ตู่หมิงฮั่วนอนอยู่บนพื้นในสภาพปางตาย เขาพูดออกมาอย่างยากลำบากด้วยแววตาอันน่าเวทนา
“ขะ…ขอโทษ…ไว้ชีวิตข้า”
ด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอด ตู่หมิงฮั่วอ้อนวอนขอชีวิต
ฮั่วฉีหลานที่ช่วงพยุงซือหยูมองอย่างขยะแขยง
“ดูเหมือนเจ้าจะลืมความน่าเวทนานี้ไปตั้งแต่งานประมูลแล้ว! เจ้าก็ขอโทษและขอให้ข้าไว้ชีวิตเจ้าเช่นนี้”
“ตอนนั้น ใครกันที่คุกเข่าขอชีวิตเจ้า? ใครกันที่ตั้งใจจะรับใช้ข้าไปสามปี? นั่นคือตู่หลง! เขารู้อยู่แล้วว่าเจ้าคิดร้าย เขารู้อยู่แล้วว่าตระกูลตู่ไม่ยอมรับ! แต่เขาก็นับว่าเจ้ามาจากตระกูลเดียวกันและคุกเข่าเพื่อเจ้า เต็มใจที่จะเป็นทาส เพียงเพราะสายสัมพันธ์ของตระกูล!”
“แล้วเจ้าล่ะทำอะไร?”
ซือหยูรู้สึกว่าตู่หลงไม่ได้รับความเป็นธรรม
“ตู่หลงทิ้งศักดิ์ศรีของตัวเองเพื่อชีวิตเจ้า แต่เจ้าก็ส่งคนมาสังหารพวกข้าทันทีน่ะรึ? เจ้ารู้อยู่แล้วว่าเขาคือนายน้อยคนก่อน แต่ก็ปลิ้นปล้อนใส่ร้ายว่าเขาปลอมตัวมา เจ้าใส่ร้ายว่าเขาสมคบคิดกับข้า เจ้าไม่สนใจคนที่คุกเข่าเพื่อเจ้าเลย!”
“เจ้าเป็นเดรัจฉานงั้นรึ?”
ตู่หมิงฮั่วปากสั่น
“ขะ…ขอโทษ….”
แววตาอันหวาดกลัวของเขาไร้ซึ่งความเสียใจ เขาเพียงแค่พูดเพื่อยื้ดชีวิตเท่านั้น!
ดวงตาของซือหยูเยือกเย็นถึงขีดสุด
“เจ้า!สมควร!ตาย!”
ฉั่วะ–
ซือหยูไม่ใช่คนที่ลงมือ แต่เป็นฮั่วฉีหลานที่ทะลวงดัชนีเข้าใส่ศีรษะเพราะความขยะแขยงมาโดยตลอด
จากนั้นซือหยูก็หันไปมองจางซือยี่
บาดแผลของจางซือยี่นั้นไม่ได้ร้ายแรงเท่าตู่หมิงฮั่วเลย เขาพยายามจะลุกขึ้นยืนแต่ก็ถูกฮั่วฉีหลานซัดพลังใส่จนกระดูกท่อนล่างหัก เขากรีดร้องและล้มลงกับพื้น
“เจ้าอยากจะฆ่าข้าเรอะ? เจ้าคิดดีๆเสียดีกว่า ถ้าฆ่าข้าเจ้าจะต้องแย่แน่!”
จางซือยี่กุมขาที่กระดูกหัก ใบหน้ารูปงามของเขาบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด
ซือหยูไร้อารมณ์
“แย่งั้นรึ? ตอนที่เจ้าเตรียมตัวจะสังหารและชิงสมบัติของข้า แล้วยังพยายามจะฆ่ารองเจ้าตำหนักสองคน เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าเจ้าจะต้องเป็นฝ่ายที่ต้องกลัวยิ่งกว่าข้า?”
“เจ้าคิดจริงๆถึงว่าหอสดับหิมะจะแข็งแกร่งจนอาณาจักรทมิฬไม่กล้าแตะต้อง เจ้าถึงได้คิดสังหารพวกข้าเช่นนี้?”
จางซือยี่แววตาเปลี่ยนไป หน้าผากมีเหงื่อเย็นผุดออกมา
“เว่ยเทียนเฉินอยู่ในเมืองอันยี่ ถ้าเจ้าฆ่าข้าเขาจะไม่ปล่อยพวกเจ้าทุกคนไปแน่”
ซือหยูยิ้มเยาะเมื่อได้ยิน
“ข้าต้องกลัวคนที่หลบซ่อนอยู่หลังผู้คนด้วยรึ?”
ซือหยูหยุดหัวเราะไม่ได้
“เขาอยากได้ธนูมังกรฟ้าดินของข้า แต่ก็กลัวว่าตัวเองจะไม่ปลอดภัยจึงส่งศิษย์น้องมาทำงานแทนขณะที่ตัวเองนั่งรอรางวัล”
“ถ้าข้ากลัวคนเช่นนั้น ข้าจะไม่แย่ไปกว่าเขารึ?”
ความแน่วแน่ของซือหยูไม่ได้ทำให้จางซือยี่โศกเศร้าเลยแม้แต่น้อย
“หยินหยู! ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเจ้าเลย ถ้าพวกเราหยุดเสียตรงนี้ ข้าก็จะสำนึกเอาไว้! ทำไมเจ้าต้องต้อนข้าในจนมุมเช่นนี้?”
ซือหยูหยุดไปชั่วครู่ เขาส่ายหัว
“ข้าไม่ได้ต้อนใครให้จนมุม ยังมีคนอื่นที่ข้าได้รามือ”
เมื่อมองไปถึงเหตุการณ์ในอดีต…
เจ้าสำนักหลิวเซี่ยนอยากจะสังหารซือหยู สุดท้ายเมื่อซือหยูกลับไปที่สำนักหลิวเซี่ยน เขาก็ไม่ได้ฆ่าเจ้าสำนัก
ตู่หลงได้สร้างปัญหากับซือหยูยิ่งกว่าที่สำนักหลิวเซี่ยนได้ทำไป มีหลายครั้งที่ซือหยูต้องเผชิญหน้ากับความตาย แต่ด้วยสิ่งที่เขาทำให้กับซือหยู ซือหยูจึงไม่ได้เอาชีวิตเขา
“โชคร้ายนักที่ข้าไม่เหลือเหตุผลให้ไว้ชีวิตเจ้า!”
ซือหยูส่ายหัวอย่างเย็นชา
“ข้าปล่อยให้คนอย่างตู่หมิงฮั่วรอยมาก่อน แล้วมันก็ยังกลับมาแว้งกัดข้า ข้าไม่อยากจะเจอเหตุเช่นนั้นเป็นครั้งที่สอง”
“ถ้าเจ้าอยากจะโทษ…ก็โทษตัวเองซะเถอะ เจ้าเลือกศัตรูผิดคน!”
ถ้าเขาไม่เข้ามายุ่งเรื่องของซือหยูกับเกาคัง ไม่พยายามใช้คุณธรรมนำสงคราม ซือหยูก็คงจะไม่ทำอะไรเขา ไม่ว่าซือหยูจะไม่พอใจจางซือยี่เท่าใดก็ตาม แต่เป็นเขาที่ทำร้ายตัวเอง
ฉั่วะ–
ครั้งนี้ ฉีหยุนเซี่ยงซัดพลังออกไป กระบี่ของนางทะลวงหัวใจของจางซือยี่
“เจ้าจะเปลืองน้ำลายกับคนเช่นนี้ไปทำไมกัน?”
ฉีหยุนเซี่ยงพูดด้วยความขยะแขยง
“ตามที่ร่ำลือ บุตรทั้งสี่แห่งหอสดับหิมะนั้นบริสุทธิ์และดีขึ้นในทุกขณะ พวกเขานั้นสุภาพนอบน้อมคู่ควรแก่การนับถือ แต่เมื่อข้าได้เจอกับตา ข่าวลือพวกนั้นก็แค่คำลวงที่คนนอกพูดทั้งนั้น”
ไม่มีใครในโลกนี้ที่สมบูรณ์แบบ
บนโลกที่ไร้คนสมบูรณ์แบบเช่นนี้ ยิ่งผู้คนมองเห็นความสมบูรณ์แบบเท่าใด คนผู้นั้นก็ยิ่งต้องเสแสร้งมากเท่านั้น
“นี่มันเลยเวลาแล้ว พวกเราควรจะรีบไป”
ฮั่วฉีหลานคว้าตัวทั้งสองก่อนจะขึ้นบิน
หนึ่งชั่วยามต่อมา
ลึกไปในป่าอันมืดสนิท
“ที่นี่คือชายเขตของป่าทมิฬ ที่นี่มีมนุษย์อยู่มากจึงมักจะไม่ค่อยพบสัตว์อสูร”
ฮั่วฉีหลานนำทั้งสองไปยังซากปรักหักพัง
ความงดงามในอดีตของที่นี่หลงเหลือแต่เพียงฝุ่นควัน ด้วยกาลเวลาและสภาพอากาศที่กัดกร่อน
“เปิดซะ!”
ฮั่วฉีหลานหายใจเข้าลึก นางรวบรวมพลังวิญญาณมหาศาลในฝ่ามือและแยกแผ่นธรณีใต้พื้นที่ยืนอยู่!
ครืน—
ด้วยพลังของนาง ผืนธรณีแยกกว้างพอจะให้สองคนได้เข้าไป
ประตูเหล็กปรากฏอยู่ที่พื้น
ประตูเหล็กนั้นสีดำสนิทแต่ก็ดูใหม่ ไม่เข้ากับซากปรักหักพังโดยรอบ
“นี่คือผนึกที่เจ้าตำหนักหลิงวางเอาไว้หลังจากที่เขาพบพื้นที่บ่มเพาะพลังงที่นี่ คนที่จะเข้ามาได้มีแต่ผู้ที่มีตราของรองเจ้าตำหนักเท่านั้น”
นางพูดและหยิบตราของตัวเองกับของซือหยูออกมาวางไว้บนประตูเหล็กพร้อมกัน
เมื่อตราทั้งสองสัมผัสกัน ประตูเหล็กก็เปล่งประกาย พลังไร้ลักษณ์ดึงพวกเขาเข้าไปในประตู
ทุกสิ่งเลือนลาง
เมื่อเขาลืมตาอีกครั้งก็พบว่าเขาอยู่ในห้องลับที่มีไฟสว่าง
ห้องนี้ยาวประมาณร้อยเมตร
พื้นที่นั้นกว้างขวาง มีบ่อน้ำอยู่ตรงกลางห้องใต้ดินแห่งนี้
มันจุคนได้หกคน และน้ำในบ่อยังเป็นสีแดงที่ปล่อยแสงมหัศจรรย์ออกมา
เพียงแค่มองซือหยูก็รู้สึกเวียนหัว
ฮั่วฉีหลานจ้องมองบ่อน้ำด้วยความตกใจ มิอาจซ่อนความตื่นเต้นเอาไว้ได้
“ที่นี่คือจุดหมายของเรา บ่อเคลือบจินตนา!”
ฮั่วฉีหลานหายใจยาวเพื่อข่มความตื่นเต้นเอาไว้ภายใน
ซือหยูเลิกคิ้ว
“เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อฝึกฝนหรอกรึ?”
ซือหยูคิดว่าการฝึกฝนคือการผจญภัยในป่าและทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น
เขาจะฝึกฝนได้ถ้าลงน้ำในบ่องั้นรึ?
ตั้งแต่ที่ฮั่วฉีหลานเข้ามาในห้องลับ นางไม่ได้ละสายตาไปจากบ่อน้ำเลยสักครั้ง นางวิ่งไปทางบ่อน้ำขณะอธิบาย
“การฝึกร่างกายก็คือกายฝึก การฝึกจิตใจก็คือการฝึกเช่นกัน”
“น้ำในบ่อเคลือบจินตนาจะพาผู้คนไปยังโลกแห่งความฝันและทำให้จิตใจแข็งแกร่งขึ้น!”
“หากผ่านบททดสอบนี้ สิ่งที่รบกวนจิตใจก็จะหายไปอย่างมาก จากนั้นม่านดวงวิญญาณก็จะสลาย ทำให้ร่างกายและดวงวิญญารได้หลอมรวมกัน จากนั้นจะไม่มีสิ่งกีดขวางใดในการบ่มเพาะพลังอีก ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเจ้าก็จะเร็วขึ้นกว่าเดิมอย่างมาก!”
“และเจ้ายังสามารถใช้ดวงวิญญาณที่แข็งแกร่งขึ้นเพิ่มระดับปัญญา วิชาบ่มเพาะของเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นไปอีก!”
ซือหยูประหลาดใจมากเมื่อได้ยินเช่นนี้
การฝึกฝนนี้เพื่อจิตใจหรอกรึ?
และมันก็ยังมีผลกับวิชาบ่มเพาะอย่างมาก!
อรหันต์แปดอักษรของซือหยูได้ไปถึงขีดกำจัดของขั้นแรกเริ่มแต่ก็มีเส้นกั้นบางๆที่แบ่งแยกเขาออกจากขั้นต้น มันเป็นเส้นกั้นที่เขาไม่อาจข้ามผ่าน
ดูเหมือนว่าเขาจะขาดอะไรไป
ส่วนฎีกาสวรรค์ เขาได้บ่มเพาะจนถึงระดับเทพ แต่พลังของมันก็ไม่แข็งแกร่งอย่างที่เขาคิดไว้ ราวกับว่ามันขาดสิ่งใดไป
ทั้งวิชาและฎีกาสวรรค์ได้เป็นปัญหาต่อซือหยูมาเป็นเวลานาน
หรือว่าบ่อเคลือบจินตนาจะทำให้เขาข้ามผ่านมันไปได้?
ซือหยูลงสู่บ่อด้วยความคาดหวัง