ภาคที่ 2 บทที่ 135 เดินทางเข้าซากโบราณ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 135 เดินทางเข้าซากโบราณ

 

 

โม่หลี่ฮั่นไม่ปล่อยให้ซูเฉินโจมตีเผ่าคนเถื่อนผู้นั้นกลับ

 

 

เขาไม่อยากให้คนเผ่าคนเถื่อน 40 คนเหลือเพียง 39 คน ไม่เพียงแต่เสียกำลังคนไปหนึ่ง แต่ยังทำให้ขวัญกำลังใจลดลงอีกด้วย

 

 

แต่เขาก็ไม่อาจปล่อยให้ซูเฉินนำของอีกสิ่งที่มีมูลค่าเท่ากับหินพลังต้นกำเนิด 1 หมื่นก้อนเข้าไปเช่นนั้นได้

 

 

หลังจากต่อรองกันอย่างดุเดือด พวกเขาก็ตกลงกันว่าจะปล่อยให้ซูเฉินนำของอีกสิ่งหนึ่งที่มีมูลค่าเทียบเท่าหินพลังต้นกำเนิด 3 พันก้อนเข้าไปได้

 

 

หรือก็คือซูเฉินยอมบาดเจ็บเล็กน้อยเพื่อสิทธิพิเศษนี้

 

 

หากเข้าซากโบราณไปแล้วไม่เจออันตรายใด เช่นนั้นความสามารถในการปรุงยาของซูเฉินจะสามารถเปลี่ยนสมุนไพรทำยามูลค่าเทียบเท่าหินพลังต้นกำเนิด 3 พันก้อนเหล่านี้ให้กลายเป็นตัวยาที่มีมูลค่าสูงกว่ามากได้

 

 

แต่หากเข้าไปแล้วต้องต่อสู้ บาดแผลที่ได้รับก็ทำให้เขาต่อสู้ได้ยากขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

 

 

ไม่ว่าอย่างไรการแลกเปลี่ยนครั้งนี้ก็คุ้มค่าเป็นยิ่ง

 

 

ดังนั้นหลังจากทั้งสองฝ่ายต่อรองกันเสร็จสิ้น โม่หลี่ฮั่นจึงเอ่ยกับคนเผ่าคนเถื่อนด้านหลังว่า “จากเจ้าพบเจ้าเด็กนั่น ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องฆ่ามันก่อน เข้าใจหรือไม่ ? มันเป็นนักปรุงยา ไม่ได้นำเครื่องมือต้นกำเนิดใดติดตัวมาเลย เอามาเพียงสมุนไพรและวัตถุดิบปรุงยามากมายเท่านั้น หากเจ้าปล่อยให้มันได้ปรุงยาจะสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของคนฝั่งมันทั้งหมดได้”

 

 

“รับทราบ !” คนเผ่าคนเถื่อนทุกคนตะโกนรับ

 

 

แม้จะไร้คำสั่งของโม่หลี่ฮั่น แต่คำพูดของซูเฉินก็ได้สร้างความเกลียดชังไว้มากแล้ว

 

 

หากแต่คนฝั่งมนุษย์ก็ยิ่งรู้สึกนับถือเขามากกว่าเก่า

 

 

เซียวเฟยหนานมองซูเฉินแล้วเผยเสียงหัวเราะ “เป็นคนหนุ่มที่กล้าหาญไม่น้อย ไม่เกรงว่าจะถูกหมายตายามเข้าซากโบราณไปงั้นหรือ ?”

 

 

“ตามทฤษฎีแล้วไม่ควรเป็นเช่นนั้น” ซูเฉินตอบ “ความเสถียรของพลังงานสูญกึ่งอิสระเช่นนี้น่ากังขานัก ดังนั้นคนที่เข้าไปจะกระจัดกระจายแยกย้ายกันโผล่ไปตามจุดต่าง ๆ ไม่โผล่มาจุดเดียวกันแน่ ข้ายังมั่นใจว่าหากมีการต่อสู้เกิดขึ้นจริงข้าก็สามารถรับมือได้ แต่แน่นอนว่ายังมีความเสี่ยงอยู่บ้าง แต่หากความเสี่ยงเหล่านี้ยังไม่อาจรับมือได้ จะบีบให้โม่หลี่ฮั่นมอบสิทธิ์นำของมูลค่าหินพลังต้นกำเนิด 3 พันก้อนเข้าไปได้อย่างไร ? หากอยากให้อีกฝ่ายเสียเปรียบ ท่านก็ต้องมีเหตุผลมอบให้ หากได้ประโยชน์เหนือกว่าความเสี่ยง ไม่ว่าอย่างไรก็ยังนับว่าคุ้มค่า”

 

 

เซียวเฟยหนานพยักหน้าพอใจ “ดีมาก ดูท่าเจ้าคิดมาเป็นอย่างดีแล้ว เช่นนั้นในฐานะที่จ้าเป็นคนจัดการเรื่องการสำรวจซากโบราณ สิ่งที่ข้าทำได้คือการส่งเจ้าเข้าไปในซากโบราณก่อนเป็นคนแรก”

 

 

การเข้าไปด้านในเป็นคนแรกหมายความว่าจะสามารถมองหาสถานที่ปลอดภัยได้เร็วกว่าคนอื่น ๆ ทำให้เขาสามารถหลีกเลี่ยงการต่อสู้ได้

 

 

ซูเฉินจึงไม่คิดปฏิเสธโอกาสพิเศษเช่นนี้

 

 

ไม่นาน คนทั้งสองฝ่ายก็เตรียมตัวเสร็จสิ้น

 

 

ปมพลังงานสูญที่อยู่เหนือกองหินถูกคนของทั้งสองฝ่ายใช้พลังแยกออก มิติที่ถูกแยกคล้ายกับผืนน้ำกระเพื่อมแรงบังเกิดขึ้นกลางอากาศ

 

 

“เข้าไปได้ !” เซียวเฟยหนานตะโกนขึ้น

 

 

ซูเฉินเดินนำเข้าไปเป็นคนแรก

 

 

ยามเดินเข้าปมพลังงานสูญไป สายตาเขาก็เริ่มพร่ามัว ทันใดนั้นเขาก็เข้ามายืนอยู่บนพื้นหญ้าหนาแห่งหนึ่ง

 

 

พลังงานสูญแห่งนี้มืดครึ้มยิ่ง มองไปไกล ๆ ยังมีหุบเขาขนาดใหญ่ เมฆสีเทาเคลื่อนผ่านที่ยอดเขา แสงสีขาวบางส่องออกมาจากด้านนอกพลังงานสูญราวกับมีบางอย่างกั้นแสงไว้

 

 

หมอกหนาไม่น้อย ทำให้มองเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก

 

 

รอบกายเขาไร้ศัตรูหรือสิ่งมีชีวิตประหลาดใด มีเพียงผืนหญ้ากว้างใหญ่และภูเขาลูกโตอยู่ไกล ๆ เท่านั้น ซูเฉินถอนหายใจยาวออกมา

 

 

แม้จะเตรียมตัวมามากแล้ว หากแต่ซูเฉินก็ยังหวังว่าตนจะสามารถเลี่ยงการต่อสู้ตั้งแต่เข้ามาได้

 

 

ดูท่าครั้งนี้โชคจะเข้าข้างเขา

 

 

ซูเฉินหยิบของจากในแหวนต้นกำเนิดออกมาชิ้นหนึ่ง

 

 

มันมีรูปร่างคล้ายลูกตา กลิ้งไปมาในฝ่ามือซูเฉินราวกับมีชีวิต

 

 

ชายหนุ่มโยนมันขึ้นไป ลูกตานั่นเริ่มตรวจสอบพื้นที่โดยรอบ และสิ่งที่มันเห็นก็ถูกส่งเข้ามาตรงหน้าซูเฉินในทันใด

 

 

นี่คือเนตรตรวจสอบ มีความสามารถในการมองเห็นภาพขั้นสูง ซูเฉินใช้มันเพื่อตรวจสอบพื้นที่โดยรอบและหาสถานที่ที่เหมาะแก่การปรุงยา และยังใช้หลบเลี่ยงเผ่าคนเถื่อน ทั้งยังใช้หาตัวคนฝั่งเดียวกันได้ด้วย

 

 

ของชิ้นนี้ได้ประโยชน์ได้ดีมาก แม้จะสามารถใช้ได้เพียง 3 ครั้ง แต่ก็ยังมีมูลค่าเท่ากับหินพลังต้นกำเนิด 5 ร้อยก้อน

 

 

เมื่อเนตรตรวจสอบแล้ว ไม่นานซูเฉินจึงพบจุดที่เป็นป่าอยู่ทางขวา เขาน่าจะพอหาที่หลบในป่านั่นได้

 

 

ซูเฉินเก็บเนตรตรวจสอบเข้าแหวนไป แต่แทนที่จะรีบเร่งฝีเท้าเดินทางไปที่นั่น เขากลับดึงแท่นและวัตถุดิบต่าง ๆ ออกมา เริ่มลงมือปรุงยาบนพื้นที่โล่งทั้งอย่างนั้น ตอนนี้ยังไม่มีคนอื่นอยู่แถบนี้ คงจะถูกส่งไปยังพื้นที่อื่นเป็นแน่

 

 

เขาปรุงยาฟื้นพลังขึ้นมาโดยเร็วและดื่มมันลงไป

 

 

ไม่นานบาดแผลบนร่างก็เริ่มหายดี

 

 

ต้องใช้เวลาอีกสักพักบาดแผลของเขาจึงจะหายสนิท ดังนั้นซูเฉินจึงปรุงยาฟื้นพลังขึ้นมาสำรองไว้อีกหลายขวด จากนั้นก็เก็บของแล้วเริ่มออกเดินทางเข้าป่า

 

 

ระหว่างทางเขาไม่พบมนุษย์หรือเผ่าคนเถื่อนเลย

 

 

เรื่องเช่นนี้หมายความว่าพลังงานสูญแห่งนี้มีขนาดใหญ่มาก ในเมื่อมีคนเดินเข้าเข้ามามากถึงแปดสิบคน แต่เขากลับยังไม่พบใครแม้ครึ่งคน

 

 

แต่สถานที่ยิ่งใหญ่ก็ยิ่งดี

 

 

ยิ่งสถานที่นี้มีขนาดใหญ่ ยิ่งหมายความว่ามีพื้นที่ให้สำรวจมาก และมีโอกาสพบสมบัติได้มากกว่า

 

 

ซูเฉินชอบเตรียมตัวก่อนสู้รบจริง เขาเชื่อว่าคงไม่มีใครสามารถสำรวจพื้นที่โดยรอบและใช้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อมโดยรอบได้ดีไปกว่าเขาแล้ว

 

 

ดังนั้นเขาจึงเชื่อว่าตัวเขานั้นได้เปรียบเรื่องเวลาอยู่เสมอ

 

 

หรือก็คือเผ่ามนุษย์ชอบเรื่องเช่นนี้มาก

 

 

ดังนั้นซูเฉินจึงเร่งฝีเท้าเดินทางเข้าป่านั่นไป คิดตระเตรียมปรุงยาอีกมากมายที่นั่น

 

 

หากแต่เมื่อเข้ามาในป่าเขาก็ต้องหยุดฝีเท้าลงในพลัน เมื่อพบกับงูเหลือมลายจุดขนาดยักษ์ตัวหนึ่งกำลังพันอยู่ที่กิ่งไม้ใหญ่ จ้องมองเขานิ่งแล้วแลบลิ้นออกมา

 

 

เจ้างูเหลือมนั้นไม่ได้สลักสำคัญแต่อย่างไร แต่การมีอยู่ของมันเป็นตัวบ่งชี้ว่าพลังงานสูญแห่งนี้เป็นพลังงานสูญที่สามารถสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมา หมายความว่าภายในนี้มีระบบนิเวศพัฒนาขึ้นเป็นของตนเอง

 

 

ดังนั้นจึงหมายความว่าที่นี่คงจะมีสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากเผ่าคนเถื่อนและเผ่ามนุษย์อยู่อีก

 

 

ทุกคนได้เตรียมรับมือกับเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนหน้าแล้ว เพราะอย่างไรเผ่ามนุษย์ก็เคยค้นพบซากโบราณมาก่อน ในซากโบราณเหล่านั้นมีบางแห่งที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ภายในด้วย

 

 

ตามกฎการพัฒนาการของสิ่งมีชีวิตแล้ว ยิ่งสิ่งมีชีวิตมีความแข็งแกร่ง มีพลังมากมายเท่าไร มันก็ยิ่งต้องใช้พื้นที่ในการอยู่อาศัยมากขึ้นเท่านั้น

 

 

ไม่ว่าจะมีพื้นที่กว้างขวางถึงเพียงไหน อย่างไรพลังงานสูญกึ่งอิสระก็ยังเป็นขอบเขตที่มีพื้นที่จำกัด ดังนั้นภายในจึงไม่อาจมีสิ่งมีชีวิตทรงพลังถือกำเนิดขึ้นมาได้

 

 

ปัญหาคือคำว่า ‘สิ่งมีชีวิตทรงพลัง’ นั้นมีคำจำกัดความอย่างไร

 

 

สำหรับศิษย์ด่านก่อเกิดลมปราณ ยังมีสิ่งมีชีวิตอีกมากมายที่ไม่นับว่าเป็น ‘สิ่งมีชีวิตทรงพลัง’ แต่ก็ยังสามารถเป็นอันตรายต่อพวกเขาได้เช่นกัน

 

 

อีกทั้งการที่สิ่งมีชีวิตทรงพลังไม่อาจถือกำเนิดขึ้นในพลังงานสูญกึ่งอิสระนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าภายในจะไม่มีสิ่งมีชีวิตทรงพลังอยู่เลย

 

 

หากปรมาจารย์อาร์คาน่านำสัตว์อสูรทรงพลังเข้ามาภายใน และมันสามารถออกลูกออกหลานในนี้ได้ เรื่องเช่นนั้นก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้เช่นกัน

 

 

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่มนุษย์เคยค้นพบอสูรกายทรงพลังภายในพลังงานสูญแห่งหนึ่ง

 

 

นับเป็นผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดที่คนที่เข้าไปยังพลังงานสูญอาจพบเจอได้

 

 

และด้วยเหตุนี้ ซูเฉินจุดหยุดฝีเท้าทันทีที่สายตาพบงูเหลือมลายจุดตัวนั้น

 

 

หากยังไม่ได้ตรวจสอบให้ดีว่าภายในป่ามีสิ่งใดที่อาจทำอันตรายเขาได้หรือไม่ ผลีผลามเข้าป่าไปโดยพลันคงไม่ใช่ความคิดที่ดีแน่

 

 

หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง ซูเฉินก็หยิบวัตถุดิบต่าง ๆ และแท่นออกมาจากแหวนอีกครั้ง

 

 

ไม่นานก็ปรุงยาออกมาขวดหนึ่ง

 

 

กลิ่นที่โชยออกมาจากตัวยาสามารถทำให้เผ่าพันธุ์ไร้สติปัญญาส่วนมากคลั่งขึ้นมาได้

 

 

ซูเฉินหยิบยาขวดนั้นขึ้นมาแล้วขว้างมันไปที่ไกล

 

 

ขวดยาตกลงพื้นแล้วแตกกระจายออก ปล่อยกลิ่นน่าสูดดมออกมาในพลัน

 

 

พริบตาต่อมา เสียงอสูรคำรามลั่นก็ดังมาให้ได้ยินอย่างชัดเจน เป็นเสียงคำรามที่ฟังดูขุ่นเคืองมาก

 

 

มีเสียงคำรามหนึ่งที่ทั้งดังทั้งได้ยินอย่างเด่นชัดมาก เป็นเสียงที่ทำให้เขาถึงกับใจสั่น

 

 

บัดซบ เป็นอสูรกาย !

 

 

เขาหันกลับไปแล้วออกวิ่งเต็มฝีเท้าทันที !