ภาคที่ 2 บทที่ 133 หยุดพัก 3 วัน

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 133 หยุดพัก 3 วัน

การฝึกจบลงแล้ว

หลังจากผ่านพ้นการฝึกนาน 3 เดือน ตอนนี้เหลือเพียงศิษย์ 56 คนจากเดิม 100 คนเท่านั้น

สถาบันมังกรซ่อนเร้นได้คัดเลือกศิษย์ 40 คนจากกลุ่มคน 56 อีกที

ในหมู่คนที่ได้รับเลือก มีศิษย์ชั้นปีที่ 10 จำนวน 16 คน ชั้นปีที่ 9 จำนวน 11 คน ชั้นปีที่ 8 จำนวน 8 คน ชั้นปีที่ 7 จำนวน 4 คน และชั้นปีที่ 6 จำนวน 1 คน

กลุ่มศิษย์ชั้นปีที่ 9 นั้นมีซูเฉินรวมอยู่ด้วย โดยรายนามคนทั้งหมดคือ เหอนิ่วหลิว ต้วนเจียงซาน ซูเฉิน อวิ๋นเป้า หวังโต้วซาน กู่ชิงลั่ว เยว่หลงซา จีหานเยี่ยน หวังเสวียนอัน โจวตงไหลและหยวนเมิ่งซื่อ

น่าแปลกที่เจียงซีสุ่ยที่ได้ลำดับที่ 3 ในหมู่ศิษย์ชั้นปีที่ 9 กลับไม่ได้รับเลือก

เจียงซีสุ่ยทรงพลังไม่น้อย นิสัยใจคอไม่เลว แม้จะเป็นคุณชายแห่งตระกูลชั้นสูงแต่ก็ไม่ถือตัว ซูเฉินเคยแลกกระบวนท่ากับอีกฝ่ายและสู้เคียงบ่าเคียงไหล่เขามาแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเขาก็รู้สึกว่าเจียงซีสุ่ยยังไม่เผยความสามารถที่แท้จริงออกมา เดิมทีเขาคิดว่าคงจะได้มีโอกาสเข้าไปในซากโบราณด้วยกันเพื่อประเมินกำลังที่แท้จริงของเจียงซีสุ่ย แต่สุดท้ายก็พบกับความผิดหวัง

จริง ๆ แล้วเจียงซีสุ่ยก็ดูไม่ตกใจเท่าไร ราวกับรู้อยู่แล้วว่าเรื่องเช่นนี้ต้องเกิดขึ้น

หลังจากคัดเลือกศิษย์คนสุดท้ายที่จะได้เข้าไปยังซากโบราณเสร็จสิ้น สถาบันมังกรซ่อนเร้นก็จัดการให้คนทั้ง 40 เข้ามายังห้องโถงใหญ่แห่งหนึ่งก่อนจะมอบหมายเลขศิษย์ให้แต่ละคน

ผู้ที่ได้รับหมายเลข 1 คือศิษย์ชั้นปีที่ 10 นามว่าเฮ่ออวิ๋นตง เขาทรงพลังมาก อีกทั้งยังเป็นคนมั่นคง ในช่วงการฝึกดูน่าเชื่อถือไม่น้อย ดังนั้นจึงไม่มีตกใจมากนัก ส่วนผู้ที่ได้รับหมายเลข 2 คือชีเว่ยเยี่ยน แม้จะเป็นสตรีแต่ก็มีสติปัญญาเฉียบแหลม นางมีทั้งเงินตราและอำนาจเสริมความแกร่งตนขึ้นไปอีก ชีเว่ยเยี่ยนคล้ายกับมีความสามารถพิเศษแฝงอยู่ภายใน ยามเอื้อนวาจานางไม่รีบร้อน ทั้งวาจายังประณีตชั้นดี ดังนั้นคนอื่น ๆ จึงเชื่อคำนางอยู่เสมอ ความสามารถในการกล่อมคนและสร้างความสามัคคีในกลุ่มของนางเป็นเหตุที่ทำให้นางได้รับหมายเลขศิษย์ลำดับที่ 2

ซูเฉินได้หมายเลข 3

หลังจากคลุกคลีด้วยกันมานาน คนอื่น ๆ ก็เริ่มจะเข้าใจกันและกันอยู่บ้าง

ต่างคนต่างมั่นใจในตัวซูเฉินเรื่องการวางแผนเป็นยิ่งนัก แต่ถึงกระนั้นเหล่าอาจารย์ก็ไม่ได้มอบหมายเลข 1 ให้เขา เป็นเพราะเขาเชี่ยวชาญการวางแผนเกินไปและขาดความเป็นผู้นำ และทั้งเฮ่ออวิ๋นตงและชีเว่ยเยี่ยนไม่มีใครวางแผนได้เชี่ยวชาญเช่นเขา ดังนั้นสองคนนั้นจึงสร้างความเชื่อใจให้คนในกลุ่มได้มากกว่า เฮ่ออวิ๋นตงเป็นหัวหน้า ชีเว่ยเยี่ยนเป็นผู้ช่วย ส่วนซูเฉินนั้นคอยช่วยเหลือทั้งสองคน

ทว่าพวกเขาไม่ได้บอกกับศิษย์คนอื่น ๆ ว่าหากเทียบการวางแผนกับความสามัคคีและเชื่อใจกันภายในกลุ่มแล้ว เรื่องหลังนั้นสำคัญกว่ามาก !

โชคดีที่ซูเฉินเองก็รู้ว่าเขาไม่เหมาะจะเป็นผู้นำและเขาก็ไม่ได้อยากเป็นเท่าไร ดังนั้นเขาจึงไม่ใส่ใจอันใดมาก

หลังจากมอบหมายเลขศิษย์ให้แล้ว ก็ได้เวลาสอน

ชายแก่ซือหมิงหลี่ยังคงเป็นคนที่ขึ้นมาพูดดังเดิม เขากล่าวกับทุกคนว่า “คราวนี้ข้าจะบอกให้ทุกคนรู้โดยทั่วกันว่าในซากโบราณมีสิ่งใดอยู่กันแน่”

ก่อนหน้านี้เรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับซากโบราณถูกปิดเป็นความลับทั้งหมด จนกว่าจะคัดเลือกศิษย์ออกมาได้เรื่องทั้งหมดย่อมต้องเก็บเป็นความลับ

เมื่อซือหมิงหลี่เอ่ยขึ้นเช่นนั้น ทุกคนก็คิดได้ว่าซากโบราณเหล่านี้เป็นอาณาจักรอาร์คาน่าเหลือทิ้งไว้ มีอยู่มานานเกือบ 3 หมื่นปีแล้ว

เหตุผลที่มันไม่ถูกรุกรานมาเนิ่นนานเช่นนี้เป็นเพราะซากโบราณนั้นถูกล้อมรอบด้วยพลังงานสูญกึ่งอิสระ

พลังงานสูญกึ่งอิสระนี้ตั้งอยู่ในรอยแยกมิติ จนเมื่อไม่นานมานี้พลังงานของมันอ่อนแอลง ทำให้มันเผยกายออกมา

แท้จริงแล้วซากโบราณที่ยังไม่มีการสำรวจส่วนมากบนทวีปต้นกำเนิดก็เป็นไปเช่นนี้ ตราบเท่าที่มันยังมีพลังงานอยู่ มันก็จะถูกซ่อนต่อไปอีกนับพันนับหมื่นปี เมื่อพลังงานหมดจึงจะเผยตัว เปิดโอกาสให้คนอื่น ๆ เข้าไปเสาะแสวงหาสมบัติภายใน

ทางเข้าซากโบราณแห่งนี้นั้นอยู่ใกล้กับกองหินที่สันดอนลุ่มน้ำทองคำ ดังนั้นมันจึงชื่อว่าซากโบราณลุ่มน้ำทอง แคว้นหลงซางและชนเผ่ากิ้งก่ากรวดได้ปิดกั้นพื้นที่นี้ไว้ ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าใกล้เด็ดขาด

จากการตรวจสอบเบื้องต้น พลังงานสูญกึ่งอิสระนี้เป็นสถานที่วิจัยส่วนตัวของปรมาจารย์อาร์คาน่าผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง

ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องปกติมา เมื่อครั้งอาณาจักรอาร์คาน่ายังรุ่งเรืองถึงขีดสุด ปรมาจารย์เลื่องชื่อทั้งหลายต่างมีนิสัยชอบเปลี่ยนพลังงานสูญกึ่งอิสระให้กลายเป็นสถานที่วิจัยและทดลองส่วนตัวของตนเอง ดังนั้นจึงเป็นซากโบราณที่นับว่าธรรมดาที่สุดแห่งหนึ่ง

ไม่อาจกล่าวได้ว่าของภายในซากโบราณแห่งนี้จะล้ำค่าเพียงไหน ขึ้นอยู่กับความร่ำรวยของเจ้าของสถานที่คนเก่าทั้งสิ้น

แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหากนับเป็นซากโบราณ ย่อมต้องมีของดีอยู่เป็นแน่ !

และเป็นเพราะซากโบราณลุ่มน้ำทองนั้นมีมานานมากแล้ว ความคงที่ของพลังงานสูญจึงมีต่ำมาก ดังนั้นจึงเข้าไปได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น และหากมีใครเข้าไปจากด้านนอกอีกก็จะทำให้พลังงานสูญทั้งหมดสลายลงโดยเร็ว

ทั้งหากมีพลังต้นกำเนิดที่ทรงพลังเกินไปซัดกันอยู่ภายในก็ยิ่งทำให้พลังงานสูญทลายลงเร็วยิ่งขึ้น ดังนั้นผู้ที่แกร่งมากเกินไปย่อมไม่อาจเข้าไปได้เช่นกัน

ดังนั้นแคว้นหลงซางและชนเผ่ากิ้งก่ากรวดจึงทำข้อตกลงกันว่าจะให้เฉพาะผู้ที่มีขั้นพลังต่ำกว่าด่านกลั่นโลหิตเข้าไปเท่านั้น เพื่อให้พลังงานสูญยังคงอยู่ได้นานขึ้น ทุกคนจะได้มีโอกาสเข้าไปค้นสมบัติได้นานยิ่งขึ้น

นอกจากเรื่องพื้นฐานการบ่มเพาะพลังและจำนวนคนแล้ว ยังมีกฎอีกข้อหนึ่งคือผู้ที่เข้าซากโบราณไป ห้ามนำของติดตัวไปเกินกว่ามูลค่าหินพลังต้นกำเนิด 10,000 ก้อน

ข้อห้ามนี้ไม่เกี่ยวกับตัวพลังงานสูญ แต่ทั้งสองฝ่ายก็ยินดีตอบตกลง

เพราะหากไม่ตั้งกฎเช่นนี้ไว้ เช่นนั้นแล้วผลลัพธ์การต่อสู้ก็คงจะขึ้นอยู่กับเงินมากกว่าฝีมือเป็นแน่

และด้วยอันตรายต่าง ๆ ในซากโบราณแล้ว ไม่มีใครอยากให้เรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นทั้งสิ้น

เหล่าศิษย์จะเดินทางเข้าซากโบราณในอีก 3 วันให้หลัง ดังนั้นทุกคนจึงมีเวลาพักผ่อนอีก 3 วัน อาจจะใช้เวลา 3 วันนั้นในการฝึกฝนหรือใฝ่หาความสุขเท่าที่ใจตนอยากได้อย่างอิสรเสรี

เวลา 3 วันนี้นับเป็นของรางวัลพิเศษสำหรับทุกคน เพราะอย่างไรก็ไม่อาจรู้ได้ว่าจะมีใครรอดชีวิตกลับออกมาจากซากโบราณได้บ้าง

หลังจากพูดคุยถึงเรื่องต่าง ๆ จนหมดสิ้นแล้ว ศิษย์ทั้งหลายก็ได้รับอนุญาตให้ออกไปจัดการเรื่องราวต่าง ๆ ของตนเอง

ซูเฉินเดินเข้าไปหาฉือไคฮวงทันที

“อาจารย์ ยังมีเรื่องใดที่ข้าต้องรู้เกี่ยวกับซากโบราณลุ่มน้ำทองอีกหรือไม่ ?”

ฉือไคฮวงประหลาดใจเล็กน้อย “แล้วเจ้าต้องการรู้เรื่องใด ?”

“ทุกอย่าง” ซูเฉินตอบ

ฉือไคฮวงเข้าใจสิ่งที่ซูเฉินคิด เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “ข้าเข้าใจว่าเจ้าอยากทำตัวให้คุ้นเคยกับซากโบราณสักนิดก่อนจะเข้าไปสำรวจด้านใน แต่เป็นเพราะไม่มีใครเคยเข้าไปในซากโบราณมาก่อน ดังนั้นข้อมูลทั้งหลายจึงไม่แน่ชัดนัก อาจจะไม่เป็นประโยชน์กับเจ้า”

“เตรียมตัวไปสักเล็กน้อยก็ยังดีกว่าไม่เตรียมอะไรเลย” ซูเฉินหัวเราะออกมา

ฉือไคฮวงพยักหน้า “เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ได้ ข้าจะไปสั่งให้คนเตรียมเรื่องให้เจ้า”

“ทราบแล้ว ใช่แล้วอาจารย์ หากมีข้อมูลเกี่ยวกับอาณาจักรอาร์คาน่าด้วยจะดีมาก”

“เจ้าไปหาที่หอตำราก็ได้ ใน 3 วันนี้หอตำราจะเปิดให้พวกเจ้าเข้าได้อย่างอิสระ ไม่จำเป็นต้องจ่ายคะแนนอุทิศ”

“เช่นนั้นก็ดีนัก”

“เจ้าไม่คิดจะไปบันเทิงกับสิ่งอื่นบ้างหรือ ?” ฉือไคฮวงพลันเอ่ยถาม

ซูเฉินชะงักไป “สิ่งอื่น ? ยังมีสิ่งไหนอีกหรือ ?”

ฉือไคฮวงเอ่ยอย่างมีความนัย “ก็ต้องเป็นสิ่งที่บุรุษชมชอบอย่างไรเล่า สถาบันมังกรซ่อนเร้นได้จัดเตรียมร้านเหล้าและหอบุปผาไว้ให้พวกเจ้าอยู่ไม่ไกลจากสถาบันนัก เจ้าอยากไปเมื่อไรก็ย่อมได้ และไม่ว่าจะทำสิ่งใดทางสถาบันจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้เจ้า เจ้าก็…… ยังเป็นชายหนุ่มบริสุทธิ์อยู่เลยไม่ใช่หรือ ?”

ซูเฉินพลันหน้าแดงขึ้นมา “อาจารย์ ข้ายังเป็นศิษย์สถาบันอยู่นะ !”

ฉือไคฮวงลูบเคราตนพลางเอ่ยตอบ “สมัยข้าอายุเท่าเจ้า ข้าก็มีประสบการณ์โชกโชนแล้ว”

“……” ซูเฉินหลบหนีไปด้วยความพ่ายแพ้

เมื่อไรที่นึกถึงคำของฉือไคฮวงขึ้นมา ใจเขาก็เต้นแทบไม่เป็นจังหวะ

แน่นอนว่าเขาไม่ได้คิดถึงใครอื่น มีเพียงกู่ชิงลั่วเท่านั้น

แต่พอนึกได้ว่าแค่กล่อมให้นางยอมจูบเขายังทำไม่ได้ ก็พลันรู้สึกว่าหนทางแห่งการเสียบริสุทธิ์ของเขานั้นยังอีกยาวไกลนัก ดังนั้นจึงเผยสีหน้าขื่นขมออกมาเล็กน้อย

ตลอด 3 วันที่ผ่านมาทุกคนจึงไปทำเรื่องที่ตนอยากทำทั้งสิ้น

คนกลุ่มเล็กยังเลือกที่จะฝึกฝนต่อไม่หยุดแม้หนึ่งวัน

หากแต่คนส่วนมากกลับเลือกที่จะออกไปผ่อนคลายสบายอารมณ์

หวังโต้วซานใช้เวลาทั้ง 3 วันหมดไปกับการตามเกี้ยวสตรีทั้งหลาย เขาช่ำชองเรื่องนี้นัก เสียความบริสุทธิ์ไปตั้งแต่ยังไม่เข้าสถาบัน ครั้งนี้เขาเกี้ยวสตรีได้ถึง 22 คน ที่ไม่อาจหาได้มากกว่านี้เป็นเพราะทางสถาบันเข้ามายุ่งเกี่ยว ไม่ใช่เพราะเรื่องเงิน แต่เป็นเพราะทางสถาบันเกรงว่าเขาจะชื่นชมนารีจนพลังชีวิตเหือดแห้งไม่เหลือกำลังไว้ต่อสู้ แม้จะกลับมาบ่มเพาะพลังก่อนออกเดินทาง แต่ทางสถาบันก็ไม่อยากให้เขาเอาชีวิตไปเสี่ยงเช่นนั้น !

อวิ๋นเป้าหมายจะใช้เวลาทั้ง 3 วันไปกับการฝึกฝนตนเอง แต่ ‘สหาย’ หวังโต้วซานกลับลากเขาออกไป ซึ่งอวิ๋นเป้าก็ไม่ได้หาสตรีมากมายนัก เพียงเลือกแม่นางน้อยที่ดูใสซื่อบริสุทธิ์คนหนึ่งมาใช้เวลา 3 วันร่วมกัน เขาได้เสียฐานะชายบริสุทธิ์ไปตั้งแต่บัดนั้น

และในวันที่ทั้งสองต้องแยกจาก อวิ๋นเป้าพยายามจะซื้อนางไว้ แต่เมื่อนางได้ยินว่านางต้องเข้าไปอยู่ในสมรภูมิรบและอาจตายเมื่อไรก็ได้นางก็ปฏิเสธทันที ความใสซื่อบริสุทธิ์ของนางพลันหายไปในพริบตาเมื่อนางรีบไปให้ความบันเทิงแขกคนอื่นในพลัน ทำให้อวิ๋นเป้าช้ำใจไม่น้อย เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องตลกในหมู่สหายของเขาในภายหลัง

ส่วนซูเฉินก็อยู่ในหอตำราทั้ง 3 วัน

เขาอ่านตำราเกี่ยวกับซากโบราณลุ่มน้ำทองอย่างตั้งใจ อีกทั้งยังศึกษาประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และพื้นเพของอาณาจักรอาร์คาน่าอีกด้วย

กู่ชิงลั่วก็อยู่เป็นเพื่อนเขา

บางครั้งก็จะช่วยซูเฉินหาตำราที่ต้องการ บางครั้งนางก็จะหาตำรามาอ่านเองบ้าง

นางนั่งอยู่ข้างกายซูเฉิน มองดูเขาที่อ่านหนังสืออย่างตั้งใจ ครุ่นคิดเกี่ยวกับข้อมูลที่อ่านและจดบันทึกไว้มากมาย

บางครั้งซูเฉินก็จะเงยหน้าขึ้นมองกู่ชิงลั่ว คล้ายกับว่าวิญญาณของคนทั้งคู่เชื่อมถึง กู่ชิงลั่วเองก็เงยหน้าขึ้นมองเขาเช่นกัน

คนทั้งสองจ้องตากันแล้วส่งยิ้มบางให้กัน จากนั้นก้มหน้าลงอ่านตำราในมือต่อ

ในช่วงเวลาเหล่านั้น ซูเฉินรู้สึกมีความสุขไม่น้อย แม้ความสัมพันธ์ของพวกเขาจะไม่ได้พัฒนาขึ้นไปอีกขั้นเลยก็ตามแต่