บทที่ 130 บทสนทนายามราตรี (1)
แล้วยามราตรีก็มาถึง หมู่ดาวพร่างพราวเริ่มปรากฏให้เห็นทั่วผืนฟ้า
ศิษย์ทั้งหลายที่ทำภารกิจมาจนเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าก็หลับฝันหวานไปอีกครั้ง
หากแต่กู่ชิงลั่วกลับไม่อาจข่มตาหลับได้
นางพลิกตัวไปมาอยู่ในเพิงพักตนเอง ในหัวมีแต่ภาพที่ซูเฉินยอมล่ออสูรเร่ร่อนตาหยกออกไปจากนางโดยไม่ห่วงชีวิตตนเอง
ใจสตรีนั้นบอบบางยิ่งนัก
ในเมื่อรู้ว่าอย่างไรก็นอนไม่หลับ จึงแต่งตัวเสียใหม่แล้วเดินออกจากเพิงพักตนเอง
นางนั่งกอดเข่าอยู่ที่มุมหนึ่งของศิลาส่องกลับ เอาคางเกยเข่าไว้แล้วมองไปยังที่ไกล ภาพซูเฉินยังคงวนเวียนอยู่ในหัว
“นอนไม่หลับหรือ ?” ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
เป็นเสียงซูเฉิน !
กู่ชิงลั่วเกือบหล่นลงจากหินด้วยความตกใจ
หากแต่มีมือข้างหนึ่งคว้าร่างกู่ชิงลั่วไว้ในอ้อมกอดอย่างมั่นคง
กู่ชิงลั่วเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ ใบหน้าของซูเฉินอยู่ใกล้นางนัก แสงจันทร์ส่องสว่างเห็นใบหน้าเขาได้อย่างชัดเจน
ซูเฉินพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนพลางพยุงกู่ชิงลั่วขึ้น “ระวังด้วย”
จากนั้นเขาก็ขึ้นไปนั่งข้างกู่ชิงลั่ว “ข้าก็นอนไม่หลับ คุยกันหน่อยดีหรือไม่ ?”
กู่ชิงลั่วหน้าแดงไปทั้งหน้า จากนั้นหันหน้าหนีเขา แต่ก็ยังเอ่ยตอบขึ้น “วันนี้ต้องขอบคุณเจ้า”
“ไม่เป็นไร อย่างไรก็เป็นเพียงการทดสอบเท่านั้น ถึงจะไม่มีข้า อสูรกายนั่นก็ไม่สังหารเจ้าหรอก” ซูเฉินตอบ
“แต่ตอนนั้นเจ้ายังไม่รู้เรื่อง”
“ถูกต้อง หากข้าตายไปแล้วอย่างไร ? เจ้าจะรู้สึกติดค้างข้าหรือ ?” ซูเฉินเอ่ยถาม
กู่ชิงลั่วเงียบไป
นางไม่รู้จะตอบคำถามเขาอย่างไรดี
จริง ๆ แล้วนางอยากขอบคุณเขามาก แต่นางกลับยิ่งเพิ่มระยะห่างระหว่างคนทั้งสองมากขึ้น ทว่าซูเฉินต้องการใช้โอกาสนี้ในการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกันไม่ว่าจะต้องใช้วิธีใดก็ตาม
ถูกต้อง เขาคือคนที่ไม่ว่าจะต้องทำถึงเพียงไหน หากมันทำให้เขาทำตามจุดมุ่งหมายได้เขาก็จะลงมือ นางลืมจุดนี้ไปได้อย่างไรกัน ?
กู่ชิงลั่วก่นด่าตนเองอยู่ในใจ
เมื่อเห็นว่ากู่ชิงลั่วไม่ตอบ ซูเฉินก็คลี่ยิ้ม “ขอโทษด้วย ข้าคงจะใช้คำหนักไปหน่อย หากสิ่งที่ข้าพูดทำให้เจ้าเสียใจข้าก็ขอโทษด้วย”
“ไม่จำเป็นหรอก” กู่ชิงลั่วรีบส่ายหัว
ซูเฉินว่าต่อ “จริง ๆ แล้วข้าเพียงอยากบอกเจ้าว่าบางครั้งความตายก็ไม่น่ากลัวเสมอไป อย่างน้อยข้าก็รู้สึกเช่นนั้น…… ข้าเคยเผชิญกับอันตรายเช่นนี้มาแล้วหลากหลายครั้ง”
กู่ชิงลั่วมองซูเฉินด้วยความตกใจ
หลังจากนั้นนางจึงนึกถึงคำที่ซูเฉินเคยบอกนาง
ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นางจึงอดถามขึ้นมาไม่ได้ “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าสตรีผู้นั้นหมายจะสังหารเจ้า อีกทั้งยังพูดเรื่องเกี่ยวกับสายเลือดจักรพรรดิอสูรอีก มันเรื่องอะไรกัน ?”
เมื่อได้ยินนางถามออกมาเช่นนั้นเขาก็ดีใจยิ่งนัก
ภายในใจเขาสัมผัสได้ถึงความสุขอย่างแท้จริง
คำถามของกู่ชิงลั่วชี้ให้เห็นว่าในที่สุดนางก็เริ่มใส่ใจเขาอีกครา อีกทั้งยังบ่งบอกว่าความรู้สึกที่นางเก็บซ่อนไว้นานเริ่มแผ่ขึ้นมาอีกครั้ง
แต่ถึงกระนั้นซูเฉินก็ยังรู้สึกดีใจยิ่งนักที่ความรู้สึกเพียงเล็กน้อยของนางเริ่มกลับคืนมา
เขาเริ่มเล่าที่มาของตระกูลจูให้นางฟัง
แม้ทั้งสองจะศึกษาในสถาบันมังกรซ่อนเร้นมานานหลายปี แต่กู่ชิงลั่วกลับไม่เคยรู้ความเป็นไปที่เกิดขึ้นกับซูเฉินเลย
ไม่รู้ว่าซูเฉินกลายเป็นศิษย์ของฉือไคฮวง ไม่รู้ว่าหลายปีมานี้เขาทำการทดลองมาโดยตลอด และไม่รู้ว่าเขาต้องการทำสิ่งใดให้สำเร็จ นางไม่กล้าใส่ใจเขา ไม่กล้าเอ่ยถามเขา ด้วยเกรงว่าความกังวลและคำถามของนางอาจทำให้ตัวนางเองสูญเสียการควบคุม หรือหากแย่ไปกว่านั้น อาจนำผลลัพธ์ร้ายแรงมาได้
ดังนั้นหลังจากกู่ชิงลั่วได้ฟังเรื่องราวของเขาแล้ว นางก็ตกตะลึงไป
นางไม่เคยคิดว่าซูเฉินคือ ‘อวิ๋นฝูปา’ ที่เคยสั่นสะเทือนเผ่ามนุษย์มาก่อน ไม่เคยคิดว่าซูเฉินต้องถูกกดดันจากหลายฝ่ายมากเพียงไหนเพื่อจะเผยแพร่ตำราเปิดพลังไคฮวง อีกทั้งยังไม่คิดว่าซูเฉินจะสามารถพลิกสถานการณ์ในจังหวะที่ตนเองเสียเปรียบอย่างยิ่งยวดได้ จัดการทั้งตระกูลใหญ่ทั้งหกและตระกูลจูไปพร้อม ๆ กัน…… นางไม่เคยคิดว่าช่วงเวลาหลายปีที่เขากับนางแยกจากกันได้เกิดเรื่องอัศจรรย์ใจหลากหลายอย่างมากขึ้นถึงเพียงนี้
นางจ้องเขานิ่ง ส่วนเขาก็ยังคงเอ่ยปากเล่าเรื่องราวต่อไป
ราวกับจิตวิญญาณของนางหวนหลับคืนไปยังเมืองหลินเป่ย คล้ายกับนางกลับไปยืนเคียงข้างเขาที่ตาบอดหากแต่ไร้ข้อจำกัดใด เขาที่ไม่สนเรื่องเบาะแว้งในตระกูลและการเมืองของฝ่ายใด รู้สึกดั่งตนได้กลับไปยืนเคียงข้างซูเฉิน เผชิญหน้ากับอันตรายและอุปสรรคทั้งหลายด้วยกัน
วันเวลาที่นางกับเขาต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่คือวันเวลาที่นางรู้สึกมีความสุขที่สุด
พอตอนนี้ได้ฟังเรื่องราวของเขาแล้วก็ให้รู้สึกว่าได้กลับไปยืนคู่กับเขาอีกครา
ดังนั้น……
ใจนางราวกับถูกทำให้ลุ่มหลงมึนเมา ส่วนจิตใจก็หวั่นไหวคล้อยตาม
“จากนั้นข้าก็ล้างความทรงจำนาง ถือว่าเป็นอันจบเรื่อง ตำราเปิดพลังไคฮวงขายดีมาก ดังนั้นจึงได้หินพลังต้นกำเนิดมามากมาย ข้าไม่จำเป็นต้องออกล่าเพื่อหาเงินอีก เพราะเหตุนี้ช่วงหลายปีมานี้ข้าจึงไม่ได้เดินทางออกจากสถาบันมังกรซ่อนเร้น เก็บตัวเงียบ ๆ เช่นนั้นทำให้เลี่ยงปัญหาได้มาก” ซูเฉินสรุปให้ฟัง
จากนั้นเขาก็หัวเราะ “แต่ดูท่าข้าจะอยู่นิ่งนานไปไม่ได้ ดังนั้นข้าจึงออกมาอีกครั้ง…… โชคดีที่ข้าตัดสินใจเช่นนั้นลงไป วันนี้เราเลยได้มีโอกาสพูดคุยกัน”
เขาจ้องตากู่ชิงลั่ว
กู่ชิงลั่วไม่กล้าสบตาเขา นางกล่าวขณะที่ยังก้มหน้าอยู่ “เหตุใดจึงต้องทำเช่นนั้น ? เจ้าก็รู้ว่าเราอยู่ด้วยกันไม่ได้”
ซูเฉินเอ่ยเสียงจริงจัง “เจ้าคิดว่าสิ่งที่ข้าเล่าไปเพียงเพราะอยากโอ้อวดให้เจ้าฟังหรือ ? เปล่าเลย ข้าเพียงอยากบอกเจ้าว่าหนทางที่ข้าเลือกเดินจะทำให้ข้ากลายเป็นศัตรูกับทุกฝ่าย อาจารย์ข้าบอกว่า หากวันใดข้าสามารถทำลายข้อจำกัดทางสายเลือดได้จริง ตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้งหลายในใต้หล้าจะกลายเป็นศัตรูของข้า ทั้งหมดในใต้หล้านี้ !!!”
“เจ้ารู้ไหมมันหมายถึงสิ่งใด ? หากข้ากล้าล่วงเกินตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้งหลาย ข้าจะกลัวตระกูลกู่เพียงตระกูลเดียวไปเพื่ออะไร ? ข้าสร้างศัตรูมาก็มาก เพิ่มอีกสักหนึ่งขึ้นมาจะเป็นไรไป ? ข้าอาจจะตาย แต่หากต้องตายเพราะการค้นหาความจริงข้าก็ไม่เสียใจ ก็เหมือนกับเรื่องนี้เช่นกัน หากข้าต้องตายเพราะคนที่ข้ารัก ข้าก็ไม่มีวันเสียใจ !”
กู่ชิงลั่วก้มหน้าลงแล้วเอ่ยเสียงเบา “มันไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกันเลย”
“เหตุใดจึงไม่เหมือนกัน ? เป็นเพราะเจ้าแซ่กู่งั้นหรือ ? เพราะเจ้าคือสายเลือดราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์ที่หลงเหลืออยู่งั้นหรือ ?”
กู่ชิงลั่วชะงักไป “เจ้ารู้หรือ ?”
ซูเฉินมองกู่ชิงลั่วนิ่ง “ใช่ ข้ารู้ ตระกูลกู่เมืองหลงซีแท้จริงแล้วสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์ ข้าควรจะรู้เรื่องนี้มาตั้งนานแล้ว จริง ๆ ข้าก็ควรจะรู้ตัวตั้งแต่ที่เจ้าใช้เลือดหยดนั้นแตะที่หน้าผากข้าตอนสอนก้าวย่างหมอกอสรพิษให้ข้าแล้ว”
กู่ชิงลั่วเอ่ยขึ้นสีหน้าตกตะลึง “เจ้าว่าอย่างไรนะ ? เหตุใดเจ้าจึงควรรู้เรื่องนี้ตอนข้าสอนก้าวย่างหมอกอสรพิษให้เจ้า ? ไม่ใช่ว่าเจ้าควรจะรู้หลังจากรู้ความลับของราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์จากในสถาบันมังกรซ่อนเร้นแล้วคาดเดาเอาว่าข้ามาจากราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์ตระกูลกู่ ?”
ซูเฉินท่าทางประหลาดใจ “ความลับอะไร ? ที่ข้ารู้เพราะรู้จากสายเลือดของเจ้า วันนั้นที่เจ้ามอบเลือดหยดหนึ่งให้ข้า ข้าก็เห็นว่าต้นสายจากสายเลือดของเจ้าไม่ได้มาจากอสรพิษทะยาน แต่มาจากมังกร”
“มังกร ?” กู่ชิงลั่วชะงักไป
ซูเฉินเห็นนางชะงักไปเขาก็เริ่มสับสน
คนทั้งสองมองหน้ากัน จากนั้นจึงเข้าใจเรื่องบางอย่างแล้วร้องถามขึ้นมาพร้อมกัน “เช่นนั้นเจ้าก็ไม่รู้น่ะสิ !”