความรู้สึกที่สัมผัสได้จากเขาอาจทำให้นางลืมทุกอย่างไปเลยก็เป็นได้
หากแต่ตอนนี้เหตุผลได้เข้าควบคุมการตัดสินใจ หากคิดอยากกอดนางก็คงยาก
หลังจากนั้นกู่ชิงลั่วก็ไม่ยอมพูดกับซูเฉินอีก ครั้งนี้ดูท่านางจะตั้งใจหลบหน้าเขาจริง ๆ
สุดท้ายคนในกลุ่มก็ตกลงกันว่าจะลองป้ายยากลบกลิ่นก่อน จากนั้นค่อยลงมือสร้างกับดักเพื่อประเมินกำลังของอสูรกาย
เมื่อเป็นเช่นนี้ ซูเฉินจึงมุ่งมั่นอยู่กับการเตรียมพร้อม
ตอนที่กำลังจะตระเตรียมทุกอย่างเสร็จสิ้นนั่นเอง พวกเขาก็ได้ยินเสียงอสูรกายกู่ร้องมาแต่ไกล
เหล่าศิษย์จึงรู้ว่าอสูรกายในกรงเริ่มถูกปล่อยออกมาแล้ว
“เร่งมือหน่อย !” หลัวจิ่นร้องขึ้น
พวกเขารีบวางกับดัก จากนั้นถอยไปตั้งหลัก ณ ที่สูงทันที
รอไม่นาน อสูรเร่ร่อนตาหยกตัวหนึ่งก็พุ่งเข้ามาพร้อมกับเสียงกู่ร้อง
ด้วยเพราะใช้ยาล่อสัตว์อสูร อสูรเร่ร่อนตาหยกจึงตรงเข้ามายังกับดักที่วางไว้ เสียงฟ้าคำรามดังสนั่นขึ้น จากนั้นแสงสว่างก็วาบออกมาเมื่อกับดักเริ่มทำงาน
กับดักที่วางไว้คือค่ายกลพลังต้นกำเนิด เมื่อสัตว์อสูรก้าวเข้ามาโดนเมื่อไรก็จะปล่อยสายฟ้าอัสนีบาตล้อมกายมันไว้ มีพลังโจมตีไม่ใช่น้อย
หากแต่ค่ายกลนี้ทำได้เพียงทิ้งรอยแผลเล็ก ๆ นับไม่ถ้วนไว้บนผิวอสูรเร่ร่อนตาหยกเท่านั้น ไม่อาจทำมันบาดเจ็บหนักได้ มันโก่งคอกู่ร้อง จากนั้นปล่อยลมพายุออกจากปาก
ลมพายุนั้นสลายสายฟ้าในค่ายกลไปจนสิ้น
เว่ยปินที่กำลังมองมันอยู่อย่างระมัดระวังเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตกใจ “บัดซบ อสูรกายตัวนี้ อย่างน้อย ๆ ก็ยังมีกำลังอยู่หกสิบส่วนของกำลังเดิม”
ศิษย์สถาบันมังกรซ่อนเร้นนั้นรู้จักอสูรกายแทบจะทุกตัว ดังนั้นใช้เบาะแสเพียงไม่กี่อย่างจึงรู้ว่ากำลังเดิมของอสูรเร่ร่อนตาหยกมีเท่าไร
ค่ายกลอัสนีกักขังคือค่ายกลพลังต้นกำเนิดที่ทรงพลังที่สุดที่เหล่าศิษย์สามารถควบคุมได้ หากแต่อสูรเร่ร่อนตาหยกนั้นทำลายมันลงอย่างง่ายดาย แสดงให้เห็นว่าโชคของคนกลุ่มนี้ไม่ดีเท่าที่ควร
“ไปเถอะ !” ซูเฉินตะโกน
คนทั้งสี่ไม่คิดหาทางโจมตีมันอีกต่อไป รีบหมุนตัวแล้วหนีไปในพลัน
หากแต่อสูรเร่ร่อนตาหยกนั้นไม่คิดจะปล่อยใครรอดไป
มันเอนหัวไปด้านหลังเล็กน้อยแล้วคำรามก้องออกมา จากนั้นพุ่งเข้าใส่พวกเขา เป็นไปอย่างซูเฉินว่า ทำเพียงกลบกลิ่นนั้นไร้ประโยชน์ อสูรกายตัวนี้ดูคล้ายกับจะรู้ว่าเป้าหมายตนเองอยู่ทิศทางใด เพราะมันพุ่งเข้ามาทางพวกเขาไม่ผิดทิศ อีกทั้งยังเร่งความเร็วขึ้นเรื่อย ๆ
เห็นเช่นนี้คนทั้งกลุ่มก็ตกตะลึง
แม้จะเป็นอสูรกายระดับต่ำ แต่อสูรเร่ร่อนตาหยกก็เป็นอสูรกายที่มีความเร็วสูงมาก เท้าทั้งสี่ของมันราวกับว่ายแหวกผ่านอากาศยามมุ่งหน้ามายังพวกเขา
อสูรกายสามารถควบคุมและดึงพลังต้นกำเนิดจากรอบข้างมาใช้ได้ ทำให้มันอันตรายกว่าอสูรร้ายที่รู้จักแต่การใช้ความแข็งแกร่งในร่างตนเองเข้าสู้มาก อสูรกายระดับสูงสุดสามารถสร้างพายุ เหินอากาศ อีกทั้งยังมีความสามารถอื่น ๆ อีกมาก
ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี เผ่าสัตว์อสูรก็ยังเป็นเผ่าที่สามารถปรับตัวและควบคุมพลังต้นกำเนิดรอบกายได้ดีที่สุด หากเผ่ามนุษย์ไม่ยืมสายเลือดพวกมันมาใช้ ก็คงไม่อาจมีความสามารถในการควบคุมพลังต้นกำเนิด จนไม่อาจทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณได้เลย
อสูรกายตัวนี้ แม้กำลังจะถูกจำกัดลง แต่ก็ยังสามารถควบคุมพลังต้นกำเนิดได้
เขาทั้งสี่มันวิ่งไล่กวดไม่หยุดหย่อน นัยน์ตาสีหยกของมันจ้องมองเหยื่ออย่างเยียบเย็น