ภาคที่ 2 บทที่ 131 บทสนทนายามราตรี (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 131 บทสนทนายามราตรี (2)

ซูเฉินและกู่ชิงลั่วมองกันครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นพร้อมกัน “เจ้าก่อนเลย !”

พูดออกมาพร้อมกันเช่นนั้นทำให้คนทั้งคู่อดหัวเราะออกมาไม่ได้

ซูเฉินยกมือยอมแพ้ “เอาล่ะ ๆ ข้าพูดก่อนก็ได้”

แล้วเขาก็เริ่มอธิบายสิ่งที่เห็นในวันนั้นให้นางฟัง

กู่ชิงลั่วได้ยินแล้วก็ตกใจ “เจ้า…… เห็นเป็นมังกรจริง ๆ หรือ ?”

“ถูกต้อง ตอนนั้นข้าคิดว่าข้าเห็นภาพหลอน ดังนั้นจึงไม่ใส่ใจมันมากมายนัก หลังจากได้เข้ามายังสถาบันมังกรซ่อนเร้น ข้าจึงได้รู้ว่ามีตระกูลที่สืบสายเลือดมาจากมังกรอยู่จริง ๆ นั่นก็คือตระกูลกู่ ราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์ตระกูลกู่ เป็นเพียงตระกูลเดียวที่สืบสายเลือดมาจากเทพอสูรบรรพกาล” ซูเฉินตอบพลางส่งยิ้มบางให้กู่ชิงลั่ว

เทพอสูรบรรพกาล !

ฝันร้ายของเหล่าเผ่าพันธุ์อัจฉริยะทั่วทั้งผืนทวีป !

อาณาจักรอาร์คาน่าที่ครั้งหนึ่งเคยเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด คุมทวีปอยู่ 2 ใน 3 ส่วน

ในตอนที่พวกเขาคิดว่าตนเองอยู่เหนือคนทั้งใต้หล้า เทพอสูรบรรพกาลเพียงตนเดียวกลับทำลายสิ้นทุกสิ่งอย่าง พวกเขาไม่อาจหยั่งพละกำลังอันน่าเกรงขามของเทพอสูรบรรพกาลได้

เทพอสูรบรรพกาลนั้นคือมังกร

มังกรสุริยะ !

ตามตำนานแล้ว มังกรสุริยะมีความยาวนับพันลี้ สูงดั่งผาชัน นัยน์ตาเป็นดั่งสุริยันจันทรา เสียงคำรามดั่งอัสนีบาต ทุกย่างก้าวสะท้านสะเทือนพิภพ ลมหายใจเปลี่ยนเมฆลมได้ มันตวัดหางคราหนึ่งสะบัดขึ้นไปสูงถึงพันลี้ ไม่แปลกที่กองทัพอาร์คาน่าจะถูกทำลายลงในพริบตาเช่นนั้น

มังกรตนนี้อยู่เหนือเกินกว่ามนุษย์จะสามารถรับมือได้ แท้จริงแล้วไม่อาจจินตนาการหรืออธิบายกำลังของมังกรตนนี้ได้เลย

เป็นเพราะมังกรน่าเกรงขามตนนี้ที่ทำให้อาณาจักรอาร์คาน่าที่กล้าแข็งเมื่อครานั้นล่มสลายลงในคืนเดียว

หากแต่มังกรสุริยะไม่อาจปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่มีพลังต้นกำเนิดอยู่น้อยได้ ดังนั้นมันจึงอ่อนแอลงเรื่อย ๆ จนสิ้นชีพลงในที่สุด

วันที่มันสิ้นชีพ ตะวันจันทราหมองหม่น ผืนดินแห้งแล้ง ดวงดาวส่องประกายริบหรี่ ทั่วทั้งทวีปมีแต่เสียงฟ้าผ่าฟ้าร้องลั่น

ไม่นานหลังจากนั้น ซากร่างของมันก็กลายเป็นแนวเขายาวพันลี้ โลหิตของมันกลายเป็นแม่น้ำหลายสาย กระดูกของมันกลายเป็นแร่ และท้ายที่สุดร่างกายของมันก็กลับคืนสู่ธรรมชาติ

มันทรงพลังมากจนกระทั่งมันสิ้นชีพไปแล้วก็ยังไม่มีใครสามารถเข้าใกล้มันได้

หากแต่กระนั้นก็มีคนผู้หนึ่งที่สามารถเข้าใกล้ร่างของมันได้ และนำเอาเลือดบางส่วนของมังกรสุริยะกลับมาก่อนที่ร่างและกระดูกจะแปรเปลี่ยนไป

คนผู้นั้นคือผู้ก่อตั้งราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์ กู่โยวหวง ผู้ซึ่งเป็นอดีตผู้นำทัพทาสเผ่ามนุษย์แห่งอาณาจักรอาร์คาน่าด้วย

หลังจากได้รับสายเลือดมังกรสุริยะมาแล้ว กู่โยวหวงก็นำทัพทาสเผ่ามนุษย์กลับไปยังเมืองแห่งนิรันดร์ จากนั้นใช้เครื่องมือสกัดสายเลือดเพื่อสกัดสายเลือดนั้นเข้าสู่ร่าง ค่ำคืนเดียวกำลังเขาเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า อีกทั้งอายุขัยยังยาวนานถึง 3 พันปี

ไม่นานหลังจากนั้น ยามที่อาณาจักรอาร์คาน่าค่อย ๆ ถูกปล้นชิงสมบัติ ผู้กล้าทั้งหลายค่อย ๆ ตายจากไป กำลังของเขาก็พุ่งขึ้นสูงถึงจุดที่เขาไม่เคยคาดฝันมาก่อน

หลายเผ่าพันธุ์นับไม่ถ้วนที่ต้องกล้ำกลืนฝืนทนอยู่ภายใต้การกดขี่ของเผ่าอาร์คาน่ามานานหลายปีก็ร่วมมือกันเอาชนะเผ่าอาร์คาน่า

กู่โยวหวงก่อกบฏ สั่งการทัพทาสเผ่ามนุษย์และชิงเอาเครื่องมือสกัดสายเลือดมา และก่อร่างสร้างราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์ ปกครองเผ่ามนุษย์ยาวนานถึง 2 หมื่นปี

ดังนั้นสายเลือดมังกรสุริยะจึงกลายเป็นสายเลือดเทพอสูรบรรพกาลที่เผ่ามนุษย์ได้ครอบครอง !

เมื่อซูเฉินรับรู้ถึงประวัติศาสตร์เรื่องนี้ ก็นึกย้อนกลับไปยังภาพที่เห็นในวันนั้น เขาจึงรู้ทันทีว่าสายเลือดของกู่ชิงลั่วไม่ใช่เพียงสายเลือดอสรพิษทะยานธรรมดาสามัญ แต่ลึกลงไปในสายเลือดยังมีอีกสายเลือดหนึ่งที่ทรงพลังยิ่งกว่ากำลังหลับใหลอยู่

บนทวีปต้นกำเนิดเคยมีมังกรปรากฏขึ้นแค่ตนเดียวเท่านั้น อย่างน้อย ๆ ในหน้าประวัติศาสตร์ก็บันทึกไว้เช่นนั้น หลังจากลองอ่านบันทึกอีกหลายเล่ม และค้นหาภาพวาดมังกรตนนั้นเพื่อทำให้มั่นใจว่าภาพที่เขาเห็นคือมังกรสุริยะ ซูเฉินก็มั่นใจว่ากู่ชิงลั่วคือหนึ่งในลูกหลานผู้สืบทอดราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์ตระกูลกู่

หากแต่เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดราชวงศ์เทพสวรรค์ตระกูลกู่จึงไม่ถูกทำลายลง และเหตุใดมังกรสุริยะตระกูลกู่จึงกลายเป็นสายเลือดอสรพิษทะยานไปได้

เมื่อฟังซูเฉินอธิบายสิ่งที่เขาเห็นจนหมด กู่ชิงลั่วเองก็ตกตะลึงไปอย่างเห็นได้ชัด

“มังกรสุริยะ…… เจ้าเห็นมังกรสุริยะในสายเลือดข้าจริงหรือ……” นางเหม่อมองซูเฉิน

ซูเฉินเห็นว่าสีหน้านางไม่ปกตินัก เขาขมวดคิ้วถามในพลัน “อะไร ? มีเรื่องอะไรหรือ ?”

กู่ชิงลั่วสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์ก่อนกล่าวเสียงเครียด “อย่าบอกเรื่องนี้กับใคร”

“ฟังจากน้ำเสียงเจ้า เรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไร”

สีหน้าลังเลซับซ้อนปรากฏขึ้นบนใบหน้ากู่ชิงลั่ว “บอกเจ้าตามตรง ข้าไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องดีหรือแย่ มันอาจเป็นเรื่องดีกับตระกูลกู่ แต่อาจเป็นเรื่องไม่ดีกับคนบางคน”

ซูเฉินคล้ายกับจะเข้าใจสิ่งที่นางกำลังจะพูด “เจ้ากลัวว่าคนอื่น ๆ จะรู้ตัวตนที่แท้จริงงั้นหรือ ?”

กู่ชิงลั่วส่ายหัว “เปล่า เรื่องที่ตระกูลกู่แห่งหลงซีเป็นผู้สืบสายเลือดราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์ไม่ใช่ความลับแต่อย่างไร กลับกัน เหล่าตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้งหลายต่างรู้เรื่องนี้กันทั้งสิ้น”

หือ ?

ซูเฉินได้ยินแล้วพลันประหลาดใจ

เขาคิดว่าบางทีอาจจะมีคนตระกูลกู่หลบหนีออกมาได้หลังจากราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์ถูกโค่นล้มลง ทำให้เกิดเป็นตระกูลกู่แห่งหลงซีในปัจจุบัน แต่ฟังจากที่กู่ชิงลั่วว่ามาแล้ว ดูท่าจะไม่ใช่เช่นนั้น

กู่ชิงลั่วเอ่ยด้วยน้ำเสียงโศกเศร้าไร้หนทาง “จริง ๆ แล้ว แม้ราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์จะถูกกวาดล้างไป แต่ลูกหลานตระกูลกู่นั้นต่างอยู่รอดปลอดภัย”

“เพราะเหตุใด ?”

“เพราะพวกเขาต้องการสายเลือดตระกูลกู่ ต้องการสายเลือดเทพอสูรบรรพกาล !” กู่ชิงลั่วตอบ “เผ่ามนุษย์ยังไม่ได้รอดพ้นอันตรายมาได้โดยสมบูรณ์ ไม่ว่าจะในอดีตหรือในปัจจุบัน เพื่อรับมือเผ่าสัตว์อสูร เผ่าคนเถื่อน และเผ่าอื่น ๆ ที่ไม่ใช่มนุษย์แล้ว มนุษย์ทั้งหลายจึงถูกบีบให้ต้องรวมกลุ่มกัน ใช้กำลังปกป้องสมบัติล้ำค่าไว้ ราชวงศ์เทพสวรรค์ตระกูลกู่อาจถูกกวาดล้างไปจนสิ้นได้ แต่สายเลือดมังกรสุริยะไม่อาจหายไปได้ ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไรเผ่ามนุษย์จะตกอยู่ในอันตรายอีก เพื่อทำให้มั่นใจว่ากำลังแข็งแกร่งสูงสุดของเผ่าจะไม่หายไป พวกเขาจึงต้องรักษาตระกูลกู่ไว้”

ภายในทวีปนี้มีเพียงตระกูลกู่เพียงตระกูลเดียวที่ถือครองสายเลือดเทพอสูรบรรพกาล

สายเลือดนั้นทรงพลังขนาดไหนน่ะหรือ ? เพียงประเมินความแกร่งของสายเลือดจักรพรรดิอสูรก็เห็นได้ชัดเจนแล้ว

หากไม่นับเหตุการณ์พิเศษอื่นใด สายเลือดจักรพรรดิอสูรจะสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งได้สูงกว่าสายเลือดอสูรกายระดับสูงหนึ่งระดับ

ส่วนสายเลือดเทพอสูรบรรพกาลนั้นสามารถเพิ่มความแกร่งได้มากถึงสองระดับ

เมื่อครั้งที่ฉือไคฮวงรับมือแรดทลายค่ายด้วยท่าดัชนีที่แกร่งเกินกว่าผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณส่วนมากสามารถทำได้ตอนนั้น เขาเคยกล่าวไว้ว่ายังมีผู้เชี่ยวชาญด่านก่อเกิดลมปราณที่สามารถทำเช่นเดียวกับเขาได้อยู่

ความแตกต่างที่มากมายระหว่างขั้นพลังทั้งสองนั้นหมายถึงเทพอสูรบรรพกาลตระกูลกู่นั่นเอง !

หากไร้ซึ่งสายเลือดเทพอสูรบรรพกาลแล้ว เผ่ามนุษย์ก็สามารถทะลวงเข้าสู่ด่านสู่พิสดารได้เป็นด่านที่สูงที่สุดเท่านั้น

เป็นเพราะการมีอยู่ของสายเลือดเทพอสูรบรรพกาล เผ่ามนุษย์จึงสามารถค้นพบสิ่งใหม่และสามารถพัฒนาขึ้นไปทีละขั้นได้ จนสุดท้ายผลก็ออกมาเป็น 7 ขั้นพลังที่ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดสามารถทะลวงผ่านไปได้ !

นั่นจึงเป็นเหตุที่สายเลือดเทพอสูรบรรพกาลมีความสำคัญยิ่งนัก

ไม่เพียงแต่จะเป็นจุดแข็งของเผ่ามนุษย์ แต่ยังเป็นหนทางให้เผ่ามนุษย์มุ่งหน้าต่อไปอีกด้วย

ดังนั้นตระกูลกู่อาจถูกกำจัดหายไปได้ แต่สายเลือดเทพอสูรบรรพกาลไม่อาจหายไปได้ !

“เป็นเช่นนี้นี่เอง” ซูเฉินเริ่มเข้าใจเรื่องราว “แต่พวกเขายังไม่ไว้ใจเจ้าใช่หรือไม่ ?”

“แน่นอน”

สายเลือดเทพอสูรบรรพกาลไม่อาจสูญหาย หากแต่ราชวงศ์เทพสวรรค์ตระกูลกู่ก็ไม่อาจรุ่งเรืองขึ้นได้เช่นกัน !

ในฐานะตระกูลที่ถือครองพลังสูงสุด พวกเขาจำต้องถูกควบคุมจับตามองอย่างแน่นหนา

ดังนั้นตระกูลกู่จึงถูกแยกออกเป็น 2 กลุ่ม

กลุ่มหนึ่งคือกลุ่มที่สามารถเก็บสายเลือดเทพอสูรบรรพกาลไว้ได้ แต่จำนวนคนในกลุ่มนั้นจะถูกจำกัดไว้ จำนวนลูกหลานถูกควบคุมอย่างละเอียด คนในตระกูลทุกคนไม่อาจออกไปไหนมาไหนตามใจชอบได้ อีกทั้งยังถูกจับตามองอยู่ตลอด แม้จะมีกำลังสูงส่งยิ่งนัก แต่ก็ต้องถูกกักขังไม่อาจมีอิสรเสรี

อีกกลุ่มหนึ่งนำสายเลือดตนผสมเข้ากับสายเลือดอื่น ทำให้สายเลือดดั้งเดิมแปดเปื้อน

การผสานสายเลือดเช่นนี้ทำได้ด้วยการให้คนสองคนที่มีสายเลือดแตกต่างกันมาอยู่ร่วมกัน

ผลลัพธ์ของการรวมสายเลือดนั้นบ่งบอกได้ยากนัก บ้างสายเลือดก็แข็งแกร่งขึ้น แต่สายเลือดผสมมักไม่ค่อยส่งต่อผ่านไปยังลูกหลาน บ้างสายเลือดก็จะตีกันเอง ทำให้สายเลือดนั้นอ่อนแอลง หรือบางครั้งสายเลือดหนึ่งจะอยู่เหนืออีกสายเลือดหนึ่ง กลบฝังอีกสายเลือดเอาไว้ภายใน สายเลือดที่ถูกปลุกตื่นขึ้นจะอยู่เหนือกว่า ส่วนอีกสายเลือดหนึ่งจะถูกผนึกไว้

สำหรับคนส่วนมาก แม้การรวมสายเลือดอาจสร้างสายเลือดที่แกร่งขึ้นกว่าเดิมได้ แต่ก็ไม่นับว่ามีค่ามากนัก เป็นเพราะสายเลือดผสมเช่นนี้ไม่อาจสืบทอดได้

ดังนั้นส่วนมากจึงเลือกกดสายเลือดหนึ่งเอาไว้แทนโดยใช้ยาบางชนิด ทำให้สายเลือดที่ถูกกดไว้ยังสามารถสืบทอดต่อไปได้

เหล่าคนตระกูลกู่ที่เลือกกดสายเลือดไว้จำต้องพึ่งพายา เช่นยากดสายเลือด

ตามกฎของ 7 อาณาจักร ลูกหลานตระกูลกู่จำต้องใช้ยากดสายเลือด พวกเขาจะสามารถมีลูกได้ก็ต่อเมื่อกดสายเลือดมังกรสุริยะไว้ในร่างได้แล้วเท่านั้น

วิธีนี้จะทำให้สามารถควบคุมสายเลือดมังกรสุริยะได้โดยไม่ต้องทำลายมันจนสูญหายไป

หากวันหนึ่งเผ่ามนุษย์ตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน สายเลือดมังกรสุริยะในร่างคนตระกูลกู่ก็อาจจะถูกปลุกขึ้นมาอีกครา แต่จนกว่าจะถึงวันนั้น ทำให้สายเลือดนี้หลับใหลไว้จะเป็นการดีที่สุด

แท้จริงแล้วราชวงศ์เทพสวรรค์ตระกูลกู่ยังมีลูกหลานที่กระจัดกระจายอยู่ทั่ว 7 อาณาจักร แต่ส่วนมากจะมีสายเลือดอสรพิษทะยาน หรือไม่ก็สายเลือดมังกรวารีหลาก และสายเลือดมังกรสุริยะถูกกดไว้อย่างแน่นหนา และเพราะเหตุนี้ คนเหล่านั้นจึงมีอิสระมากกว่าตระกูลกู่สายตรง แต่การแต่งงานของพวกเขาก็ยังถูกควบคุมอย่างใกล้ชิด ไม่มีสิทธิ์เลือกคู่รักเองได้

พวกเขาไม่อาจแต่งงานกับคนที่มีสายเลือดแข็งแกร่งเกินไปได้ เพราะจะทำให้สายเลือดมังกรสุริยะถูกกดไว้ลึกมากเกินไปจนอาจปลุกให้ตื่นได้ยากเกินควร

อีกทั้งยังไม่อาจแต่งงานกับคนที่มีสายเลือดอ่อนแอหรือคนไร้สายเลือด เพราะจะทำให้การกดสายเลือดอ่อนแอลงจนอาจทำให้สายเลือดมังกรสุริยะตื่นขึ้นมาได้ง่ายกว่าเดิม

เผ่ามนุษย์ปฏิบัติกับตระกูลกู่เยี่ยงอาวุธทรงพลังที่ไม่อาจปล่อยให้หลุดรอดจากสายตาไปได้ จำต้องรักษาพลังของมันเอาไว้ แต่ก็ต้องมั่นใจว่ามันจะไม่แว้งกัด ดังนั้นจึงจับตามองอย่างใกล้ชิด ไม่ให้มันได้ขยับเขยื้อนกายจนหลุดกรอบ

หากซูเฉินสามารถเห็นมังกรสุริยะในเลือดของกู่ชิงลั่วได้ เช่นนั้นไม่ได้หมายความว่านางมีความสามารถระดับอัจฉริยะ แต่หมายความว่าสายเลือดมังกรสุริยะในร่างของนางแข็งแกร่งกว่าคนอื่น ๆ

หรือก็คือสายเลือดมังกรของนางนั้นมีโอกาสสูงที่จะถูกขึ้นมา

ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีนัก

หากสายเลือดนางตื่นขึ้นตอนนี้ ในตอนที่เผ่ามนุษย์ไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายใด ชะตากรรมนางมีอยู่สองทางเท่านั้น

“ไม่ถูกสังหาร ก็จะถูกส่งไปยังภูผาสูญ” กู่ชิงลั่วกล่าว

“ภูผาสูญ ?” ซูเฉินตกตะลึง

“ถูกต้อง ภูผาสูญ ! มันอยู่ใจกลาง 7 อาณาจักร อีกทั้งยังเป็นอาณาจักรเดียวที่ไร้ความเป็นปฏิปักษ์ต่ออาณาจักรใด พวกเขาเพียงรับมือกับ……”

กู่ชิงลั่วหยุดไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวขึ้น “ตระกูลกู่ !”