[ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ : จักรพรรดิ์เทพมังกร]
บทที่ 450 : หลิงหยุน!
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาพุ่งตัวเข้าไปหาท่านหมอเสี่ยวพร้อมกับทิ้งตัวลงในอ้อมแขนของเขา จากนั้นน้ำตาก็ไหลพร่างพรูออกมาเต็มไปหน้า เธอร้องไห้หนักจนไหล่ทั้งสองข้างสั่นอย่างรุนแรกง
ใบหน้าของท่านหมอเสี่ยวก็เปื้อนไปด้วยน้ำตาเช่นกัน เขาลูบแผ่นหลังของเหมี่ยวเสี่ยวเหมาอย่างอ่อนโยน และปลอบปะโลมเธอ
“เด็กดี.. ในที่สุดเจ้าก็กลับบ้านแล้ว ไม่ร้องนะ.. ไม่ร้อง..”
หลิงหยุนมองภาพที่ซาบซึ้งกินใจอยู่อย่างเงียบๆ..
เขายืนนิ่งจ้องมองปู่และหลานสาวที่กำลังกอดกันร้องไห้ ช่างเป็นภาพที่สะเทือนใจและประทับใจอย่างมากจนหลิงหยุนถึงกับใจสั่น และไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
ในที่สุดเหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็ได้พบกับปู่ของเธอ.. แล้วตัวเขาล่ะ? โลกที่กว้างใหญ่ไพศาลใบนี้ มีที่ใดบ้างที่เป็นบ้านสำหรับเขา? ทุกคนต่างก็มีครอบครัว.. แล้วตัวเขาล่ะ.. ญาติพี่น้องของเขาอยู่ที่ใหนกันแน่?
แน่นอนว่าฉินจิวยื่อและหนิงหลิงยู่ก็คือเครือญาติที่สนิทที่สุดสำหรับเขาในเวลานี้ แต่นั่นก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าเขาเป็นเพียงลูกบุญธรรมได้! ทั้งคู่อาจจะเป็นครอบครัวของเขา แต่ก็ไม่ใช่สายเลือด!
แม้ว่าหลิงหยุนจะไม่ได้ใส่ใจในเรื่องฐานะของตัวเองมากนัก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ต้องการบ้าน ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ต้องการพบหน้าพ่อแม่แท้ๆของตัวเอง!
เพราะถึงอย่างไร.. หลังจากที่เขาได้รักษาเส้นลมปราณหยางเจี๋วยและลดน้ำหนักแล้ว ร่างนี้ก็นับว่าเป็นร่างที่ดีมากที่พ่อแม่คู่นี้ได้มอบให้กับเขา
แต่มีสิ่งหนึ่งที่แม้แต่ตัวเขาเองก็แทบไม่อยากจะเชื่อ นั่นก็คือรูปลักษณ์ภายนอกของหลิงหยุนบนโลกใบนี้นั้น ช่างเหมือนกับรูปลักษณ์ของเขาที่อยู่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ชนิดที่ไม่มีจุดแตกต่างเลยแม้แต่นิดเดียว
แม้หลิงหยุนจะไม่เคยเปิดเผยความต้องการของตนเองออกมาให้ใครรู้ แต่ในใจของเขานั้นมีความโหยหาที่อยากจะพบพ่อแม่ที่ได้มอบร่างกายนี้ให้กับเขา และเป็นร่างที่เขายอมรับมันจากหัวใจ
ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งเพียงใด และไม่ว่านี่จะเป็นบททดสอบที่เหี้ยมโหดจากสวรรค์ หรือจะเป็นเพราะโชคชะตาก็ตาม ในเมื่อเขายอมรับทุกอย่างของร่างนี้แล้ว เขาก็ต้องการบ้านที่สมบูรณ์!
หลิงหยุนรู้ว่าพ่อแม่ที่ให้กำเนิดร่างนี้ ต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน และที่พวกท่านต้องทอดทิ้งเขานั้น ก็อาจเพราะสถานการณ์บีบบังคับ อีกทั้งตัวเขาเองยังถูกทำลายเส้นหยางเจี๋วยตั้งแต่เด็กอีกด้วย
ไม่เพียงแค่เขาต้องสืบหาศัตรูที่ต้องการสังหารตนเอง แต่ยังต้องค้นหาครอบครัวที่ตนเองสืบสายเลือดมาด้วย และนี่คือภารกิจที่หลิงหยุนไม่เคยพูดให้ใครฟัง เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา!
แต่ถึงกระนั้น.. เขาก็ยังมีบ้านที่แท้จริงของตัวเองอยู่ ซึ่งก็คือโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่และลึกลับนั่นเอง!
ที่นั่น.. เขามีอาจารย์ที่ใจดี มีเพื่อนที่เผชิญความยากลำบากมาด้วยกัน มีพี่น้องที่ไล่ล่าสังหารศัตรูเคียงบ่าเคียงไหล่กัน และมีสาวงามที่ยากจะลืมเลือน!
แต่หลังจากที่เขาได้เห็นเส้นทางดวงดาวที่พู่กันจักรพรรดิวาดขึ้นกลางอากาศในถ้ำแห่งนั้น หลิงหยุนจึงได้รู้ว่าการจะกลับไปที่นั่นคงเป็นเพียงแค่ความฝัน เพราะระยะทางจากโลกมนุษย์ไปถึงโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่นั้น เป็นเส้นทางที่ไกลเกินไป!
ท่ามกลางจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาลและเวิ้งว้างหาที่สิ้นสุดไม่ได้นั้น แม้แต่ความทรงจำที่ไร้ขีดจำกัดของเขานั้น ก็ยังไม่อาจจดจำเส้นทางดวงดาวนั้นไว้ได้หมด เขาจำได้เพียงแค่ส่วนเดียว ที่เหลือนั้นเขาจำอะไรไม่ได้เลย!
แต่ต่อให้เขาสามารถจดจำเส้นทางดวงดาวที่ทอดไปยังโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ได้ทั้งหมด เขาก็ไม่แข็งแกร่งพอที่จะกลับไปที่นั่นได้!
ท่ามกลางดวงดาวมากมายในจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาลนั้น.. คงมีเพียงเทพเจ้าเท่านั้นที่จะรู้ว่ามีปีศาจที่แข็งแกร่งมากมายเพียงใดที่เขาจะต้องเผชิญระหว่างเส้นทางนั้น!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้.. หลิงหยุนได้แต่ถอนใจออกมา และรอยยิ้มขมขื่นก็ปรากฏอยู่บนใบหน้าที่หล่อเหลาของเขา ไม่มีใครที่เขาจะสามารถแบ่งปัน หรือบอกเล่าความขมขื่นในใจได้เลยแม้แต่คนเดียว.. ไม่มีเลย!
หลิงหยุนทำได้เพียงแค่ฝึกฝนอย่างหนักเพื่อให้ตนเองค่อยๆแข็งแกร่งขึ้นทีละเล็กทีละน้อยไปตามลำดับ..
การจะกลับไปยังโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่นั้น อย่าว่าแต่เขาจะสามารถฝึกฝนจนเข้าสู่ขั้นอมตะได้ หรือแม้แต่จะฝึกจนเป็นเซียนบนโลกใบนี้ได้ ก็ใช่ว่าเขาจะสามารถเดินทางกลับไปที่นั่นได้!
นั่นเพราะหลิงหยุนเริ่มค้นพบว่า.. ในดาวเคราะห์ดวงเล็กๆที่เรียกว่าโลกแห่งนี้นั้น นับวันยิ่งมีความลึกลับเพิ่มขึ้นมากมายจนน่ากลัว!
ไม่ว่าจะเป็นค่ายกลมังกรหยินหยาง หลวงจีนกายเพชรที่พบในตำแหน่งดวงตาหยาง สิ่งเหล่านี้สามารถสังหารผู้คนให้ตายได้ภายในเวลาเพียงแค่ชั่วพริบตา
หากเขาต้องปะทะกับหลวงจีนกายเพชรที่พบในอารามเล็กๆแห่งนั้น และเขายังฝึกดารกะดายันไม่ถึงขั้นเจ็ดแล้วล่ะก็ รับรองว่าเขาคงต้องถูกหลวงจีนกายเพชรฆ่าตายได้อย่างง่ายดาย
การฝึกตนของหลวงจีนกายเพชรซึ่งอาศัยอยู่บนโลกใบนี้ช่างน่ากลัวมากจริงๆ ทุกครั้งที่หลิงหยุนนึกถึงอารามเล็กๆแห่งนั้น และนึกถึงพลังพุทธะที่เขาได้สัมผัสมานั้น เขาจะรู้สึกเย็นวาบไปทั่วทั้งกระดูกสันหลังเลยทีเดียว และจนถึงตอนนี้เขาเองก็เพิ่งจะรู้ว่าพลังนั่นน่ากลัวอย่างมหาศาล..
เขาไม่รู้แม้กระทั่งว่าหลวงจีนกายเพชรรูปนั้นยังมีชีวิตอยู่ หรือว่ามรณภาพไปแล้วกันแน่.. ไม่แน่ว่าร่างที่เขาเห็นนั้นอาจจะเป็นเพียงร่างแปลงก็เป็นได้!
และแน่นอนว่ายอดฝีมือระดับนั้น ก็คงต้องการครอบครองสมุดและพู่กันจักรพรรดิเช่นกัน..!
แต่นับว่ายังโชคดีที่ตอนนี้ทั้งพู่กันและสมุดจักรพรรดิต่างก็เข้าไปอยู่ในร่างกายของเขาแล้ว ทำให้หลิงหยุนรู้สึมั่นใจอย่างมาก!
“คนพวกนั้นคงหมดหนทางที่จะแย่งมันไปจากข้าได้! เพราะไม่รู้ว่าจะแย่งไปได้อย่างไร..”
………..
“หลิงหยุน.. หลิงหยุน.. นี่เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่? เข้าไปคุยกันในบ้านดีกว่า..” ท่านเสี่ยวหมอเทวดาร้องเรียกหลิงหยุนเสียงดัง
หลิงหยุนถูกปลุกให้ตื่นจากภวังค์ทันที เขาเงยหน้ามองเหมี่ยวเสี่ยวเหมาที่อยู่ในอ้อมกอดของท่านหมอเสี่ยว แล้วจึงพูดกับท่านหมอเสี่ยวว่า..
“อาวุโส.. ท่านเพิ่งจะได้พบกับหลานสาว คงมีเรื่องคุยกันมากมาย ข้าไม่อยู่รบกวนจะดีกว่า..”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาที่ตอนนี้เช็ดน้ำตาจนแห้งแล้ว แต่ดวงตายังคงแดงก่ำอยู่ ได้แต่เหลือบมองหลิงหยุนแต่ไม่ได้พูดอะไร
ท่านหมอเสี่ยวเองที่เพิ่งจะสงบสติอารมณ์ลงได้นั้น ยิ้มให้หลิงหยุนพร้อมตอบกลับไปว่า “พ่อหนุ่ม.. วันนี้เจ้าดูมีมารยาทผิดปกตินะ!?”
หลิงหยุนยังคงยืนยันที่จะไป เขาเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อยและตอบกลับไปว่า “อาวุโส.. ข้ามีเรื่องต้องไปทำอีกหลายอย่างไม่สามารถอยู่ต่อได้จริงๆ แต่เย็นนี้ข้าจะไปรับหนิงน้อยที่โรงเรียนให้ ปู่หลานจะได้นั่งคุยกันอยู่ที่บ้านให้หายคิดถึง!”
หลังจากนั้น.. หลิงหยุนก็ได้ส่งกระแสจิตบอกท่านหมอเสี่ยวว่า “ไม่ต้องห่วงเรื่องหนิงน้อย ข้าจะอธิบายทุกอย่างให้นางฟังเอง และมั่นใจว่านางจะสามารถยอมรับเหมี่ยวเสี่ยวเหมาได้”
ตอนนี้หลิงหยุนเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-6 แล้ว การส่งกระแสจิตในขั้นนี้ ไม่จำเป็นที่เขาจะต้องขยับริมฝีปากเลยแม้แต่น้อย
คำพูดของหลิงหยุนนั้นท่านหมอเสี่ยวได้ยินอย่างชัดเจน เขาจึงพยักหน้าพร้อมกับตอบหลิงหยุนไปว่า “ถ้าเช่นนั้นก็กลับไปทำงานของเจ้าเถอะนะ ข้าเองก็จะนั่งคุยกับหลานสาว”
รูปลักษณ์ของเหมี่ยวเสี่ยวเหมานั้นสวยงามและมีเสน่ห์ไม่ต่างจากเหมี่ยวเฟิงหวง ท่านหมอเสี่ยวดีใจอย่างมากที่ได้พบหลานสาว เขาพาเหมี่ยวเสี่ยวเหมาเดินออกไปส่งหลิงหยุนที่ลานหน้าบ้าน
ก่อนที่เหมี่ยวเสี่ยวเหมาจะหันกลับไป เธอก็ส่งยิ้มให้หลิงหยุนจนตาหยี จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ไว้กลับไปแล้วค่อยคุยกันนะ!”
หลิงหยุนถึงกับตะลึง และพูดหยอกล้อกับเหมี่ยวเสี่ยวเหมา “ไม่ต้องตอบแทนผมมากนักนะ ขอแค่สามสิบ หรือห้าสิบล้านก็พอ!”
จากนั้นปู่และหลานก็เดินเข้าไปในบ้าน หลิงหยุนก็ขับรถออกจากบ้านไปทันที
……….
หลิงหยุนกลับไปหาเหล่ากุ่ยและเจ้าขาวปุยที่บ้าน แต่กลับพบว่าตู้กู่โม่อยู่ที่บ้านเพียงลำพัง และตอนนี้ก็กำลังนั่งลูบไล้กระบี่มังกรขาวอยู่
หลิงหยุนจึงร้องถามขึ้นว่า “ทำไมนายถึงอยู่บ้านคนเดียวล่ะ? เหล่ากุ่ยกับขาวปุยไปใหน?”
ตู้กู่โม่ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองหลิงหยุน มือขวาของเขาถือดาบ ส่วนนิ้วชี้กับนิ้วกลางก็ลูบไล้กระบี่ไปมาอย่างทะนุถนอม ราวกับกำลังสัมผัสหญิงสาวอันเป็นที่รักอยู่ ส่วนปากก็ร้องตอบหลิงหยุนไปอย่างไม่สนใจ
“เหล่ากุ่ยออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้ายังไม่กลับมา ส่วนเจ้าขาวปุยออกไปตั้งแต่เมื่อคืน และตอนนี้ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา..”
หลิงหยุนมองตู้กู่โม่ที่เอาแต่สนใจกระบี่ในมือจนอดโมโหไม่ได้ เขายกเท้าขึ้นเตะตู้กู่โม่ลอยขึ้นไปกลางอากาศราวสามเมตรพร้อมกับร้องตะโกนว่า
“นี่แน่ะ..! เอาแต่เล่นกระบี่.. มาช่วยข้าทำงานได้แล้ว!”
ร่างของตู้กู่โม่ลอยขึ้นไปกลางอากาศ เขาทรงตัวพร้อมโต้ตอบกลับไปเสียงดังด้วยความโมโห
“เจ้าบ้านี่..! ถ้าคนธรรมดาโดนเจ้าเตะแบบนี้ไม่ตายไปแล้วหรือไง?”
หลิงหยุนเตะตู้กู่โม่โดยที่เขายังไม่ทันได้ตั้งตัว แม้เขาพยายามจะหลบแล้ว แต่เท้าของหลิงหยุนก็ไวมาก..
ความแข็งแกร่งของหลิงหยุนในขั้นปรับร่างกาย-6 นั้นเทียบเท่ากับขั้นเซียงเทียน-3 ที่สามารถฆ่ายอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-1 ได้อย่างง่ายดาย จึงไม่ต้องพูดถึงตู้กู่โม่ที่เพิ่งอยู่ในระดับเริ่มต้นของขั้นเซียงเทียน-1 เท่านั้น
“น่าเสียดายที่เจ้าไม่ใช่คนธรรมดา..”
“วันๆข้าไม่เห็นเจ้าทำอะไรเลย! มาช่วยข้าปลุกเสกยันต์เร็วเข้า!”
หลิงหยุนต้องไปที่เกาะเตียวหยู่ และที่นั่นก็อยู่กลางทะเลที่ล้อมรอบไปด้วยผืนน้ำ เขาไม่รู้ว่าจะต้องไปเผชิญหน้ากับสถานการณ์อะไรบ้าง อีกทั้งที่นั่นยังฐานทัพของคนญี่ปุ่นอยู่ด้วย เขาจึงจำเป็นต้องเตรียมตัวไปอย่างดีเพื่อเผชิญหน้ากับการปะทะครั้งใหญ่
แต่แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการเตรียมการช่วยเหลือเจ้าขาวปุยในเรืองของการที่ต้องเผชิญกับบททดสอบที่เหี้ยมโหด ซึ่งไม่ว่าจะเป็นนักบ่มเพาะตามแนวทางเต๋า ปีศาจ มาร หรือแม้แต่ภูตผี ก็ต้องผ่านบททดสอบนี้กันทั้งนั้น ซึ่งหลิงหยุนไม่ต้องการให้เจ้าขาวปุยเผชิญกับเรื่องนี้ตามลำพัง และต้องให้มั่นใจว่า ต่อให้เจ้าขาวปุยไม่สามารถผ่านบทดสอบนี้ไปได้ มันก็จะยังคงปลอดภัยดี!
เมื่อครั้งที่หลิงหยุนอยู่ในระดับสูงสุดของขั้นปรับร่างกาย-4 นั้น เขาสามารถปลุกเสกยันต์อัคนี และยันต์บำบัดระดับหนึ่งได้ แต่ตอนนี้เขาได้เข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-6 แล้ว หลิงหยุนจึงมั่นใจว่าตนเองจะสามารถปลุกเสกยันต์ระดับสองได้อย่างแน่นอน
นอกเหนือจากยันต์ขุมพลังที่หลิงหยุนต้องปลุกเสกและนำติดตัวไปด้วยแล้ว ก็ยังมียันต์จ้าวสมุทรที่เขาจะต้องเตรียมไว้ในกรณีที่ถูกพายุพัดตกลงไปในทะเล
หรือยันต์เพชร ยันต์อสนี ยันต์บำบัด ยันต์เกราะ ที่จะช่วยให้เจ้าขาวปุยสามารถต้านทานบททดสอบที่แสนโหดร้ายได้ ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถช่วยได้มากมาย แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าที่จะใช้ร่างของมันรับสายฟ้าฟาดที่รุนแรงโดยไม่มีเครื่องทุ่นแรง
“ปลุกเสกยันต์เหรอ? ยันต์อัคนีกับยันต์บำบัดที่นายเคยใช้ใช่ไม๊?” ตู้กู่โม่ถามอย่างตื่นเต้น
หลิงหยุนหัวเราะ “นั่นเด็กไปแล้ว.. ครั้งนี้ข้าต้องการทำยันต์ชนิดอื่นให้เจ้าได้เปิดหูเปิดตา!”
ตู้กู่โม่ได้ฟังถึงกับร้องออกมาอย่างตกใจ “นี่เจ้ายังทำปลุกเสกยันต์ชนิดอื่นได้อีกหรือนี่?”
หลิงหยุนตอบกลับอย่างภาคภูมิใจ “แน่นอนอยู่แล้ว!”