ภาคที่ 2 บทที่ 128 ล่า (3)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 128 ล่า (3)

 

 

“วิ่ง !”

 

 

เสียงร้องลั่นดังขึ้นทั่วป่า ทั่วทุกที่มีเพียงเสียงร้องด้วยความหวาดกลัว

 

 

อสูรกายน่าขนลุกวิ่งไล่ล่าเหล่าศิษย์ที่หนีกันหัวซุกหัวซุนไม่หยุดหย่อน

 

 

ซูเฉินดีดตัวไปด้านหน้า เจ้าอสูรเร่ร่อนตาหยกก็ตามมาติด ๆ

 

 

มันเร็วมากจนใช้เวลาเพียงพริบตาก็ไล่มาจนถึงพวกเขา

 

 

บัดซบ นี่ใช้เพียงภารกิจหลบหนีจริงหรือ ?

 

 

แม้จะไม่จำกัดเขตหนี แต่หากเป็นเช่นนี้พวกเขาก็คงไม่อาจหลบหนีจากอสูรเร่ร่อนตาหยกภายในเวลาเพียง 3 ก้านธูปได้ อีกทั้งในภารกิจนี้พวกเขายังไม่อาจหนีออกจากเขตหุบเขาพันเถ้าได้อีก

 

 

เช่นนี้ก็เหมือนส่งพวกเขาไปตายชัด ๆ!!!

 

 

ซูเฉิน กู่ชิงลั่ว และคนอื่น ๆ ต่างคิดในใจด้วยความหงุดหงิด

 

 

แต่แม้จะโกรธก็ทำได้เพียงกัดฟันหนีต่อไป

 

 

อสูรเร่ร่อนตาหยกใกล้พวกเขาเข้ามาเรื่อย ๆ

 

 

ด้วยกำลังของมันก็สามารถโจมตีพวกเขาจากระยะห่างเพียงเท่านี้ได้แล้ว

 

 

หากแต่เจ้าอสูรเร่ร่อนตาหยกดูท่าจะชอบการไล่ล่า มันไม่เร่งรีบโจมตี ยังคงไล่กวดเข้ามาใกล้พวกเขามากขึ้นเรื่อย ๆ

 

 

ในนัยน์ตาซูเฉิน และคนอื่น ๆ เริ่มปรากฏแววสิ้นหวัง

 

 

ถูกต้อง เป็นความสิ้นหวัง

 

 

พวกเขาคงไม่อาจหวังเอาชนะมันได้ ทำได้เพียงหลบหนีจากมันเท่านั้น เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ยากลำบากเช่นนี้ แล้วพวกเขายังมีตัวเลือกอย่างไรอีก ?

 

 

“ใส่มันให้เต็มที่ไปเลยแล้วกัน !” หลัวจิ่นตะโกนขึ้น

 

 

“อย่า ! รออีกหน่อยเถอะ ลองล่อมันไปหาโคลนยักษ์พวกมันจะได้สู้กัน!” ซูเฉินตะโกนตอบ

 

 

“ไกลไป ไม่ทันหรอก” กู่ชิงลั่วเอ่ยขึ้นก่อนเหลือบมองทางด้านหลัง

 

 

อสูรเร่ร่อนตาหยกยิ่งใกล้เข้ามาอีก

 

 

ยามมันอ้าปาก ลมหอบหนึ่งก็ซัดออกมา กลายร่างเป็นมังกรตัวหนึ่ง ต้นไม้ที่ขวางทางพลังลมมังกรนั่นถูกถอนรากถอนโคนออกด้วยแรงลม ฝุ่นปลิวตลบ ท้องฟ้าคล้ายกับจะมืดครึ้มลงเนื่องจากผลของการโจมตีนี้

 

 

นี่นับเป็นอสูรกายระดับต่ำที่สุดแล้ว แต่กลับสามารถปลดปล่อยพลังมหาศาลเช่นนี้ออกมาได้อย่างง่ายดาย

 

 

นี่คือพลังของเผ่าพันธุ์ต้นกำเนิดที่สวรรค์สรรสร้าง !

 

 

ริ้วลมรูปมังกรพุ่งเข้าใส่ซูเฉิน และคนอื่น ๆ

 

 

คนทั้งสี่ไม่อาจทำสิ่งใดได้นอกจากฝืนรับการโจมตีนั้น

 

 

ถึงจุดนี้ แม้ไม่อยากใช้วิชาใดเต็มกำลังก็ต้องบีบให้ทำ

 

 

ร่างของกู่ชิงลั่วพลันพุ่งออกไป นางใช้ก้าวย่างหมอกอสรพิษ ใบหลิวจำนวนมากพุ่งออกจากมือนาง กลายเป็นเข็มคมพุ่งเข้าใส่อสูรเร่ร่อนตาหยก ในเวลาเดียวกันนั้นเว่ยปิน หลัวจิ่น และซูเฉินก็ปล่อยทักษะต้นกำเนิดของตน ก่อเกิดก้อนพลังจากวิชาของทุกคนรวมกัน

 

 

แต่กระนั้น เมื่อทักษะต้นกำเนิดของแต่ละคนพุ่งเข้าไปใกล้ร่างอสูรเร่ร่อนตาหยก มันทำเพียงอ้าปากกู่ร้องครั้งหนึ่ง จากนั้นลมที่พุ่งออกมาก็พัดเอาใบหลิวของกู่ชิงลั่ว ดาบสวรรค์พิภพของเว่ยปิน ฝ่ามือเมฆาแดงของหลัวจิ่น และระเบิดเหยี่ยวเพลิงของซูเฉินกระเด็นหายไป

 

 

ทักษะต้นกำเนิดอันน่าตื่นตาตื่นใจทั้งหมดนั้นราวกับน้ำหยดหนึ่งหยดลงมหาสมุรทเมื่อเทียบกับกำลังของอสูรเร่ร่อนตาหยก

 

 

พริบตาต่อมา อสูรเร่ร่อนตาหยกก็อ้าปากอีกครา ครั้งนี้ส่งหนวดอากาสขนาดยักษ์พุ่งมาทางพวกเขา

 

 

ความสามารถในการควบคุมลมของอสูรเร่ร่อนตาหยกนั้นมีมากกว่าที่พวกเขาคาดคิดนัก

 

 

ทั้งสี่คนรีบถอยทันที

 

 

แขนทั้งสองของกู่ชิงลั่วยังแกว่งไปมาไม่หยุด วาดลวดลายเบื้องหน้านาง ทันใดนั้นเบื้องหน้าก็มีแสงจ้าสีเย็นก็สว่างออกมา การเคลื่อนไหวของอสูรเร่ร่อนตาหยกค่อย ๆ ช้าลงเรื่อย ๆ สุดท้ายมันก็ถูกน้ำแข็งหนาหุ้มร่างไว้จนหยุดการเคลื่อนไหวลง

 

 

นี่คือวิชาสัมบูรณ์วิชาที่สามของตระกูลกู่ ดาราเยือกแข็ง

 

 

เมื่อเห็นภาพนั้นทั้งเว่ยปินและหลัวจิ่นก็ร้องออกมาด้วยความยินดี

 

 

หากแต่พริบตาต่อมา น้ำแข็งก็เริ่มเกิดรอยแตก ดาราเยือกแข็งไม่อาจใช้คุมอสูรเร่ร่อนตาหยกได้นานไปมากกว่านี้

 

 

กู่ชิงลั่วตกตะลึงไป นางเคลื่อนพลังต้นกำเนิดภายในร่าง ก่อนที่ภาพอสรพิษทะยานขนาดยักษ์จะปรากฏที่เบื้องหลัง ชี้ให้เห็นว่านางกำลังโคจรพลังภายในร่างจนถึงขีดสุด

 

 

หากแต่แผ่นน้ำแข็งยังคงค่อย ๆ เผยรอยปริแตกต่อไปไม่หยุด

 

 

รอยแตกขนาดใหญ่ยิ่งปริออกมาเรื่อย ๆ สุดท้ายเกิดเสียงดัง เปรี๊ยะ ก่อนที่น้ำแข็งทั้งหมดจะแตกออก

 

 

“อ๊ากกก !” กู่ชิงลั่วร้องขึ้น ร่างนางกระเด็นปลิวไป

 

 

อสูรเร่ร่อนตาหยกอ้าปากกว้าง ก่อนที่หนวดอากาศจะเลื้อยออกมารัดร่างกู่ชิงลั่วไว้

 

 

“ชิงลั่ว !” ซูเฉินร้องขึ้น

 

 

เขามองกู่ชิงลั่วที่ถูกหนวดอากาศรัดร่างค่อย ๆ ถูกลากเข้าปากอสูรเร่ร่อนตาหยกไปช้า ๆ มันอ้าปากกว้างราวกับต้องการกลืนนางลงไปทั้งตัว เว่ยปินและหลัวจิ่นนั้นตัวแข็งค้างไปด้วยความหวาดกลัว

 

 

ตู้ม !

 

 

ควันพวยพุ่งออกมาทั่วพื้นที่

 

 

เพลิงอัสนีถูกโยนเข้าใส่อสูรเร่ร่อนตาหยก

 

 

มันอาจไม่ทรงพลังมากนัก อีกทั้งยังทิ้งเพียงรอยไหม้เล็กน้อยไว้บนผิวมันเท่านั้น

 

 

ซูเฉินหยิบยาขวดหนึ่งออกมาราดร่างตนเองจนหมด

 

 

ยาล่อสัตว์อสูร

 

 

ในเวลาเดียวกันนั้นเองก็หันไปขยับนิ้วเรียกเจ้าอสูรกาย ทำท่าทางเหยียดมันสุดขีด

 

 

จากนั้นเอ่ยขึ้น “มาสิไอ้อสูรบัดซบ ! หากกล้าก็ตามข้ามา !”

 

 

ทั้งการโจมตี ทั้งท่าทางล้อเลียนมันเช่นนั้น อีกทั้งยังมียาล่อสัตว์อสูร ทำเช่นนี้เพื่อดึงความสนใจมันมาทางเขา

 

 

ในที่สุดอสูรเร่ร่อนตาหยกก็ไม่สนใจจะกินกู่ชิงลั่วอีกต่อไป

 

 

หนวดอากาศสะบัดแรง ส่งร่างกู่ชิงลั่วกระเด็นไปไกล

 

 

ส่วนอสูรเร่ร่อนตาหยกก็พุ่งเข้าใส่ซูเฉิน

 

 

ซูเฉินจึงล่อมันออกมาแล้วตะโกนดังลั่น “ทุกคน แยกทางกัน ! ข้าจะล่อเจ้านี่เอง !”

 

 

“ซูเฉิน !” กู่ชิงลั่วตะโกน

 

 

“เงียบเสีย มีเพียงทางนี้จึงจะรอด !” ซูเฉินตะโกนบอก ก่อนจะส่งระเบิดเหยี่ยวเพลิงฉบับปรับปรุงอีกลูกไปทางอสูรเร่ร่อนตาหยก

 

 

ระเบิดเพลิงปักษาฉบับปรับปรุงนั้นทรงพลังอยู่บ้าง ยามถูกร่างอสูรกายมันยังรู้สึกเจ็บปวด มันกระโจนเข้าใส่ซูเฉินด้วยความโกรธ จากนั้นไล่ตามเขาเข้าป่าลึกไป

 

 

“ซูเฉิน !!!” กู่ชิงลั่วร้องเสียงเศร้า

 

 

นางคิดอยากไล่ตามเขาไป ทว่าเว่ยปินและหลัวจิ่นดึงนางไว้ ซูเฉินล่ออสูรเร่ร่อนตาหยกออกไปแล้ว หากไล่ตามเขาไปอีกก็เท่ากับเลือกไปตาย

 

 

————————

 

 

ซูเฉินวิ่งไม่หยุด เพิ่มความเร็วจนถึงขีดสุด

 

 

โชคไม่ดีที่ไม่ว่าจะใช้พลังไปเท่าไรก็ไม่อาจสลัดอสูรเร่ร่อนตาหยกหลุดได้ เพราะมันเชี่ยวชาญด้านการควบคุมลมมาก

 

 

อสูรเร่ร่อนตาหยกดูท่าจะไล่ตามซูเฉินอย่างสนุกสนาน มันวิ่งไล่เขาอย่างไม่รีบร้อนอันใด

 

 

หลังจากวิ่งไล่กันมาชั่วครู่หนึ่ง ดูท่ามันจะเริ่มทนไม่ไหวอีกต่อไป

 

 

มันพ่นริ้วลมคมเฉียบออกมาริ้วหนึ่ง

 

 

ฟ้าว !

 

 

ริ้วลมประหนึ่งใบมีดนั่นเฉือนเข้าหลังชายหนุ่ม

 

 

เกราะเวทย์แตกกระจายออกเป็นเสี่ยง ๆ ก่อนที่ร่างของซูเฉินจะกระเด็นไป

 

 

ตอนที่ร่างกำลังลอยอยู่ในอากาศ เขาก็วาดแขนไปด้านหลัง สร้างระเบิดเหยี่ยวเพลิงฉบับปรับปรุงแล้วส่งมันออกไป นับเป็นเพียงวิชาเดียวที่สามารถใช้ทำให้อสูรเร่ร่อนตาหยกได้รับบาดเจ็บได้

 

 

ตู้ม !

 

 

อสูรเร่ร่อนตาหยกรับพลังนั่นไปเต็ม ๆ หากแต่ผิวหนังมันเกิดรอยไหม้เพียงนิดเท่านั้น

 

 

เรื่องนี้ทำให้มันเริ่มอารมณ์ไม่ดี

 

 

มันเงยหน้าขึ้นส่งเสียงคำรามลั่น จากนั้นพุ่งเข้ามาอยู่ตรงหน้าซูเฉินด้วยความเร็วก่อนจะอ้าปากหมายกัดร่างซูเฉินที่กำลังจะร่วงลงสู่พื้น

 

 

หากแต่ในตอนที่มันอ้าปาก นัยน์ตาซูเฉินก็เป็นประกายวาบ “ตายเสีย !”

 

 

หมัดหนึ่งถูกส่งเข้าใส่อสูรเร่ร่อนตาหยก

 

 

สว่านทะลวงเกราะ !

 

 

ซูเฉินรอจังหวะนี้มานาน เขาใช้ความหยิ่งยโสโอหังของอีกฝ่ายเพื่อหาช่องเอาตัวรอด

 

 

หมัดดั่งเหล็กกล้าซัดเข้าหาศัตรูพร้อมพลังมหาศาล กระทั่งอสูรเร่ร่อนตาหยกยังสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างแปลกไป

 

 

มันรีบหยุดปาก หันหัวหลบไปด้านข้างในทันที จากนั้นผิวหนังมันก็เริ่มเปลี่ยนไปคล้ายกับหยก

 

 

พริบตาต่อมา หมัดของซูเฉินก็ทะลวงผ่านผิวผลึกหยกของมัน เข้าปะทะกับหน้าอสูรเร่ร่อนตาหยกราวกับไม่มีสิ่งใดขวางกั้น

 

 

สว่านทะลวงเกราะ !

 

 

อีกทั้งยังไม่ใช่เพียงสว่านทะลวงเกราะธรรมดา หมัดของเขายังส่งแสงเรืองแปลก ๆ พลังระเบิดที่อัดอยู่ในหมัดนั้นระเบิดออกมาจากรอยแผล

 

 

หมัดพลังระเบิด !

 

 

มันคือวิชาที่หงหมิงใช้ต่อสู้กับอาสิบเอ็ด โดยใช้การบีบอัดพลังต้นกำเนิดในร่างจนถึงขีดสุด จากนั้นปล่อยให้มันระเบิดออกในพริบตา

 

 

มันอาจไม่มีความสามารถในการทะลุทะลวงมากนัก แต่มีพลังระเบิดสูง เมื่อใช้รวมกับสว่านทะลวงเกราะจึงไม่อาจประมาณแรงโจมตีได้

 

 

“โบร๋ววว !”

 

 

เสียงหอนเคล้าความเจ็บปวดดังก้องไปทั่วทั้งป่า

 

 

นับเป็นครั้งแรกที่มันเปล่งเสียงร้องเจ็บปวดออกมานับตั้งแต่ภารกิจเริ่มต้นขึ้น

 

 

จมูกของมันถูกหมัดซัดจนหายไป

 

 

หลุมดำขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนใบหน้า

 

 

นี่อาจเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดที่ศิษย์จากสถาบันมังกรซ่อนเร้นเคยทำได้ คน ๆ เดียวสามารถโจมตีให้อสูรกายได้รับบาดเจ็บสาหัสได้เช่นนี้

 

 

แต่ถึงกระนั้นซูเฉินก็ไม่รู้สึกยินดีแม้แต่น้อย

 

 

เมื่อเห็นการโจมตีแรกของตน ใจเขาก็พลันร่วงหล่น

 

 

สุดท้ายก็ยังทำไม่สำเร็จสินะ ?

 

 

ซูเฉินวางแผนไว้ว่าจะใช้หมัดเมื่อครู่ต่อยเข้าที่ตาของมัน ทะลวงผ่านไปถึงสมอง สังหารมันในหมัดเดียว

 

 

เป็นเพียงโอกาสเดียวที่เขาจะสามารถพลิกสถานการณ์ได้ ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้ว่าโอกาสสำเร็จนั้นต่ำมาก

 

 

แต่สุดท้ายเขาก็ทำพลาด แม้จะสามารถทำลายจมูกมันได้ ทำให้มันบาดเจ็บหนัก แต่กำลังของอสูรเร่ร่อนตาหยกก็ไม่ลดลงแม้แต่น้อย มันพลาดท่าคราหนึ่งไปแล้ว ซูเฉินคงไม่มีโอกาสเช่นนี้เป็นครั้งที่ 2

 

 

และแม้อสูรเร่ร่อนตาหยกจะถูกเขาโจมตีแบบเดิมอีกครา แต่ผลที่ออกมาก็อาจไม่ได้ดังเดิม การโจมตีครั้งก่อนหน้าสูบเลือดและพลังปราณเขามากเกินไป

 

 

การต่อสู้นั้นจบลงแล้ว

 

 

ตู้ม !

 

 

อสูรเร่ร่อนตาหยกฟาดกรงเล็บเข้ากับร่างซูเฉิน ส่งร่างเขาหน้ากระแทกพื้น

 

 

ซูเฉินถึงกับได้ยินเสียงกระดูกในร่างลั่นกร๊อบยามกรงเล็บมันปะทะร่าง ส่งร่างเขาไถลไปกับพื้น

 

 

เขาบ้วนเลือดอึกใหญ่ออกมา ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยความเจ็บปวด กระทั่งจะขยับร่างสักนิดยังทำได้ยาก

 

 

กรงเล็บเมื่อครู่คงจะหักซี่โครงเขาไปอย่างน้อยก็หกซี่

 

 

เจ้าอสูรเร่ร่อนตาหยกค่อย ๆ ย่างกรายเข้ามา

 

 

ครั้งนี้มันไม่ได้กระโจนเข้ามาอีก หากแต่เดินย่ำเท้ามาบนพื้น

 

 

มันค่อย ๆ เยื้องย่างเขามาทีละก้าว พลังของมันเพิ่มสูงขึ้น ก่อเกิดเป็นกลิ่นอายแห่งความตายแผ่ออกมา

 

 

ในเวลาเดียวกันนั้นปราณชั่วร้ายก็แผ่ออกมาจากร่างแล้วเข้าปกคลุมบาดแผลบนร่าง ซูเฉินมองเห็นภาพจมูกที่ถูกหมัดของเขาจนเละค่อย ๆ งอกออกมาใหม่จนเป็นดังเดิม !

 

 

บาดแผลของมันที่เขาทุ่มสุดแรงโจมตีกลับหายไปไม่เหลือร่องรอย !

 

 

ใจซูเฉินพลันเย็นยะเยือก

 

 

เขาเคยได้ยินมาก่อนว่าอสูรกายนั้นแตกต่างจากอสูรร้ายนัก แต่เพิ่งจะเมื่อครู่ที่เขาถึงได้รู้ว่าแตกต่างกันมากถึงเพียงไหน

 

 

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตเช่นนี้ หากตัวเขาในตอนนี้ต้องการสังหารมันก็คงเหมือนเล่าเรื่องตลกเรื่องหนึ่งกระมัง !

 

 

ตอนนี้เจ้าอสูรเร่ร่อนตาหยกเดินเข้ามาใกล้ซูเฉินทุกที มันก้มหัวลงแล้วจ้องหน้าเขาสายตาเย็นเยียบ

 

 

ฟืด !

 

 

มันพ่นลมหอบหนึ่งออกมา ซัดเพลิงอัสนีที่ซูเฉินซ่อนไว้ในมือออกไป

 

 

ซูเฉินพลันรู้สึกถึงความสิ้นหวังก็ตอนนี้

 

 

เพลิงอัสนีลูกนี้ก็คล้ายกับลูกอื่น ๆ แต่มันมีส่วนประกอบยาที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทำให้ผลที่ออกมารุนแรงกว่ามาก ยามศัตรูคิดว่ามันก็เหมือนกับเพลิงอัสนีที่ผ่าน ๆ มาและไม่ใส่ใจมันก็จะต้องพบกับแรงระเบิดมหาศาล นับเป็นไพ่ตายใบสุดท้ายของเขา เป็นทางรอดสุดท้ายที่เหลืออยู่

 

 

หากแต่เมื่อครู่อสูรเร่ร่อนตาหยกได้ปัดมันออกไปแล้ว

 

 

ในจังหวะที่เขาคิดจะใช้วิชาสรรพสิ่งลวงตาโดยไม่คิดถึงผลเสียที่ตามมานั้นเอง เจ้าอสูรกายก็พลันหยุดเท้า

 

 

มันจ้องซูเฉินก่อนอ้าปากพูด “ข้าจะไม่ประมาทอีกต่อไป แม้จะเป็นสิ่งที่ไม่ได้ทรงพลังมากนักก็ตามแต่”

 

 

ซูเฉินจ้องมันด้วยความตกใจ นัยน์ตาเบิกกว้าง “เจ้าพูดได้ด้วยหรือ ?”

 

 

อสูรเร่ร่อนตาหยกพรี่ตาลง “อสูรกายมีสติปัญญา ในเมื่อมีสติและมีปัญญาใช้คิดเห็นได้ ย่อมต้องเรียนภาษามนุษย์ได้ พวกข้าพูดได้นั้นแปลกนักหรือ ?”

 

 

มันพูดจบแล้วก็ค่อย ๆ ถอยออกไป ร่างของมันเลือนหายไปไกล เหลือเพียงคำกล่าวทิ้งท้ายล่องลอยในอากาศ “เจ้าหนู คิดไว้เสียเถอะว่าตนโชคดีนัก ครั้งนี้เป็นเพียงการทดสอบเท่านั้น ไม่เช่นนั้นหากดูจากที่เจ้าโจมตีข้าจนบาดเจ็บเช่นนี้ ข้าคงขยี้เจ้าเป็นเนื้อบดไปแล้ว !”