ภาคที่ 2 บทที่ 129 แช่บ่อสมุนไพร

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 129 แช่บ่อสมุนไพร

แล้วอสูรเร่ร่อนตาหยกก็จากไป

มันจากไปทั้ง ๆ แบบนั้น !

ไม่ใช่ว่าหากใครหนีไม่รอดก็ต้องตายหรือ ?

เหตุใดตอนที่มันกำลังจะลงมือสังหารเขาได้ จู่ ๆ มันก็หนีไปเช่นนั้นเล่า ?

ซูเฉินไม่อาจเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นได้ จนกระทั่งคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า

ฉือไคฮวง

“อาจารย์ !” ซูเฉินร้องขึ้น

ฉือไคฮวงเดินเข้ามาพร้อมเสียงหัวเราะ “ทำได้ดี ! เจ้าเคยบอกว่าเจ้าไม่ใช่คนที่ไร้ความกลัว แต่เมื่อครู่เจ้าดูกล้าหาญมาก”

ซูเฉินนั่งทำหน้ามึนงง เขาทำท่าเหมือนอยากพูดบางอย่าง แต่กลับไม่มีคำใดออกจากปาก

ฉือไคฮวงเข้าใจเรื่องที่เขาอยากพูดดี “เป็นเพราะเด็กคนนั้นใช่หรือไม่ ? ไม่ต้องห่วง ไม่ว่าเจ้าจะทำด้วยเหตุผลอันใด แต่การยอมสละตนเพื่อช่วยเหลือคนอื่น ๆ ในกลุ่มก็ยังเป็นสิ่งที่ดี”

“เช่นนั้นเรื่องไล่ล่าก็เป็นเรื่องหลอกลวงตั้งแต่ต้นเลยหรือ ? เป็นเพียงเครื่องทดสอบการตอบสนองของพวกข้าในสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกระมัง ?” ซูเฉินถาม

ฉือไคฮวงตอบ “สมรภูมิรบเป็นสถานที่เสี่ยงชีวิต เรื่องนั้นอย่างไรพวกเราก็ต้องทดสอบพวกเจ้า ในเมื่อพวกเราจะส่งพวกเจ้าไปที่นั่นย่อมต้องเลือกคนให้เหมาะสมที่สุด คนที่เหมาะสมอาจไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุด แต่จำต้องมีความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว และมีใจไม่ยอมแพ้ทั้งกับตนเองและสหายร่วมภารกิจ มีเพียงคนเช่นนี้ที่เหมาะกับการทำการใหญ่”

ซูเฉินพยักหน้าเข้าใจ ภารกิจนี้แท้จริงแล้วเป็นการทดสอบอย่างหนึ่ง

ทุกคนถูกหลอกให้ลงไปอยู่ใน ‘กับดักลวงว่าต้องตาย’ เพื่อทดสอบการตอบสนองยามต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์เสี่ยงตาย

“เช่นนั้นมีอสูรกายที่กำลังลดลงเพียงสิบส่วนอยู่จริงหรือไม่ ?” ซูเฉินถาม

ฉือไคฮวงหัวเราะ “อสูรกายพวกนั้น หลังจากถูกสถาบันจับมาก็ถูกฝึกมาแล้ว แม้จะเป็นสัตว์อสูรแต่ก็อยู่ในความควบคุมของมนุษย์ พวกมันไม่จำเป็นต้องใช้ยาในการคุมพลังตนเองหรอก แต่เสี่ยวชิงประมาทเจ้าไปจริง ๆ เจ้าทำลายจมูกมันได้ ฮ่า ๆ แม้จะเป็นเพียงแผลเล็กน้อย แต่ก็นับว่าเสียหน้ามาก”

“นี่…… แต่เช่นนั้นก็ไม่ได้ทำให้ข้ารับมือมันได้ง่ายขึ้นเลยนะ” ซูเฉินตอบ ยกมือขึ้นกุมอกตนเอง

“ไม่ต้องห่วง ข้าจัดการเอง” ฉือไคฮวงพูดแล้วก็วาดแขนขึ้น ร่างซูเฉินก็ลอยขึ้นตามทิศทางแขน

เขาใช้นิ้วแตะบนร่างซูเฉินไม่กี่ครั้ง กระดูกที่หักก็เริ่มผสานเข้าด้วยกัน จากนั้นเขาก็หยิบยาขวดหนึ่งส่งให้ชายหนุ่มที่เริ่มฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว

สิ่งที่ทำให้ซูเฉินรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก นั่นคือยาขวดนั้นเป็นเขาที่ปรุงมันขึ้นมาเอง

“ท่านนี่ใช้ของของผู้อื่นไม่เบามือเลยนะท่านอาจารย์” ซูเฉินเอ่ย ค่อย ๆ ลองจับกระดูกบนร่างตนเองอย่างระมัดระวัง

“เอาล่ะ ๆ ในฐานะที่เจ้าเป็นคนแรกที่ผ่านการทดสอบ ทั้งยังสามารถทำเสี่ยวชิงบาดเจ็บได้ ความสำเร็จของเจ้าย่อมได้รับการบันทึกและประเมิน หลังจบการทดสอบนี้ศิษย์แต่ละคนจะได้รับหมายเลขประจำตัว หมายเลขของเจ้าย่อมเป็นหมายเลขที่เหนือกว่าคนอื่น ๆ แน่”

หมายเลขศิษย์คือวิธีเฉพาะที่ สถาบันมังกรซ่อนเร้นใช้เพื่อจัดระเบียบศิษย์ที่จะเข้าไปในซากโบราณ โดยจะมีตั้งแต่หมายเลข 1 ถึง 40 ระบุให้แต่ละคน ยิ่งตัวเลขน้อยยิ่งหมายความว่าศิษย์ผู้นั้นมีความเก่งกาจมาก

หากศิษย์สองคนมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน ผู้ที่มีหมายเลขศิษย์ดีกว่าจะได้เป็นคนตัดสินใจ

พูดง่าย ๆ ก็คือเพื่อจัดลำดับขั้นทางอำนาจ เมื่อต้องทำงานกันหลายคนย่อมต้องมีผู้ที่มีอำนาจเหนือคนอื่น ๆ

สถาบันมังกรซ่อนเร้นไม่ได้ตั้งใครคนใดคนหนึ่งขึ้นเป็นหัวหน้า เป็นเพราะเมื่อเข้าซากโบราณไปแล้วจะยิ่งสับสน หากหัวหน้าไม่อยู่เล่า? หรือหากหัวหน้าตายเล่า ?

การจัดพวกเขาตามหมายเลขศิษย์เช่นนี้จะเป็นการสร้างลำดับอำนาจขึ้นมา อีกทั้งยังจำกัดอำนาจในมือของแต่ละคนด้วย จะไม่มีผู้ใดสามารถสั่งให้คนอื่น ๆ ทำตามตนได้ตามใจชอบ

ซูเฉินไม่ใส่ใจมาก เพียงแต่เอ่ยเสียงเกียจคร้านขึ้นมา “ข้าอยากได้ของที่จับต้องได้มากกว่า”

ฉือไคฮวงหัวร่อ “ว่าแล้วว่าเจ้าต้องพูดเช่นนี้ ไม่ต้องห่วง มีรางวัลตอบแทนเจ้าแน่”

พูดแล้วเขาก็คว้าซูเฉินก่อนเหินร่างขึ้นไปในอากาศ

ตอนนี้เขาอยู่ด่านสู่พิสดารแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะต้นกำเนิดในการเดินเหินบนอากาศอีก พวกเขาเหินไปด้วยความเร็วขั้นสุด ไม่นานก็มาถึงศิลาส่องกลับ

บ่อนั้นอยู่ที่ศิลาส่องกลับ ในบ่อคือโคลนตมสีดำ

ฉือไคฮวงโยนซูเฉินลงไปในบ่อนั้น “เจ้าแช่อยู่ในนี้จนกว่าพระอาทิตย์จะตกดิน ใช้เวลาให้ดี ดูดซับให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เสีย”

เป็นตอนนั้นเองที่ซูเฉินพบว่าโคลนตมเหล่านี้คือโคลนสมุนไพรที่ทรงพลังมาก

ซูเฉินรู้วิชาดูดซับพลังศรเภกะ ดังนั้นเขาจึงเปิดใช้มันทันที ทั่วร่างพลันรู้สึกถึงพลังจากยาสมุนไพรที่พรั่งพรูเข้ามาผ่านนิ้วมือ ค่อย ๆ ซึมซาบเขาร่างเขาไปเรื่อย

เขาเองก็เป็นนักปรุงยาด้วย ดังนั้นจึงรู้ในทันทีว่าโคลนสมุนไพรนี้ อย่างน้อย ๆ ต้องมีสมุนไพรหายาก 300 ชนิดผสมอยู่เป็นแน่ พลังจากยาสมุนไพรในบ่อนี้เข้มข้นมาก หากเขาโคจรพลังนี้ไปยังตานไห่ ก็จะสามารถเพิ่มพื้นฐานการบ่มเพาะพลังได้ แต่หากปล่อยให้มันโคจรหมุนเวียนอยู่ภายในร่างก็จะสามารถก่อร่างสร้างความแข็งแกร่งได้

ซูเฉินมีดวงตามองเห็นพลังต้นกำเนิด ดังนั้นจึงไม่คิดรีบเพิ่มพื้นฐานการบ่มเพาะพลังของตนนัก เช่นนั้นแล้วเขาจึงไม่รอช้า รีบดูดซับยาสมุนไพรในบ่อแล้วปล่อยให้มันหมุนเวียนไปทั่วร่างเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้ร่างกายในพลัน เขาไม่อยากเสียโอกาสนี้ไปเพียงนิด ไม่ยอมใช้พลังยาในบ่อเพื่อรักษาบาดแผลบนร่างตนเองเสียด้วยซ้ำ

จากนั้นเวลาก็ผ่านไป ไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงศิษย์คนอื่น ๆ เดินเข้ามาด้วยเช่นกัน

ซูเฉินไม่ใส่ใจ สนใจเพียงโคจรวิชาดูดซับพลังศรเภกะเพื่อดูดซับพลังยาให้มากที่สุดเท่านั้น

เริ่มมีคนลงบ่อมามากขึ้นเรื่อย ๆ พลังยาในบ่อจึงเริ่มลดความเข้มข้นลง

ซูเฉินยิ่งเพิ่มการดูดซับเป็น 2 เท่า

เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่อาจรู้ได้ ก็มีเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น “เอาล่ะ ทุกคนออกมาได้แล้ว”

ซูเฉินลืมตาขึ้น พบว่ามีคนอีกราว 10 คนนั่งอยู่ในบ่อเช่นเดียวกันกับเขา ไม่น่าแปลกใจว่าหนึ่งในนั้นมีอวิ๋นเป้าด้วย

โคลนดำในบ่อแปรเปลี่ยนเป็นสีเทา หมดสิ้นซึ่งความหนืด ซูเฉินลองหยิบมันขึ้นมากำมือหนึ่ง จากนั้น ‘โคลน’ เหล่านั้นก็ร่วงผ่านง่ามมือเขาราวกับเม็ดทราย

ซูเฉินจึงรู้ได้ว่าพลังยาทั้งหมดในโคลนเหล่านี้ถูกดูดซับไปจนหมดแล้ว

ยังมีศิษย์ที่นั่งอยู่นอกบ่อเช่นเดียวกัน บางคนนั่งพักกับพื้น บางคนก็ถูกบทลงโทษฟ้าคำราม

มี 6 คนที่ถูกลงโทษหนักที่สุด

พวกเขาถูกห้อยหัวลงจากต้นไม้ ถูกเฆี่ยนอย่างแรก จากนั้นจึงถูกบทลงโทษฟ้าคำรามเป็นอย่างสุดท้าย

ซูเฉินเห็นหวังโต้วซานอยู่ไม่ไกลจากเขานักจึงเดินเข้าไปหา จากนั้นพยักพเยิดหน้าไปทางคนหกคนที่ห้อยหัวอยู่ “เจ้าพวกนั้นทำผิดอะไรหรือ ?”

หวังโต้วซานตอบ “เจ้าบัดซบหกตัวนั่นโยนเพื่อนร่วมกลุ่มตนเองใส่อสูรกายแล้วหนีเอาตัวรอดไป”

พูดจบยังถ่มน้ำลายลงพื้นเป็นเชิงดูถูกอีกด้วย

เมื่อได้ยินว่าคนเหล่านั้นโยนสหายร่วมกลุ่มตนเองเข้าปากอสูรกายเช่นนั้น ซูเฉินก็ไม่สงสาร “แล้วจะจัดการอย่างไร ?”

“ถูกบทลงโทษ 3 วัน จากนั้นไล่ออกจากสถาบัน”

“แล้วคนพวกนั้นเล่า ?” ซูเฉินถาม มองไปยังกลุ่มที่ถูกบทลงโทษฟ้าคำรามเท่านั้น

“พวกนั้นทิ้งสหายไว้แล้วหนีเอาตัวรอดไปคนเดียว” หวังโต้วซานตอบ

ซูเฉินพยักหน้า เขาเดาไว้แล้วว่าคงเป็นเช่นนั้น

“เช่นนั้นคนที่ไม่ได้รางวัลแต่ก็ไม่ถูกลงโทษก็หมายความว่าไม่ได้ทำความผิดร้ายแรงแต่ก็ไม่ได้มีผลงานอันใดโดดเด่น ใช่หรือไม่ ?” ซูเฉินถาม

“พวกข้าไม่เหมือนกับเจ้าหรอก ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อสตรี แต่สุดท้ายก็ได้ประโยชน์”

ซูเฉินรีบเปลี่ยนเรื่องทันที “อวิ๋นเป้าเล่า ? เขาเสี่ยงชีวิตเพื่อใครหรือ ?”

“เขาก็ไม่เหมือนเจ้าเช่นกัน พวกที่ได้แช่บ่อยาไม่จำเป็นต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อคนอื่นเสมอไป เขากับกลุ่มสามารถหลบหนีจากอสูรกายได้สำเร็จ”

“หนีจากอสูรกายได้หรือ ?” ซูเฉินเบิกตากว้าง

หลังจากเขาได้รู้ว่าอสูรกายเหล่านั้น แท้จริงแล้วไม่ได้ถูกกรอกยาและยังมีกำลังอยู่เต็มเปี่ยม ซูเฉินก็ไม่คิดว่าจะมีกลุ่มไหนสามารถเอาชนะอสูรกายไปได้ เพราะอย่างไรก็เป็นเพียงการทดสอบอยู่แล้ว ดังนั้นหากมีใครหนีพ้นเงื้อมือมันได้จริง ๆ จึงน่าประหลาดใจนัก

หากแต่อวิ๋นเป้ากลับสามารถหนีอสูรกายได้

หลังจากหวังโต้วซานอธิบายให้ซูเฉินฟังเขาก็เข้าใจ อวิ๋นเป้าโชคดีนัก ได้ร่วมกลุ่มกับคนอีกสามคนที่มีฝีมือ อีกทั้งยังมีความแข็งแกร่งในแต่ละด้าน คนหนึ่งเชี่ยวชาญด้านค่ายกล อีกคนเป็นนักปรุงยา ส่วนอีกคนมีวิชาที่สามารถเพิ่มความเร็วให้คนทั้งกลุ่มได้ เมื่อรวมเข้ากับความสามารถในการตรวจจังของอวิ๋นเป้า ดังนั้นจึงใช้การวางกับดักและความเร็วจนสามารถหลบหนีไปได้

แม้อสูรกายจะทรงพลังมาก แต่ก็ไม่ได้มีความรวดเร็วมากถึงเพียงนั้น อีกทั้งยังถูกกับดักต่าง ๆ ชะลอความเร็วไว้ เป้าหมายของมันยังรวดเร็วว่องไวจับไม่อยู่ แผนการเหล่านี้จึงทำให้อสูรกายต้องไล่ตามกลุ่มของอวิ๋นเป้าไปทั้งวัน

เขาเป็นกลุ่มเดียวที่หนีจากมันได้สำเร็จ ดังนั้นแม้จะไม่ได้มีใครต้องเสี่ยงชีวิตเสียสละตน แต่ก็ยังได้รับอนุญาตให้ลงบ่อยาได้

ได้ยินเช่นนี้ซูเฉินก็พูดไม่ออก

คนพวกนั้นน่าประทับใจไม่น้อย สามารถเล่นซ่อนแอบกับอสูรกายได้

หากแต่ซูเฉินเป็นห่วงกู่ชิงลั่วมากกว่า

เขากวาดสายตามองรอบตัว ในที่สุดก็พบกู่ชิงลั่วใกล้เพิงพักที่เพิ่งสร้างขึ้น

กู่ชิงลั่วเองก็จ้องเขากลับมาเช่นกัน

สีหน้านางซับซ้อนยิ่งนัก