ภาคที่ 2 บทที่ 136 ออกสำรวจ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 136 ออกสำรวจ

หลังจากวิ่งออกมาจากป่านั่นแล้ว ซูเฉินก็ตัดสินใจจะมุ่งหน้าไปยังภูเขาลูกที่อยู่ไกล ๆ นั่นแทน

ภูเขาลูกนั้นไม่ใหญ่มาก ทั่วทั้งลูกมีหมอกเทาปกคลุม ทำให้คล้ายกับภูเขาในบทกวีเป็นยิ่งนัก

แต่เมื่อเขาเดินทางเข้าไปใกล้ภูเขาลูกนั้น ซูเฉินก็ต้องตกใจกับความมืดหม่นและความรกร้างของมันเป็นยิ่งนัก

ลมสีเหลืองอมเทาพัดหวีดหวิวแรงอยู่บนยอดเขา พัดพืชพันธุ์ต่าง ๆ จนหายไปสิ้น ไม่อาจมีต้นไม้ใดแตกหน่อเติบโตได้ ดินปนทรายไม่สามารถกักเก็บความชุ่มชื้น ราวกับว่าภูเขาลูกนี้เป็นภูเขาท่ามกลางทะเลทรายอย่างไรก็อย่างนั้น พืชพรรณสีเขียวที่เขาเห็นคือหญ้าบนพื้นเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

สำหรับเขาแล้ว ความรกร้างเช่นนี้เป็นเรื่องดี หมายความว่าในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ย่อมไม่อาจมีอสูรกายทรงพลังใดรอดชีวิตได้

แต่เมื่อเดินทางมาถึงตีนเขาภูเขา สายตาเขาก็พลันพบว่ามีคนผู้หนึ่งอยู่ที่นั่นแล้ว

“ซูเฉิน !” อีกฝ่ายตะโกนมา

“จ้าวซิน !” ซูเฉินจำอีกฝ่ายได้ในพลัน

จ้าวซินคือศิษย์ชั้นปีที่ 7 หมายเลขศิษย์คือ 38 นับเป็นคนหนึ่งในคนที่อ่อนแอในหมู่ศิษย์ทั้งหมด แต่มีนิสัยไม่เลว และยังมีความสามารถเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวอยู่สองอย่าง

เคราะห์ดีนักที่คนที่ซูเฉินพบหน้าเป็นคนแรกไม่ใช่ศัตรู

ซูเฉินรีบวิ่งเข้าไปหาจ้าวซิน ก่อนจะพบว่ายิ่งวิ่งเข้าไปใกล้ยิ่งเห็นว่าบนอกจ้าวซินมีรอยสีแดงเด่นชัดอยู่รอยหนึ่ง

“เจ้าบาดเจ็บหรือ ?”

“ใช่แล้ว ข้าพบเผ่าคนเถื่อนและประมือกันเล็กน้อย”

“ผลเป็นอย่างไร ?”

“ข้ารับมือไม่ไหวเลยหนีมา” จ้าวซินตอบไม่คิดปิดบัง

ช่วงที่ทำการฝึกฝนนั้น อาจารย์ฝึกทั้งหลายต่างคอยพูดกรอกหูพวกเขาอยู่บ่อยครั้งว่ายามต่อสู้ให้ลืมเรื่องรักษาหน้าตาชื่อเสียงตนไปเสีย เคยมีตัวอย่างให้เห็นในหน้าประวัติศาสตร์มากมายที่มีคนหลอกลวงเรื่องพละกำลังตนเอง หรือประเมินกำลังศัตรูผิดพลาด ส่งผลให้สุดท้ายต้องจบชีวิตลงเอง ดังนั้นแพ้คือแพ้ หากพยายามปิดบังหรือพูดเล่นลิ้นย่อมหมายถึงกำลังเล่นอยู่กับชีวิตตนเองทั้งสิ้น

เผ่าคนเถื่อนมีร่างกายที่มีพละกำลังแข็งแกร่ง หากนับเรื่องพละกำลังเพียงอย่างเดียวแล้ว มีเผ่าพันธุ์อัจฉริยะเพียงไม่กี่เผ่าเท่านั้นที่สามารถรับมือพวกเขาได้

ยิ่งมีขั้นพลังด่านต่ำยิ่งเห็นความแตกต่างในเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน

ดังนั้นจึงไม่แปลกที่มนุษย์ด่านก่อเกิดลมปราณจะพ่ายแพ้ให้กับเผ่าคนเถื่อน อีกฝ่ายเองก็ถูกคัดเลือกมาจากคนนับไม่ถ้วน ซูเฉินกับจ้าวซินเองก็เช่นกัน

แต่สิ่งที่มนุษย์พึ่งพามาตั้งแต่ต้นคือสมอง ไม่ใช่ร่างกายที่แข็งแกร่ง ทั้งค่ายกลพลังต้นกำเนิด ยาทั้งหลาย การตั้งกลุ่มและกลยุทธ์ต่าง ๆ นั้นคือสิ่งที่เผ่ามนุษย์เชี่ยวชาญทั้งสิ้น

ดังนั้นเหล่าศิษย์ทั้งหลายไม่เคยคิดจะสู้กับเผ่าคนเถื่อนแบบหัวชนฝา แต่ใส่ใจกับเรื่องความสามัคคีมากกว่า ดังนั้นยามต่อสู้พวกเขาจึงใช้สมองเป็นหลัก หากต้องทำการต่อสู้ตัวต่อตัวจึงแนะนำว่าให้หาทางหลบหนีออกมาให้ได้

เผ่าคนเถื่อนที่จ้าวซินประมือด้วยนั้นทั้งทรงพลังและเชี่ยวชาญการต่อสู้ อักขระบนร่างสามารถเปิดพลังปราณในร่างกายได้ ยิ่งทำให้กำลังเพิ่มขึ้นหลายส่วน อีกทั้งยังทำให้ร่างแข็งแกร่งดั่งเหล็ก

เข็มพิรุณโปรยของจ้าวซินทำให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บเพียงเกิดจุดแดง ๆ ขึ้นบนผิวเท่านั้น

ซูเฉินรู้กำลังของเข็มพิรุณโปรยดี เข็มเพียงหนึ่งเล่มอาจไม่ทรงพลังมากเท่าไร เทียบเท่ากับกำลังของหมี 13 ตัวเท่านั้น แต่หากรวมตัวกันครั้งละมาก ๆ ย่อมทรงพลังขึ้นกว่าเก่า แต่ถึงกระนั้นตัวเข็มก็ไม่อาจทะลวงผ่านเนื้อหนังอีกฝ่ายได้ ย่อมหมายความว่าอย่างน้อย ๆ อีกฝ่ายต้องมีพลังป้องกันมากกว่ากำลังของหมี 13 ตัวเป็นแน่

แกร่งกว่าเกราะรบเหล็กกล้าด้วยซ้ำ

อีกทั้งประเมินจากสิ่งที่จ้าวซินเล่ามาแล้ว เผ่าคนเถื่อนผู้นั้นยังไม่ได้สู้เต็มกำลัง

เขาเหลือบมองบาดแผลบนอกของจ้าวซิน จากนั้นหยิบยาขวดหนึ่งออกจากแหวนต้นกำเนิด “ให้เจ้า”

จ้าวซินรับมาด้วยความยินดี “ขอบคุณท่านมาก มีนักปรุงยามาด้วยนี่ดีจริง”

“ไม่เป็นไร เจ้าเองก็เป็นคนสำคัญ ต่อไปต้องเปิดใช้นัยน์ตาเหยี่ยวทองของเจ้า” ซูเฉินว่า

จ้าวซินมีสายเลือดเหยี่ยวนัยน์ตาทอง ทำให้สามารถใช้วิชานัยน์ตาเหยี่ยวทองได้ ไม่เพียงทำให้สายตาคมชัดขึ้นเป็นอย่างมาก แต่ยังทำให้มองทะลุผ่านสิ่งกีดขวางที่ไม่หนาจนเกินไปได้ อีกทั้งเขายังเป็นหนึ่งในศิษย์ที่มีความคล่องตัวสูง ดังนั้นแม้จะไม่อาจเอาชนะเผ่าคนเถื่อนผู้นั้นได้ แต่อย่างน้อยที่สุดก็สามารถหลบหนีออกมาได้

หน้าที่หลักของเขาในกลุ่มคือการตรวจสอบหาศัตรูและพื้นที่โดยรอบ

“ข้าก็เลยถูกเลือกมาที่นี่อย่างไรเล่า” จ้าวซินหัวเราะออกมา

ว่าแล้วเขาก็กระโดดขึ้นยอดภูเขาไป

เมื่อดีดตัวขึ้นมาถึงยอดเขา จ้าวซินก็เปิดใช้สายเลือดตนเอง นัยน์ตาเริ่มเรืองแสงจ้าออกมา หมอกสีเทาหนาไม่อาจขวางกั้นสายตาเหยี่ยวทองของเขาได้

พริบตาต่อมา จ้าวซินก็หยิบกระดาษขาวออกมาม้วนหนึ่ง ไล้นิ้วผ่านมันเพียงแผ่วเบา ภาพที่เขาเห็นทั้งหมดก็ปรากฏลงบนม้วนกระดาษในมือ

นี่คือทักษะต้นกำเนิดอีกวิชาที่จ้าวซินถือครอง เขาสามารถส่งภาพทุกอย่างที่เห็นลงไปยังม้วนกระดาษ วาดเป็นแผนที่ขึ้นมาได้

ไม่นานเขาก็สามารถวาดแผนที่โดยละเอียดลงบนม้วนกระดาษนั้น แล้วส่งมันให้ซูเฉิน

“ทำได้ดีมาก” ซูเฉินรับม้วนกระดาษมา

จ้าวซินหัวเราะ “พวกเขาเลือกข้ามาก็เพราะเหตุนี้”

เหล่าศิษย์ที่ถูกคัดเลือกมาในครั้งนี้ไม่ได้แข็งแกร่งอันใดมากมาย หากแต่ต่างคนต่างก็มีความสามารถเฉพาะตน จ้าวซินเป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น

ซูเฉินกางแผนที่ออกแล้วตรวจสอบโดยละเอียด

ดูจากในแผนที่แล้ว เห็นได้ว่าพลังงานสูญกึ่งอิสระแห่งนี้นั้นกว้างขวางไม่ใช่ย่อย นัยน์ตาเหยี่ยวทองของจ้าวซินไม่อาจเก็บรายละเอียดจนทั่วพื้นที่พลังงานสูญมาได้ แผนที่ม้วนนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของภูมิประเทศทั้งหมดเท่านั้น

หากยึดตามคำที่ได้รับการสั่งสอนมา ทั้งสองคนจำต้องทำการระบุทิศเหนือใต้ออกตกลงบนแผนที่ โดยใช้ภูเขาหินที่พวกเขายืนอยู่เป็นจุดศูนย์กลาง ป่าที่ซูเฉินเพิ่งจากมาเป็นทางทิศตะวันตก และทางทิศตะวันออกมีแม่น้ำสายหนึ่ง จ้าวซินมุ่งหน้ามาจากทางใต้ ทิศนั้นไม่มีสิ่งใด มีเพียงพื้นที่รกร้างว่างเปล่า หากแต่ทางทิศเหนือพวกเขาสามารถเห็นภูเขาสูงได้ราง ๆ เพ่งมองดูแล้วคล้ายกับจะมีบางอย่างลอยอยู่บนอากาศอีกด้วย

ซูเฉินชี้ไปทางทิศเหนือ “จุดหมายการออกสำรวจตรงนั้นควรจะเป็นเป้าหมายหลักของเรา ส่วนสถานที่ที่เราอยู่ตอนนี้ น่าจะเป็นส่วนนอกของใจกลางสถานที่แห่งนี้กระมัง”

“แล้วจะรออะไรเล่า ? เช่นนั้นก็ออกเดินทางเลย”

“เจ้าไม่ต้องรีบร้อนไป” ซูเฉินเอ่ยยั้งจ้าวซินไว้ “ข้าต้องปรุงยาก่อน”

“ท่านก็ปรุงไว้แล้วบางส่วนไม่ใช่หรือ ?” จ้าวซินเอยถามขึ้น

ซูเฉินส่ายหน้า “ปรุงไว้เพียงยาฟื้นพลังระดับพื้นฐานเท่านั้น ข้ายังต้องปรุงยาระดับสูงที่สามารถเพิ่มความสามารถในการต่อสู้ไว้ใช้ด้วย หากแต่ยาระดับสูงเหล่านี้มีวิธีปรุงซับซ้อน จำต้องใช้เวลาปรุงมากกว่า ดังนั้นข้าจึงต้องการคนคอยเฝ้ายาม ไม่ให้ใครเข้ามารบกวนระหว่างข้าปรุงยาได้”

“เช่นนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง” จ้าวซินได้ยินเช่นนั้นแล้วก็เริ่มรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา

จากนั้นซูเฉินก็พบถ้ำแห่งหนึ่งและเริ่มทำการปรุงยาในถ้ำนั้น

ตอนนี้เขาเป็นนักปรุงยาระดับชำนาญขั้นสุด สามารถปรุงยาระดับสูงได้หลายอย่างแล้ว

ขณะที่ซูเฉินกำลังปรุงยา จ้าวซินเองก็ไม่ได้นั่งรอเฉย ๆ

เขาใช้นัยน์ตาเหยี่ยวทองของเขาคอยเสาะหาศิษย์คนอื่น ๆ ด้วย

จริง ๆ แล้วเขาเห็นคนหลายคนด้วยกัน แต่พวกเขาอยู่ไกลเกินไป หากทำได้เพียงเห็นแล้วทำสิ่งอื่นใดไม่ได้ก็ไร้ประโยชน์ ใจจริงเขาอยากยิงธนูส่งข่าว แต่เกรงว่าตนจะเรียกพวกเผ่าคนเถื่อนมาด้วย การทำเช่นนั้นนับเป็นดาบสองคม หากไม่ได้ตกอยู่ในสถานการณ์คับขันก็ควรหลีกเลี่ยง

หากกังเฮ่าหลีอยู่ด้วยคงดีไม่น้อย

กังเฮ่าหลีเป็นหนึ่งในศิษย์ชั้นปีที่ 7 จำนวน 4 คนที่ได้รับเลือก เขามีทักษะต้นกำเนิดอันทรงพลัง สามารถเชื่อมจิตคนแม้จะเป็นในระยะทางไกลลิบได้ หากแต่เงื่อนไขคือทั้ง 2 คนจำต้องมองเห็นกันได้

เป็นที่รู้กันในหมู่ศิษย์ว่าจ้าวซินและกังเฮ่าหลีทำงานเข้าคู่กันได้เป็นอย่างดี

แต่เมื่อคู่หูถูกแยกจากกันเช่นนี้ แม้จะมีทักษะทรงพลังเช่นไรก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้

แน่นอนว่าจ้าวซินเองก็เห็นเผ่าคนเถื่อนด้วยเช่นกัน

หลายครั้งด้วยกันที่นัยน์ตาเหยี่ยวของเขาตรวจพบเผ่าคนเถื่อนทรงพลังอยู่แถบนั้น

หากเขาสามารถสังหารพวกมันได้ จ้าวซินก็คงลอบสังหารพวกมันไปแล้ว

แต่ไม่นานจ้าวซินก็พบว่าตัวเจ้าปัญหากำลังมุ่งหน้ามาทางพวกเขา

เผ่าคนเถื่อนคนหนึ่งกำลังพุ่งเข้ามายังทิศที่พวกเขาอยู่