เงาคนกะพริบวูบ เสียงร้องโหยหวนดัง “อ๊าก” น้ำมันร้อนสาดกระเซ็น ยามนี้เหล่าบุรุษที่ตะลึงงันในโฉมงามกับความกล้าหาญของโฉมงามเพิ่งรู้สึกตัวขึ้นมา เปล่งเสียงตวาดไม่ขาดปาก

 

 

“มือสังหาร! มือสังหาร!”

 

 

“มาเร็ว!”

 

 

“จับไว้!”

 

 

จิ่งเหิงปัวลอยออกไปสามจั้งพอดี หลบมีดเล่มหนึ่งที่แทงเข้ามาข้างกาย

 

 

คนเยอะไปก็วุ่นวายเหลือเกิน นางเห็นไม่ชัดด้วยซ้ำว่าเป็นใครที่ลงมือ แต่กระนั้นนางก็ไม่สนใจ กะพริบกายถอยแล้วพลันกะพริบเข้าไปข้างโต๊ะดังฟิ้ว ยกมือพลิกคว่ำทั้งโต๊ะทันที

 

 

ถ้วยชามหกกระจาย น้ำแกงสาดกระเซ็นไปทั่วสารทิศ เสียงเครื่องกระเบื้องแตกร้าวดังชัดเจนติดต่อกัน คนทั้งโต๊ะถอยหลังอย่างตื่นตระหนก คนที่อยู่ใกล้หน้าต่างถึงขนาดคิดจะกระโดดหน้าต่างออกไป

 

 

จิ่งเหิงปัวยกมือขึ้นเพียงครั้ง ปิดหน้าต่างลงดังพลั่ก ผู้อาวุโสที่เตรียมจะพุ่งออกไปคนนั้นชนหน้าต่างหน้าตาฟกช้ำ

 

 

ข้างหลังมีเสียงวิ่งขึ้นบันไดอย่างบ้าคลั่ง ฝีเท้าตึกๆ คนที่อยู่ข้างล่างได้ยินเสียงรีบตามช่วยแล้ว

 

 

จิ่งเหิงปัวสะบัดมือเพียงครั้ง ตู้หนักอึ้งที่ใช้สำหรับใส่อุปกรณ์ชงชาข้างกำแพงลอยขึ้นขวางประตูไว้ จากนั้นคนอีกกลุ่มก็ชนประตูดังพลั่กๆ

 

 

ทั้งประตูและหน้าต่างถูกขวางไว้ เศษกระเบื้องกระจายทั่วพื้น จิ่งเหิงปัวสะบัดมือเพียงครั้ง เศษกระเบื้องก็ลอยขึ้น

 

 

เหล่าเจ้ายุทธจักรเงยหน้าอย่างงงงัน

 

 

พวกเขามองเห็นทิวทัศน์อัศจรรย์

 

 

เศษกระเบื้องหลากสีสันนับมิถ้วนลอยขึ้นปลิวว่อน คล้ายอาวุธลับนับมิถ้วนผลุบโผล่ในอากาศ ปกคลุมห้องรับรองแขกสำคัญที่ใหญ่โตห้องนี้ ขอบมุมที่แหลมคมของเศษกระเบื้องเหล่านั้นเปล่งประกายระยิบระยับใต้แสงไฟ คำรามข้างกายพวกเขา ล้อมพวกเขาไว้อย่างแน่นหนา

 

 

ทุกคนมองฉากนี้อย่างตกตะลึง ไม่เข้าใจว่าเศษกระเบื้องเหล่านี้ลอยขึ้นทั้งหมดได้อย่างไร ทุกคนที่นี่เคลื่อนย้ายสิ่งของด้วยกําลังภายในได้ ทว่าหากจะควบคุมเศษกระเบื้องแตกทั้งเล็กทั้งใหญ่นี้ให้ลอยขึ้นทั้งหมด ฉวัดเฉวียนไม่ร่วงหล่นเป็นเวลานานขนาดนี้ในพื้นที่ใหญ่โตเช่นนี้ดั่งหิมะโปรยปราย ผู้ใดก็ไม่มีกําลังภายในที่แข็งแกร่งขนาดนี้

 

 

ทุกคนที่ทั่วทั้งร่างเปียกโชกเลอะเทอะต่างยืนอยู่ตรงนั้น ในใจรู้ว่าเศษกระเบื้องเหล่านี้จะเจาะทะลวงร่างกายของพวกเขา สร้างบาดแผลนับมิถ้วนได้ตลอดเวลา แม้กระทั่งอาจสะบั้นเส้นลมปราณของพวกเขา ทะลวงอวัยวะภายในของพวกเขา แทงผ่านร่างกายของพวกเขาได้…

 

 

ทุกคนหนาวสั่นไปทั่วร่าง อดจะมองไปทางจิ่งเหิงปัวไม่ได้ แต่ตอนนี้จิ่งเหิงปัวยังมัวแต่ปิดหน้าต่าง สกัดกั้นทุกคนที่คิดจะหนีออกไปทางหน้าต่าง…หน้าต่างของภัตตาคารแห่งนี้ทำขึ้นเป็นพิเศษ ข้างนอกหุ้มเหล็ก พอปิดแล้ว หากคิดจะออกไปก็ไม่ง่ายดายขนาดนั้น

 

 

ทุกคนยิ่งมีสีหน้าตื่นตะลึง พวกเขาไม่คิดว่าระหว่างที่ปิดหน้าต่างจิ่งเหิงปัวจะยังควบคุมเศษกระเบื้องให้ปลิวว่อนติดต่อกันเช่นนี้ได้

 

 

ยามนี้เศษกระเบื้องปลิวว่อน คนส่วนใหญ่ไม่กล้าขยับเขยื้อน กลัวว่าพอขยับแล้วเศษกระเบื้องเหล่านั้นที่คำรามล้อมพวกเขาราวกับคล้ายกำลังหาเนื้ออ่อนบนร่างก็จะแทงเข้าร่างกายโดยพลัน

 

 

การรอคอยเคราะห์ร้ายเช่นนี้ไม่น่าอภิรมย์เลย ทุกคนต่างมีสีหน้าซีดเผือด

 

 

คนที่ลงมือย่อมเป็นจิ่งเหิงปัว ตอนนี้การควบคุมประตูหน้าต่างและเศษกระเบื้องพร้อมกันไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับนาง หลังจากที่ได้ฝึกร้องเพลงตกอกตกใจซักกางเกงในแล้วแยกเข้าลิ้นชักตามสีสันแล้ว ทำมากกว่านี้พร้อมกันก็ไม่เป็นไร

 

 

นางควบคุมประตูสกัดกั้นคนเหล่านี้ไว้ รู้สึกรำไรคล้ายขาดไปคนสองคน แต่ตอนนี้ก็ไม่มีกะจิตกะใจที่จะตรวจสอบ

 

 

นางไม่ได้สังเกตว่าหลังโต๊ะกลมใหญ่ คนสองคนซ่อนอย่างมิดชิดในมุมอับที่เศษกระเบื้องจู่โจมไม่ถึง

 

 

องครักษ์ใหญ่ชวีเซ่าหงกับองครักษ์รองเจี่ยนจือจั๋วแห่งกลุ่มสิบสามองครักษ์

 

 

เมื่อครู่ที่จิ่งเหิงปัวล้มโต๊ะคว่ำอาหาร คนส่วนใหญ่วิ่งไปปากประตู หรือไม่ก็วิ่งไปข้างหน้าต่าง ชวีเซ่าหงคิดหนีไปทางหน้าต่างด้วย ทว่าถูกเจี่ยนจือจั๋วดึงไว้

 

 

เจี่ยนจือจั๋วจูงชวีเซ่าหงเข้าใต้โต๊ะ สองคนแนบอยู่ข้างล่าง กระแสลมของจิ่งเหิงปัวคำรามพลิกรอบโต๊ะ จึงมองไม่เห็นเงาสองคนนี้

 

 

ท่ามกลางความมืดมิดใต้โต๊ะ เจี่ยนจือจั๋วฟังการเคลื่อนไหวข้างนอก สีหน้าใคร่ครวญ

 

 

ข้างนอก จิ่งเหิงปัวปิดตายหน้าต่าง มองคนฝูงนี้ หัวเราะเยาะเสียงหนึ่ง

 

 

คนที่โดนเศษกระเบื้องล้อมไว้แน่นหนาที่สุดก็คือท่านมู่ ตอนนี้นางโกรธแค้นคนคนนี้…ไม่ว่าเขาเป็นคนสั่งอาหารนี้หรือไม่ แต่ไม่นึกว่าเขาจะกิน!

 

 

พริบตาเดียว ทุกความประทับใจที่มีต่อคนคนนี้ก่อนหน้านี้หายไปหมดแล้ว

 

 

กิน! กิน! กินให้ตายไปเลย!

 

 

นางสะบัดมือเพียงครั้ง เศษกระเบื้องร่วงลงทางท่านมู่ก่อนเป็นคนแรก!

 

 

ทุกคนรอบด้านนึกไม่ถึงว่านางจะจัดการท่านมู่ก่อน ต่างพากันเผยสีหน้ารื่นรมย์

 

 

อีกไม่นานเศษกระเบื้องก็จะแทงท่านมู่เป็นรูพรุน

 

 

เขาพลันกะพริบวูบเป็นเงา หายไปแล้ว

 

 

พริบตาต่อมาจิ่งเหิงปัวรู้สึกเย็นวาบตรงหลังคอ จากนั้นก็ร้อนวาบ

 

 

บางคนใช้นิ้วมือวางไว้บนหลังคอของนาง จากนั้นก็เป่าลมครั้งหนึ่ง

 

 

ลมหายใจนี้ทำให้นางตกใจจนขนลุกไปหมด…ทำไมข้างหลังตัวเองถึงมีคน? ทั้งๆ ที่ข้างหลังเป็นตู้ชัดๆ! แล้วเขาเข้ามาได้อย่างไร?

 

 

หางตาชำเลืองเห็นเสื้อคลุมผ้าไหมสีเขียวน้ำเงิน สีสันที่เรียบหรูงดงาม นางจำได้ว่าเป็นท่านมู่

 

 

เขานั่งบนตู้ แขนข้างหนึ่งทับบนไหล่นาง ริมฝีปากใกล้ชิดแก้มนาง ท่าทางคล้ายค้ำไหล่นางแล้วกระซิบวาจาข้างหูอย่างสนิทสนม

 

 

แต่ว่าค้ำไว้แบบนี้ นางก็หายตัวไม่ได้แล้ว

 

 

นางท้อใจ รู้สึกเหลือเชื่อ ตอนนี้นางต่างกับตอนนั้นมากแล้ว เหตุใดยังเจอคนที่จัดการตัวเองได้ทุกอย่างแบบนี้?

 

 

แม้หายตัวไม่ได้ เคลื่อนย้ายสิ่งของยังไหว เมื่อนางทำแล้วต้องทำให้ถึงที่สุด มือสะบัดเพียงครั้ง เศษกระเบื้องก็คำรามเหาะเหิน

 

 

ไม่ว่าท่านมู่คนนี้จะทำอะไร ฝากของที่ระลึกที่ลึกซึ้งให้เหล่าเจ้ายุทธจักรไต้เม่าที่น่ารังเกียจพวกนี้ก่อนค่อยว่ากัน!

 

 

ทว่ายามนี้ ท่านมู่ที่อยู่ข้างหลังนางกลับสะบัดแขนเสื้อ

 

 

เศษกระเบื้องที่ปลิวว่อนทั่วเพดานพลันรวบเป็นช่อเดียว มุ่งสู่หลัวซา!

 

 

หลัวซาเฉลียวฉลาดยิ่งนัก นางหลบอยู่ตรงมุม หลังพิงกำแพงตลอดเวลาเช่นนี้ เศษกระเบื้องไม่มีทางก่อตัวล้อมนางได้ ได้แต่ลอยอยู่ตรงหน้านาง นางคิดว่าหากเศษกระเบื้องแทงลงมาจริง นางก็จะกระแทกกำแพงหนีไป

 

 

แม้หนีไปเช่นนี้เสื่อมเสียชื่อเสียงยิ่งนัก แต่ยามนี้ก็ไม่ทันได้ห่วงศักดิ์ศรีแล้ว

 

 

ทว่าขณะที่นางกำลังภูมิใจในความฉลาดของตน เศษกระเบื้องทั่วทั้งห้องพลันคล้ายถูกดึงไป รวมเป็นช่อเดียว โผล่มาตรงหน้านาง!

 

 

นางเบิกตากว้างในชั่วพริบตา เห็นเศษกระเบื้องตรงหน้ารวมเป็นสากยักษ์หลากสีสันอันหนึ่ง! พุ่งมาตรงหน้าอกนาง

 

 

นางยกมือแกว่งมีดอย่างตื่นตะลึง หวังปัดสากยักษ์ออกไปพลางคิดกระแทกกำแพงให้พังทลาย

 

 

ร่างกายกลับพลันสูญสิ้นเรี่ยวแรง กระแทกกำแพงไม่พังทลาย มีดปะทะกับสากยักษ์ เศษกระเบื้องพลันกระจายออก ลอยไปรอบมีด

 

 

ผ่านมีดมาได้แล้ว เศษกระเบื้องก็พลันรวมเป็นช่อเดียวอีกครั้ง เฉียดผ่านข้อมือที่ชูขึ้นของนางดังฟิ้ว

 

 

เสียงร้องโหยหวนของหลัวซาดังสะท้านฟ้าดิน

 

 

เหล่าเจ้ายุทธจักรยืนทื่อในห้อง ปากอ้าตาค้างมองเหตุการณ์ตรงหน้า

 

 

เศษกระเบื้องนับมิถ้วนกรีดผ่านข้อมือหลัวซา เศษกระเบื้องเล็กกระจ้อย แผลที่เกิดขึ้นย่อมไม่ใหญ่ ทว่าเศษกระเบื้องจำนวนมาก ไล่ตามไม่ลดละ กรีดข้อมือของหลัวซาทั่วทุกหนแห่ง แลคล้ายเลื่อยค่อยๆ เลื่อยท่อนไม้ เลือดเนื้อนับมิถ้วนทยอยโปรยลงมาประหนึ่งเศษไม้

 

 

หลัวซาเจ็บจนกรีดร้องอย่างควบคุมไม่ได้ วิ่งกระเจิดกระเจิงสุดชีวิต หวังวิ่งหนีเศษกระเบื้องน่ากลัวเหล่านี้ที่คลุ้มคลั่งดั่งวิญญาณสิงสถิต ทว่านางวิ่งไปที่ใด เศษกระเบื้องก็ตามไปที่นั่น หลากสีสันเหินว่อน เปรียบเสมือนวิญญาณที่วูบวาบไปมาไม่มีตัวตน ไล่ตามไม่ยอมเลิกรา กรีดแล้วกรีดเล่าๆ ทีละเล็กละน้อย…

 

 

โลหิตแดงฉานกระเซ็นทั่วพื้น ยามแรกสิ่งที่เลื่อยออกมาเป็นเนื้อหนัง แล้วค่อยๆ เป็นเศษกระดูกขาวราวหิมะ หลัวซาหนีเลื่อยแล่เนื้อเถือหนังที่น่ากลัวเช่นนี้ไม่พ้น สั่นเทิ้มล้มลงบนพื้น เกลือกกลิ้งท่ามกลางความมันเยิ้มสกปรกทั่วพื้น ส่วนเศษกระเบื้องเหล่านั้นยังค่อยๆ เลื่อยแล้วเลื่อยเล่า…

 

 

ยามนี้หลัวซาหวังว่าผู้ที่ถูกตัดสองแขนด้วยดาบเดียวจะเป็นตนเอง ยามนี้นางเพิ่งรู้สึกว่าตัดแขนด้วยดาบเดียวเป็นความโชคดี เป็นความยินดี

 

 

นางเกลือกกลิ้งดิ้นรนบนพื้น ไม่สนใจว่าอาหารนั้นยังร้อนผ่าวหรือเหนียวหนับ นางเปล่งเสียงขอขมาที่เสียดแทงหัวใจออกมาจนได้ เสียงโหยหวนพอจะทำให้ฝันร้ายไปสามวัน

 

 

“กรี๊ดๆๆ ปล่อยข้าไปๆ!”

 

 

“ข้าไม่ควรตัดมือของเจ้ามาทำอาหาร! เจ้ายกโทษให้ข้า! ข้าจะจัดงานศพยิ่งใหญ่ให้เจ้า! ตั้งศาล! เซ่นไหว้บูชาทุกชาติไป!”

 

 

“ยกโทษให้ข้า! ยกโทษให้ข้า! ข้าจะโขกศีรษะให้เจ้า! ยกโทษให้ข้ากรี๊ดๆ กรี๊ดๆ…”

 

 

เจ้ายุทธจักรทั่วห้องโถงยืนทื่ออยู่ตรงนั้น จ้องเหตุการณ์ดั่งฝันร้ายนี้เขม็ง รู้สึกเพียงว่าหัวใจเกร็งแน่น หายใจไม่ออก รู้สึกเย็บวาบตั้งแต่ปลายนิ้วจรดปลายเท้า

 

 

โดยเฉพาะยามที่พวกเขานึกถึงเมื่อครู่ที่หลัวซาออกคำสั่งตัดมือของสาวน้อยนั้น ยิ่งรู้สึกว่าแม้แต่โลหิตก็คล้ายเยือกแข็งแล้ว

 

 

ชั่วชีวิตพวกเขามีดเปื้อนโลหิต ฆ่าคนเป็นผักเป็นปลา วิญญาณใต้เงื้อมมือเป็นพันเป็นหมื่น ไม่เคยเชื่อในโชคชะตา ไม่เคยกลัวผีสางเทวดา ซ้ำยังไม่กล้าเชื่อ ไม่กล้ากลัว

 

 

หากตนหวาดกลัวมือไม้อ่อน จะพาคนมากขนาดนั้นปล้นฆ่ายกครัว ใช้ชีวิตแลกชีวิต ใช้สังหารหยุดสังหาร แย่งผลประโยชน์ ขยายเขตอิทธิพลในยุทธภพที่ปลาใหญ่กินปลาเล็กแห่งนี้ได้อย่างไร?

 

 

ทว่ายามนี้ ก้นบึ้งของหัวใจท่วมท้นด้วยความหนาวหลายเสี้ยวกับฉากนี้ที่น่ากลัวตรงหน้า ทำให้พวกเขาเกิดข้อสงสัยที่น่าตกใจเป็นครั้งแรก

 

 

หรือว่าบนโลกนี้มีวิญญาณอาฆาตไม่ไปเกิดจริง มีกรรมตามสนองไม่ลดละจริง?

 

 

 

 

จิ่งเหิงปัวเองก็เบิกตากว้าง

 

 

นางไม่รู้ว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของหลัวซา ลางสังหรณ์อยากจะแก้แค้นทุกคน แต่ท่านมู่ที่อยู่ข้างหลังโบกมือแผ่วเบา เศษกระเบื้องทั้งหมดก็พุ่งไปทางหลัวซา

 

 

แน่นอนว่านางเป็นคนทำเรื่องต่อจากนั้น ตอนนี้นางมีความสามารถในการควบคุมที่แสนยอดเยี่ยม อย่าว่าแต่ทำให้เศษกระเบื้องกลายเป็นผีเลย กลายเป็นท่านมู่ก็เป็นไปได้

 

 

ตอนที่ได้ยินหลัวซาตะโกนขอขมา นางถึงเข้าใจว่าทำไมท่านมู่ต้องทำแบบนี้ นึกได้ว่าหลัวซาเป็นคนบงการกลยุทธ์พ่อรูปงามด้วย ก็ยิ่งรู้สึกว่าสะใจ

 

 

แต่นางยังไม่ค่อยไม่พอใจที่ท่านมู่ปล่อยคนที่เหลือไป

 

 

คนเหล่านี้ต้องโดนสั่งสอนเสียบ้างถึงถูกต้อง

 

 

แต่ตอนนี้นางเสียโอกาสทองไปแล้ว คนพวกนี้ฟื้นขึ้นมาจากความวุ่นวายแล้ว พวกเขาก็ไม่ใช่คนอ่อนแอ คิดว่าคนเดียวจัดการพวกเขาจนสะบักสะบอมเป็นไปไม่ค่อยได้แล้ว

 

 

แขนของท่านมู่ทับหลังคอนางอย่างแผ่วเบา ยังเป็นท่วงท่าดั่งสหายสนิทโอบไหล่ชมละครเช่นนั้น เสียงกระซิบของเขาดังข้างหูนางว่า “วันหน้ายังต้องปักหลักที่ไต้เม่า เหตุใดพอเข้ามาก็ต้องเป็นศัตรูกับทุกคนเล่า”

 

 

เสียงเฉื่อยเนือยน้อยๆ แหบแห้งน้อยๆ แต่ว่าไพเราะ ทำให้นึกถึงเสียงลมพัดผ่านกิ่งไม้ใบอ่อนบนภูเขาห่างไกล

 

 

จิ่งเหิงปัวชะงักงัน

 

 

วาจาประโยคนี้กำลังบอกตัวเขาเอง หรือว่ากำลังเตือนนางกันแน่?

 

 

พอเสียสมาธิ นางก็สูญเสียการควบคุมเศษกระเบื้อง เศษกระเบื้องร่วงพื้นดังเกรียวกราว ทุกแผ่นเปื้อนคราบเลือดลายพร้อย ดั่งกลีบดอกไม้ชอกช้ำทั่วพื้น

 

 

เสียงกรีดร้องของหลัวซาค่อยๆ หยุดลง นางหมดสติไปแล้ว ตรงข้อมือเหลือเพียงเนื้อหนังที่เชื่อมกันส่วนเดียว

 

 

เหล่าเจ้ายุทธจักรทั่วห้องค่อยๆ ได้สติ สายตาที่มองจิ่งเหิงปัวเต็มไปด้วยความตกใจกับความหวาดกลัว บางคนพุ่งเข้ามาตะโกนว่า “รบกวนท่านมู่ ฆ่านางก่อน!”

 

 

ท่านมู่ยิ้มบางเอ่ยว่า “ได้”

 

 

จิ่งเหิงปัวตกใจ เรือนร่างถูกเขาจับพลิกในทันที แขนเสื้อเขาสะบัดพานางวนรอบโดยไม่มีประกายไฟเลยแม้แต่น้อย กระโปรงสีหิมะของนางกระพือพลิ้วไหว บังสายตาทุกคนไว้

 

 

ฉึก! แสงหนาวสายหนึ่งเหินออกจากแขนเสื้อเขา พุ่งมาทางกระดูกสะบักของนาง

 

 

แต่เรือนร่างผ่านการหมุนครั้งนั้น นางก็ได้รับอิสระคืนมาแล้ว

 

 

การหมุนครั้งนั้นชายกระโปรงยังปลิวว่อน คล้ายร่ายรำวาดเส้นโค้งประหนึ่งหิมะโปรยปรายดอกไม้โรยราออกสู่สายตาทุกคน

 

 

พริบตาต่อมาเงาร่างของนางหายไปแล้ว

 

 

ผู้ที่พุ่งมาเร็วที่สุดสัมผัสชายผ้าของนางแล้ว ทว่าคว้าไว้ได้เพียงผ้าไหมม่วงประดับทอง นุ่มลื่นเล็ดลอดไปจากซอกนิ้วดั่งความฝัน

 

 

เหล่าเจ้ายุทธจักรหันมองในห้องที่ว่างเปล่าอย่างงงงวย…หน้าต่างปิดอยู่ ประตูยังถูกขวางอยู่ ทุกคนมองท่านมู่ลงมือสังหาร นางแอบหนีไปต่อหน้าต่อตาได้อย่างไร?

 

 

หากไม่ใช่ทั่วทั้งพื้นระเกะระกะ โลหิตแดงฉานทุกแห่ง และตู้ที่ขวางประตูยังอยู่ พวกเขาคงแทบนึกว่านี่คือความฝัน เป็นแค่ฝันร้ายครั้งหนึ่ง

 

 

นางคือปีศาจภูเขา หรือว่าภูตพรายกันแน่?

 

 

ความคิดอย่างหลังทำให้ทุกคนหนาวสั่นทั่วร่าง

 

 

บางคนฝืนใจเปิดปาก เสียงก็สั่นดั่งฝัน

 

 

“นางเป็นผีสาวสวยหรือ เป็นวิญญาณของ…สาวน้อยเมื่อครู่นั้น?”

 

 

ท่านมู่จัดแขนเสื้ออย่างแผ่วเบา บนแขนเสื้อยังหลงเหลือกลิ่นหอมหมื่นลี้จางๆ เป็นกลิ่นหอมบนร่างนางเมื่อครู่

 

 

แสงคลื่นกระเพื่อมในแววตาเขา คล้ายยังสะท้อนเงาร่างของนาง

 

 

การแต่งกายสูงส่งสง่างามเช่นนั้นเอย ไม่ได้เห็นนานเพียงใดแล้ว…

 

 

พลางยิ้มตอบว่า “อาจจะ”