บทที่ 134 โทสะ
3 วันผ่านพ้นไป วันเวลาพักผ่อนได้สิ้นสุดลงแล้ว
ในวันนั้น ศิษย์ที่ได้รับเลือกทั้ง 40 คนก็ออกมารวมตัวกันอีกครั้ง อาจารย์ฝึกต้อนพวกเขาเข้าไปยังเรือรบบิน จากนั้นมันก็เริ่มออกบินแล้วพาพวกเขาไปยังซากโบราณลุ่มน้ำทอง
เรือรบบินลอยมาถึงจุดหมายอย่างรวดเร็ว ซากโบราณลุ่มน้ำทองนั้นอยู่ไม่ไกลจากสถาบันมังกรซ่อนเร้นมากนัก ดังนั้นเพียงครึ่งวันก็เดินทางถึงจุดหมาย
เมื่อเหล่าศิษย์มาถึงซากโบราณลุ่มน้ำทองก็พบกองทหารรักษาการณ์ในค่ายพร้อมกับธงที่โบกสะบัด ทหารสวมชุดหุ้มเกราะนับไม่ถ้วนกำลังเดินขบวน บนฟากฟ้าเต็มไปด้วยเรือรบบินมากมายหลายลำ
ที่ฝั่งตรงข้ามเองก็มีกองกำลังตั้งอยู่เช่นกัน เผ่าคนเถื่อนนับไม่ถ้วนส่งเสียงกู่ร้องอย่างดุดัน ปลดปล่อยเสียงผสานอันทรงพลังดั่งสายฟ้าฟาดออกมาเป็นบางครั้ง
เมื่อเทียบกับกองทหารของฝ่ายมนุษย์ที่มีระบบระเบียบมีวินัยแล้ว กองทหารของเผ่าคนเถื่อนนั้นดูดุร้ายป่าเถื่อนกว่ามาก ไม่ได้ตั้งแถวเป็นระเบียบดังเช่นเวลาจัดทัพ อีกทั้งยังปล่อยกลิ่นอายป่าเถื่อนเลือดร้อนออกมา ส่งเสียงกู่ร้องกึกก้องอยู่ตลอด บ่อยครั้งที่ต่อสู้กันเองอย่างดุร้าย
ที่กึ่งกลางระหว่างค่ายทหารของทั้งสองฝ่ายคือกองหินขนาดใหญ่กองหนึ่ง
กองหินนั้นไม่ได้ดูประหลาดพิกลแต่อย่างไร แต่เมื่อสำรวจใกล้ ๆ จะพบว่าอากาศเหนือกองหินนั้นคล้ายกับจะมีความบิดเบี้ยว ราวกับมีกองไฟสุมอยู่ด้านใต้
มันคือรอยบิดเบี้ยวของพลังงานสูญ แสดงให้เห็นว่าไม่ใกล้ไม่ไกลนี้มีปมพลังงานสูญอยู่
ผู้ที่มีวิชาประเภทพลังงานสูญอยู่จะสามารถเข้าไปแอบสำรวจด้านในปมพลังงานสูญได้ว่ามีสิ่งใดอยู่บ้าง
บนกองหินใหญ่นั้นมีลานสูงถูกปลูกสร้างไว้
แม่ทัพเผ่ามนุษย์และเผ่าคนเถื่อนสองสามคนนั่งอยู่บนลานสูงนั้น
ยามเมื่อเรือรบบินที่มีเหล่าศิษย์อยู่ภายในเดินทางมาถึง คนหนุ่มเผ่าคนเถื่อนก็มารวมตัวกันอยู่บนลานสูงนั้นแล้ว
เผ่าคนเถื่อนเหล่านี้มีรูปร่างกำยำ ร่างกายหุ้มหนังสัตว์ ตัวใหญ่โตเทียบเท่ากับคนจากเผ่าหินผา บนร่างมีอักขระซับซ้อนถูกสลักไว้
เมื่อซูเฉินและคนอื่น ๆ เดินลงมาจากเรือรบ สายตาก็จดจ้องอยู่ที่เหล่าคนหนุ่มเผ่าคนเถื่อน พริบตานั้นความกระหายเลือดก็ปรากฏขึ้นในนัยน์ตาของคนทั้งหลาย
ทั้งสองฝ่ายรู้ดีว่าอีกไม่นานพวกเขาจะต้องเป็นศัตรูกัน
พวกเขาจะมีความแค้นต่อกัน หากมีโอกาสก็ต้องช่วงชิงเอาทุกจังหวะเพื่อสังหารอีกฝ่ายให้จงได้
แม่ทัพเผ่าคนเถื่อนร่างสูงเอ่ยขึ้น “ในเมื่อมากันพร้อมแล้วก็เริ่มการตรวจสอบได้”
“ไม่มีปัญหา” เจ้าหน้าที่ฝั่งทัพหลงซางเอ่ย
ทั้งเผ่ามนุษย์และเผ่าคนเถื่อนต่างอาศัยอยู่ภายใต้กฎของอาณาจักรอาร์คาน่า ดังนั้นจึงใช้ภาษาเดียวกันในการสื่อสาร แม้ต่อมาจะทำให้เกิดสำเนียงท้องถิ่นที่หลากหลายตามมา แต่ก็ยังสามารถสื่อสารด้วยภาษาเดียวกันได้อย่างไรปัญหาใด
การตรวจสอบที่ว่าคือการตรวจว่าเหล่าศิษย์ได้นำสิ่งของใดที่มีมูลค่าเกินกว่าหินพลังต้นกำเนิดหนึ่งหมื่นก้อนติดตัวมาด้วยหรือไม่
และเพื่อหลีกเลี่ยงการโต้เถียงไร้สาระทั้งหลาย ของทุกชิ้นจะถูกประเมินมูลค่าตามระดับของมัน
อาทิเช่น เครื่องมือต้นกำเนิดระดับ 9 นั้นมีมูลค่าราวหินพลังต้นกำเนิด 8 พันก้อน
ยาระดับธรรมดามีค่าราวหินพลังต้นกำเนิด 5 ร้อยก้อน
หรือก็คือเหล่าศิษย์ไม่อาจนำเครื่องมือต้นกำเนิด 2 ชิ้นเข้าไปได้ และแม้จะเลือกของที่มีคุณภาพที่สุดในระดับนั้นเข้าไปก็ยังต้องถูกจำกัดจำนวนอยู่ดี
แหวนต้นกำเนิดและของจำเป็นในการเอาชีวิตรอดจะไม่ถูกนับรวมในการประเมินนี้
เผ่าคนเถื่อนและเหล่าศิษย์ส่วนมากนำอาวุธมาด้วย ส่วนมากจะเป็นขวานรบ เผ่าที่ชื่นชอบความป่าเถื่อนนั้นชอบการแยกหัวคนดั่งผ่าลูกแตงโมด้วยขวานรบเป็นที่สุด
โดยขวานเหล่านี้เป็นขวานหิน
หรือก็คือมันทำมาจากหินเหล็กเลือด เป็นทรัพยากรที่มีเฉพาะในทุ่งหญ้าฮาเหวย ทั้งหนาทั้งแข็งแกร่ง ที่ด้ามจับขวานรบยังมีอักขระสีเลือดกระจายอยู่ทั่ว นับเป็นวิชาอันเป็นเอกลักษณ์ของเผ่าคนเถื่อนในการเพิ่มพลังให้กับอาวุธ ทำให้สามารถสร้างการโจมตีอันทรงพลังอย่างน่าเหลือเชื่อปะทะศัตรูได้
เมื่อเทียบกันแล้วเหล่าศิษย์เผ่ามนุษย์นำของติดตัวมาหลากหลายมาก
บ้างนำอาวุธมา บ้างนำของที่ใช้ป้องกันตัวได้มา และมีบางคนนำแผ่นรูปแบบต้นกำเนิดติดตัวมาด้วย
คนที่ขนของมามากที่สุดคือซูเฉิน
เจ้าหน้าที่เผ่าคนเถื่อนเปิดแหวนต้นกำเนิดซูเฉินแล้วเทขวดยาจำนวนมาก ดอกไม้ สมุนไพร กระทั่งโต๊ะออกมากองไว้ เห็นแล้วเขาก็ชะงักไป “นี่มันอะไรกัน ?”
“เจ้านี่คือขวดสามเหลี่ยม เจ้านี่คือขวดหยด เจ้านี่คือแก้วตวง ส่วนนี่ขวดทรงยาว อันนี้ธูปเจ็ดกำ พวกนี้คือเครื่องในสีชมพู ส่วนนี่เอ็นสัตว์อสูร……” ซูเฉินอธิบายของแต่ละชิ้นให้เจ้าหน้าที่ผู้นั้นฟัง
เจ้าหน้าที่เผ่าคนเถื่อนผู้นั้นเริ่มรู้สึกว่าหัวตนพองใหญ่ขึ้น จ้องมองซูเฉินด้วยสายตาดุร้าย “ข้าถามว่าเจ้าคิดจะนำของพวกนี้ไปทำสิ่งใด”
“ไม่ใช่ธุระของท่าน” ซูเฉินตอบ
“ปัญหาคือข้าไม่อาจหาทางประเมินมูลค่าของเหล่านี้ได้”
“ประเมินง่ายมาก” ซูเฉินตอบ “ท่านดูขวดเหล่านี้ มันไม่มีพลังต้นกำเนิดบรรจุอยู่เลย เป็นเพียงเครื่องมือธรรมดาที่สามารถใช้ทองแดงไม่กี่ชิ้นแลกมาได้ เอาไปอยู่ในหมวดหมู่ของจำเป็นในการเอาชีวิตรอดได้ ส่วนสมุนไพรทำยาพวกนี้ท่านก็ประเมินเอาตามราคาตลาดแล้วนับไปก็ได้”
เจ้าหน้าที่เผ่าคนเถื่อนผู้นั้นเริ่มเข้าใจ “เจ้าเป็นนักปรุงยาใช่หรือไม่ ? เจ้าหนู เจ้าคงจะอยากนำของเหล่านี้เข้าไปปรุงยาใช้ภายหลัง ฉลาดไม่เบา ยาระดับธรรมดามีมูลค่าเท่ากับหินพลังต้นกำเนิด 5 ร้อยก้อน แต่หากเจ้านำตัวสมุนไพรทำยาเข้าไปปรุงเองย่อมสามารถทำยาที่มีมูลค่าเช่นนั้นได้เท่าทวีคูณ”
“ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ท่านต้องกังวล ข้าเองก็ทำตามกฎ”
“ไม่ อย่างไรก็ไม่ได้ ขวดเหล่านี้ไม่อาจประเมินเป็นของจำเป็นในการเอาชีวิตรอดได้”
“นั่นเป็นเพียงความคิดของเจ้า โม่หลี่ฮั่น !”เจ้าหน้าที่ทัพหลงซางคนหนึ่งเดินเข้ามา “ข้าเห็นเพียงเจ้าเด็กนี่เป็นคนที่ชอบดื่มน้ำจากขวดหลายรูปแบบก็เท่านั้น ว่ากันตามกฎแล้ว ของที่ไร้พลังต้นกำเนิดและไม่สามารถส่งผลต่อผลการต่อสู้ได้มากสามารถนำเข้าไปได้ไร้ข้อห้ามใดหากมันเป็นของที่จำเป็นต่อการเอาชีวิตรอด ขวดเหล่านี้ต้องสามารถนำเข้าไปได้ตามกฎที่พวกเราตกลงกันไว้ !”
“เผ่ามนุษย์นั้นเจ้าเล่ห์อยู่เสมอ เซียวเฟยหนาน เจ้าคิดว่าฝั่งเจ้าใช้ประโยชน์จากช่องว่างเหล่านี้แล้วจะสามารถเอาชนะได้หรือ ?” โม่หลี่ฮั่นส่งเสียงคำรามต่ำ
“ชนะหรือไม่คือเรื่องของพวกข้า แต่ที่สำคัญคือพวกเราต้องทำตามกฎที่ตกลงกันไว้ ท่านโม่หลี่ฮั่น” ซูเฉินเอ่ยเสียงเย็น “หากคนขี้ขลาดเผ่าคนเถื่อนกลัวละก็ จะหนีไปเสียตั้งแต่ตอนนี้จะได้ไม่ต้องเสียหน้าเลยก็ย่อมได้”
ระหว่างที่พูดเขาก็จงใจเหลือบมองไปยังเผ่าคนเถื่อน ยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะหนึ่ง
“ระวังปากไว้ให้ดีไอ้คนบัดซบ !” เผ่าคนเถื่อนคนหนึ่งคำรามด้วยความเดือดดาล
เผ่าคนเถื่อนนั้นอารมณ์ร้อนง่าย เมื่อได้ยินคำกล่าวหาเรื่องและสีหน้าดูถูกเช่นนั้นก็โกรธขึงขึ้นมา
ซูเฉินไม่ใส่ใจ ยังกล่าวย้ำออกมาอีก “ข้าบอกว่าพวกเจ้ามันก็แค่คนขี้ขลาด ไม่กล้าเผชิญหน้ากับพวกข้าตรง ๆ มีแต่คิดจะใช้วิธีป่าเถื่อนเช่นนี้สร้างปัญหาให้คู่ต่อสู้”
“ไอ้ลูกเต่า ! ปากแกวอนหาเรื่องนัก !” เผ่าคนเถื่อนผู้นั้นตะโกนแล้วพุ่งเข้ามา ปล่อยหมัดหนึ่งใส่ซูเฉิน
ผัวะ !
หมัดทรงพลังปะทะร่างซูเฉิน เขาร้องลั่นแล้วร่างก็กระเด็นไป กระอักเลือดคำใหญ่ออกมา
เขาไม่คิดหลบ แต่ปล่อยให้หมัดปะทะร่างแทน
“ซูเฉิน !” ทุกคนวิ่งเข้าไปล้อมเขาแล้วช่วยกันพยุงขึ้นมา
เจ้าหน้าที่เผ่ามนุษย์ เซียวเฟยหนาน เผยสีหน้าโกรธเกรี้ยว “โม่หลี่ฮั่น เจ้าทำอะไรของเจ้า !? หากไม่อยากทำตามกฎแล้วก็ยกทัพถล่มกันตอนนี้เลยก็ดี !”
กระทั่งโม่หลี่ฮั่นเองยังชะงักไป เขาหันไปส่งสายตาคมกริบใส่เผ่าคนเถื่อนผู้นั้น “ใครสั่งให้เจ้าโจมตี !”
คนหนุ่มเผ่าคนเถื่อนผู้นั้นรู้ดีว่าตนก่อเรื่อง ดังนั้นจึงก้มหัวลงแล้วเงียบไป หากแต่ก็ยังเหลือบมองไปทางซูเฉินด้วยนัยน์ตาเกลียดชัง
เซียวเฟยหนานหันไปมองซูเฉิน “เป็นอย่างไรบ้าง ?”
ซูเฉินตอบ “ข้าบาดเจ็บภายในเล็กน้อย ไม่อาจเคลื่อนพลังต้นกำเนิดในร่างได้ง่ายนัก ข้าคิดว่าเราคงต้องเรียกร้องค่าเสียหายจากอีกฝ่าย”
ตอนแรกเซียวเฟยหนานได้ยินแล้วก็ชะงักไป หากแต่ไม่นานก็เข้าใจชายหนุ่มแล้วหัวเราะเสียงเข้มออกมา
เขาหันไปมองโม่หลี่ฮั่นนิ่ง “โม่หลี่ฮั่น เจ้าได้ยินแล้ว คนฝั่งเจ้าทำคนฝั่งข้าบาดเจ็บตั้งแต่ยังไม่ทันได้เข้าซากโบราณ นับเป็นการทำผิดกฎ พวกข้ามีสิทธิ์เรียกร้องค่าเสียหายจากเจ้า”
เมื่อได้ยินว่าซูเฉินบาดเจ็บหนักเช่นนั้น โม่หลี่ฮั่นก็ตกใจ “เป็นไปไม่ได้ !”
เขาย่างเท้าเข้าไปคว้าแขนซูเฉินไว้ พบว่าอีกฝ่ายบาดเจ็บภายในจริง ๆ แม้จะไม่หนักหนาสาหัสมากมายแต่ก็ได้รับบาดเจ็บจริง
“ไร้ประโยชน์สิ้นดี ข้าเพียงต่อยมันเบา ๆ ไปครั้งหนึ่งเท่านั้น” เผ่าคนเถื่อนผู้นั้นพึมพำเสียงเบาออกมา
“หุบปากไปเสียเจ้าโง่ !” โม่หลี่ฮั่นหันกลับมาซัดพลังออกไป ส่งร่างเผ่าคนเถื่อนผู้นั้นกระเด็นไปไกล
จากนั้นเขาก็หันกลับมามองซูเฉิน “เจ้าต้องการสิ่งใด ?”
ซูเฉินตอบ “คนผู้นั้นต่อยข้าหนึ่งหมัด สิ่งที่ข้าต้องการเรียบง่ายนัก ปล่อยให้ข้าซัดเขาคราหนึ่ง หรือปล่อยให้ข้านำของอีกอย่างหนึ่งที่มีมูลค่าเท่ากับหินพลังต้นกำเนิด 1 หมื่นก้อนเข้าไปได้อีกชิ้น”
ปล่อยให้ซูเฉินซัดพลังใส่เขางั้นหรือ ?
เผ่าคนเถื่อนผู้นั้นเพียงปล่อยหมัดธรรมดาออกมาเท่านั้น ไม่ได้ใช้กำลังเต็มที่เลยด้วยซ้ำ ที่ซูเฉินบาดเจ็บเป็นเพราะเขาไม่คิดปัดป้องต่างหาก
แต่หากซูเฉินคิดจะโจมตีอีกฝ่ายกลับ เรื่องราวคงแตกต่างเป็นแน่
โม่หลี่ฮั่นรู้ว่ามนุษย์ผู้นี้อาจจะสังหารเผ่าคนเถื่อนในหมัดเดียวได้หากอีกฝ่ายปล่อยท่าสังหารออกมา
ดังนั้นเขาจึงเข้าใจเจตนา “เจ้าจงใจทำเช่นนี้ใช่หรือไม่ ? เจ้าจงใจยั่วโมโหเพื่อให้ฝั่งข้าทำร้ายเจ้าแล้วเรียกร้องค่าเสียหายใช่หรือไม่ ?”
“สิ่งที่ข้าทำไม่สำคัญ สำคัญที่ข้าได้รับบาดเจ็บเพราะฝั่งท่าน และท่านมีหน้าที่ต้องชดใช้ค่าเสียหาย ท่านจะเลือกข้อใดมาก็ได้ตามท่านต้องการ”