ภาคที่ 2 บทที่ 132 กลุ่ม

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 132 กลุ่ม

ซูเฉินและกู่ชิงลั่วคุยกันต่ออีกสักพักหนึ่ง สุดท้ายก็กลับไปนอนยังที่พักตนเองอย่างไม่เต็มใจเท่าไรนัก

แม้กู่ชิงลั่วไม่ได้บอกแน่ชัดว่านางอยากให้เรื่องเป็นเหมือนเดิม แต่ซูเฉินก็สัมผัสความเปลี่ยนไปของนางได้

เรื่องนี้ทำให้ซูเฉินตื่นเต้นมาก คืนนั้นเขานอนเดี๋ยวหลับเดี๋ยวตื่น ส่งดีอย่างไม่คาดคิด คืนนั้นอวี๋เฉิงเจียวบุกเข้ามาอีกครั้ง และครั้งนี้ซูเฉินจับตัวเขาได้คาหนังคาเขา

เมื่อตะวันโผล่ขึ้นทอแสง พวกเขาก็ทำการฝึกต่อ หากแต่ทำการตัดศิษย์ออกทั้งหมด 6 คน ทำให้เหลือศิษย์เพียง 94 จาก 100 คน

อวี๋เฉิงเจียวยืนอยู่ด้านหน้าทุกคน ตะโกนเสียงแหบ ๆ อันเป็นเอกลักษณ์ออกมาเสียงดัง “วันนี้ทุกคนจับกลุ่มกันเอง มากสุดที่ 7 คน”

ทุกคนดูตื่นเต้นมาก

ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้ถูกจัดกลุ่มแบบสุ่ม หมายความว่าพวกเขาสามารถจับกลุ่มกับเพื่อน ๆ ได้

จุดมุ่งหมายที่ทำการจับกลุ่มแบบสุ่มนั้นเป็นเพราะต้องการเสริมสร้างความสามารถในการปรับตัวของเหล่าศิษย์ให้สามารถรวมกลุ่มแม้กับคนแปลกหน้าได้ และการที่ปล่อยให้พวกเขาได้เลือกกลุ่มเองในครั้งนี้เพื่อจะได้เลือกอยู่กับคนที่คุ้นเคยกว่ายังผลให้แต่ละคนเข้าใจกันและกันมากขึ้นกว่าเดิมโดยไม่ต้องเอ่ยความ

หลังจากนั้นไม่นาน ซูเฉิน อวิ๋นเป้า หวังโต้วซาน และเยว่หลงซาก็จับกลุ่มรวมตัวกัน

สหายสนิททั้งสี่ วันนี้ได้ทำภารกิจร่วมกันเสียที ดังนั้นพวกเขาจึงมีความสุขมาก

แต่ก็ยังขาดสมาชิกไปอีก 3 คน

เป็นตอนนั้นเองที่ จีหานเยี่ยน เดินเข้ามาถาม “ต้องการข้าเข้ากลุ่มหรือไม่ ?”

“เจ้าหรือ ?” ซูเฉินชะงักไปเล็กน้อย

“อะไรกัน ? ไม่ต้องการงั้นหรือ ?” จีหานเยี่ยนถามขึ้น

“เอ่อ ไม่ใช่เช่นนั้น ข้านึกว่าเจ้าจะไปรวมกลุ่มกับพวกเขา” ซูเฉินชี้นิ้วไปทางเหอนิ่วหลิว

จีหานเยี่ยนตอบ “ข้าไม่อยากอยู่ในกลุ่มที่มีคนที่ข้าไม่อาจเอาชนะได้อยู่”

“……” จีหานเยี่ยนยังคงมีนิสัยดังเดิม

ตอนนั้นเอง เจียงซีสุ่ยก็เดินเข้ามาถามอีกคน “เช่นนั้นนับข้าเข้าไปด้วย”

จีหานเยี่ยนไปที่ใด เจียงซีสุ่ยย่อมไปด้วย เรื่องเช่นนี้กลายเป็นเรื่องที่ไม่ว่าใครก็รู้ไปแล้ว

แม้จีหานเยี่ยนจะขมวดคิ้วแน่น แต่ซูเฉินก็รับเขาเข้ากลุ่มด้วยความเต็มใจ

เพราะอย่างไรเจียงซีสุ่ยก็ทรงพลังมาก

“เหลืออีก 1 คน” หวังโต้วซานเอ่ยขึ้น

ซูเฉินเหลือบมองกู่ชิงลั่ว

เขาจึงเดินไปหากู่ชิงลั่วแล้วเอายขึ้น “ข้าหวังว่าเจ้าจะรวมกลุ่มกับพวกเราด้วย”

กู่ชิงลั่วหันมองซูเฉิน จากนั้นมองคนด้านหลังเขา แล้วเอ่ยเสียงเบาออกมา “แค่รวมกลุ่มเท่านั้นนะ”

ซูเฉินตอบเสียงจริงใจ “แค่รวมกลุ่มเท่านั้น”

เขาไม่คิดบังคับนาง กู่ชิงลั่วรู้สึกว่าความกดดันในใจพลันจางลงราวกับไม่เคยมีอยู่อีกต่อไป

นางมองซูเฉินและส่งรอยยิ้มที่เขาไม่ได้เห็นมานานให้

“ก็ได้ !” นางตอบเสียงใส

นับแต่นั้นมา ซูเฉินและกู่ชิงลั่วก็กลับมาพูดคุยกันดังเดิม

ไร้คำพูดคำหวานใดให้ตรึงใจ ทั้งสองคนในตอนนี้ไม่ใช่ทั้งเพื่อนและคนรัก

พวกเขาสนิทสนมกันมากกว่าสหายธรรมดาเท่านั้น แต่ก็ยังขาดความรักเช่นคู่รักอยู่

เป็นเช่นนี้ราวกับว่าคนทั้งคู่กลับไปอยู่ที่เมืองหลินเป่ย

ทำให้ท่าทางของคนทั้งคู่เป็นธรรมชาติยิ่งนัก

หากแต่ในใจลึก ๆ นั้นยังมีร่องรอยความคาดหวังว่าจะบังเกิดความสัมพันธ์ที่มากกว่านี้ระหว่างกันในหัวใจอยู่

——————————————

ไม่ว่าทั้งสองจะมีความรู้สึกเช่นไรให้อีกฝ่าย แต่การฝึกก็ยังต้องดำเนินต่อไป

ทุก ๆ วันอาจารย์ฝึกจะคอยฝึกฝนและขัดเกลาเหล่าศิษย์ จัดแจงให้ได้ต่อสู้กับคู่ต่อสู้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ด้วยกันเอง ทหาร สัตว์อสูร หรือกระทั่งเผ่าคนเถื่อนที่ถูกจับมา

อาจารย์ฝึกจะคอยให้คำชี้แนะเกี่ยวกับวิถีการต่อสู้ของแต่ละคนและวิธีการต่อสู้ร่วมกันคนอื่น ๆ ให้ฟัง และยังมอบภารกิจให้พวกเขาอยู่ตลอดไม่ขาด

บางครั้งก็บุกที่พักกันเองเพื่อฝึกฝนการต่อสู้ขนาดใหญ่ บางครั้งก็จะได้รับภารกิจลาดตระเวนเพื่อทดสอบและพัฒนาการรับรู้ บ้างก็ให้รับมือกับค่ายกลพลังต้นกำเนิด เพราะนอกจากเผ่าคนเถื่อนแล้ว ยังมีโอกาสสูงที่จะมีกับดักเช่นนี้อยู่ในซากโบราณด้วย สุดท้ายยังอนุญาตให้พวกศิษย์จับกลุ่มกันเองแล้วประลองฝีมือกับอาจารย์ฝึก อาจารย์ฝึกนั้นเปรียบเสมือนหัวหน้าตัวร้ายอันทรงพลัง เปลี่ยนกลยุทธ์ไปเรื่อย ๆ เพื่อให้เหล่าศิษย์ได้ลิ้มรสความสิ้นหวังอยู่ทุกครา

ยามฟ้ามืด ทุกคนยังต้องร่ำเรียนวิชาที่ตนเองเลือกลงเรียนไว้อีก

วันเวลาหมุนผ่าน ใช้ชีวิตไปกับการฝึกฝนและศึกษาวิชา ก้าวข้ามผ่านวันคืนไปอย่างมีสุข

ใช่แล้ว อย่างมีสุข

อย่างน้อย ๆ ซูเฉินก็รู้สึกเช่นนั้น

เขาไม่ใส่ใจว่าการฝึกจะหนักหนาสาหัสเพียงไหน หรือจะมีอันตรายใดรออยู่ในภายภาคหน้า เขารู้เพียงว่าหญิงสาวที่เขาใส่ใจตอนนี้อยู่ข้างกายเขา นับเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาแล้ว

ซูเฉินจึงตั้งหน้าตั้งตารอภารกิจที่จะให้จับกลุ่มกันเองเป็นอย่างมาก

ทุก ๆ ครั้งเขาจะเลือกจับกลุ่มกับกู่ชิงลั่ว

ยามต่อสู้ เขาก็จะตั้งใจปกป้องนาง ยามรับรางวัล หากเป็นการที่นางได้ประโยชน์เขาก็ยอมได้ของน้อยกว่า

เมื่อเวลาผ่านไป ทุก ๆ คนก็เริ่มเข้าใจว่าเกิดเรื่องราวอันใดขึ้นกันแน่

แต่แน่นอนว่าหากซูเฉินไม่ได้เอ่ยคำใด ทุกคนก็จะทำทีเป็นว่าตนไม่รับรู้เรื่องราวอันใดทั้งสิ้น

เวลาผ่านพ้นไปเร็วนัก เพียงพริบตาเดียว การฝึกฝน 3 เดือนก็ใกล้จะจบลงแล้ว

ในวันสุดท้ายของการฝึก เหล่าศิษย์ต้องจับกลุ่ม 7 คนขึ้นกับใครก็ได้ ภารกิจคือให้ออกตามล่าสมบัติกันเองอย่างอิสระ

คำว่า ‘ล่าสมบัติกันเองอย่างอิสระ’ นั้นแปลความไปได้มากมาย

ในวันนั้น ซูเฉินและกู่ชิงลั่วไม่ได้ทำสิ่งใด ทั้งสองคนใช้ข้ออ้าง ‘ออกตามหาสมบัติ’ ไปใช้เวลาเล่นสนุกสนานกันอยู่ในป่า

ส่วนคนอื่น ๆ ในกลุ่มอีก 5 คนนั้น…… ใครจะสนเล่า

เมื่อใกล้พลบค่ำ กู่ชิงลั่วพลันเอยขึ้น “ไปนั่งริมทะเลสาบเถอะ”

ซูเฉินและกู่ชิงลั่วเดินทางมายังทะเลสาบโบราณไม่รากู่

ทะเลสาบโบราณนั้นทั้งสวยและเงียบสงบ ผืนน้ำกระเพื่อมเป็นระลอกแผ่วเบา กระจายแสงจากดวงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าออกไปไกล

ดอกบัวแก่นน้ำเงินไหวเบา ๆ ตามแรงลงอยู่บนผิวน้ำ ส่องแสงสว่างเรืองออกมางดงามตา

กู่ชิงลั่วยกมือขึ้นวางบนแก้มตนแล้วมองดอกบัวแก่นน้ำเงินนิ่ง จากนั้นถอนใจออกมา “งามจริง”

“ชอบหรือไม่ ?” ซูเฉินเอ่ยถาม

“ชอบ !” กู่ชิงลั่วพยักหน้าหงึกหงัก

“เช่นนั้นข้าจะไปนำมาให้เจ้า” ซูเฉินกล่าว

“อย่าทำบ้า ๆ เลย ในทะเลสาบมีปลามังกร เจ้าสู้มันไม่ได้หรอก”

“แล้วใครว่าข้าต้องสู้กับมันเล่า ?” ซูเฉินหัวร่อ “เจ้าดูข้า”

แล้วเขาก็ก้าวไปยังทะเลสาบ

กู่ชิงลั่วเริ่มกังวลใจ “ซูเฉิน อย่าทำเรื่องยุ่งเลย ปลามังกรนับมือไม่ง่ายนะ !”

“ข้าไม่คิดจะรับมือกับมัน” ซูเฉินพูดจบก็เดินไปยังริมทะเลสาบ จากนั้นผิวปากคราหนึ่ง ทันใดนั้นหนูยักษ์ตัวหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น

เจ้าหนูยักษ์ตัวอ้วนน่ารักน่าชังเป็นยิ่งนัก มันดูท่าทางไม่กลัวซูเฉินแม้แต่น้อย ทั้งยังวิ่งเข้าไปหาเขาด้วย

ซูเฉินหยิบเนื้อแห้งออกมาหลายเส้นแล้วป้อนให้เจ้าหนูยักษ์

หนูยักษ์กลืนเนื้อแห้งลงคอไปทันทีก่อนจะร้องเสียงยินดีออกมา

มันร้องกับซูเฉินอยู่หลายครั้ง เห็นได้ชัดว่าอยากกินอีก

ซูเฉินลูบหัวมันเบา ๆ “อยากกินอีกหรือ ? ก็ได้ แต่เจ้าต้องไปเอามันมาให้ข้า”

เขาชี้ไปทางดอกบัวแก่นน้ำเงินดอกนั้น

เจ้าหนูยักษ์ร้องออกมา 2-3 ครั้งก่อนกระโดดลงน้ำไป

มันว่ายน้ำไปทางดอกบัวแก่นน้ำเงิน ใช้ปากงับก้านแล้วดึงออกมา จากนั้นก็ค่อย ๆ ลากดอกบัวแก่นน้ำเงินกลับมาริมฝั่ง

ตั้งแต่ต้นจนจบ ปลามังกรไม่ปรากฏตัวออกมาเลย

ซูเฉินป้องเนื้อแห้งให้หนูยักษ์อีกหลายเส้นเป็นรางวัล จากนั้นนำดอกบัวแก่นน้ำเงินกลับมาให้กู่ชิงลั่ว

เขาวางดอกบัวแก่นน้ำเงินไว้ตรงหน้ากู่ชิงลั่ว “ให้เจ้า”

พริบตานั้น ดอกบัวแก่นน้ำเงินก็ไม่ใช่ตัวยามีมูลค่าอีกต่อไป หากแต่เป็นดอกไม้แทนใจของเขา เป็นดอกไม้งามที่เขานำกลับมาให้หญิงสาวที่เขารัก

กู่ชิงลั่วตกอกตกใจยิ่ง

นางรบดอกไม้มา หน้าตายังตกใจอยู่บ้าง “เจ้า…… เจ้าทำได้อย่างไรกัน ?”

“อยากรู้หรือ ? จูบข้าสักทีแล้วข้าจะบอก”

กู่ชิงลั่วหน้าแดงขึ้นในพลัน ส่งลูกเตะหนึ่งออกไป “บอกข้ามาว่าทำอย่างไร !”

ชายหนุ่มหัวเราะแล้วกระโดดหลบลูกเตะ

กู่ชิงลั่วพุ่งตัวไล่ตามไป ซูเฉินเองก็หลบไปร้องตะโกนไป “ก็ได้ ๆ ข้าบอกแล้ว ! จริง ๆ แล้วง่ายมาก…… ปลามังกรไม่กินสิ่งใดที่ไร้พลังต้นกำเนิด ดังนั้นเจ้าก็แค่ฝึกสิ่งมีชีวิตธรรมดาที่ไม่มีพลังขึ้นมาทำงานแทนเจ้าก็สิ้นเรื่อง…… ส่วนข้าฝึกมันอย่างไรงั้นหรือ ? เจ้าจูบข้าก่อนข้าจึงจะบอก…… นี่ ข้าก็บอกเจ้าไปแล้วไม่ใช่หรือ เจ้ายังจะเตะข้าอีก !”