จิ่งเหิงปัวไม่ได้จากไป นางไปค้นหาในลานด้านหลัง
ความแค้นในใจยังคงไม่จางหายไป นางยังอยากต่อยคน นอกจากนี้นางก็อยากตามหาสาวน้อยคนนั้นด้วย แขนขาดแล้วแต่ไม่แน่ว่าจะเสียชีวิต ก่อนหน้านี้นางโกรธแค้นคิดเพียงแต่จะลงโทษคน ทว่าตอนนี้เริ่มได้สติ รู้สึกว่าการช่วยคนนั้นสำคัญกว่า
แต่ว่านอกจากคราบโลหิตแล้วกลับไม่มีสิ่งอื่นใดอยู่ในห้องเล็กห้องนั้นอีกเลย รอบด้านเก็บกวาดสะอาดเรียบร้อย นางตามไปถึงประตูหลังก็ไม่พบเบาะแสอะไร
สาวน้อยคนนั้นก็คล้ายหายไปจากในลานบ้านทั้งๆ อย่างนี้
ทั้งไต้เม่าแห่งนี้เป็นสัตว์ประหลาดกินคนกันหมดใช่หรือไม่ ทุกวันมีคนจำนวนนับไม่ถ้วนหายไปด้วยวิธีต่างๆ ทิ้งให้คนในบ้านมองประตูรอคอย คนที่กลับช้าไม่กลับมาอีกแล้ว
นางเริ่มเหนื่อยแล้ว สุดท้ายจึงทิ้งกายนั่งลงบนกองฟืน อยากรับลมค่ำคืนสงบสติอารมณ์สักหน่อย
เมื่อนั่งลงแล้ว แต่ท่านมู่โผล่มาในสมองกะทันหัน
ชายลึกลับคนนี้
วรยุทธ์น่าจะสูงมาก ตอนนี้แม้ยังบอกไม่ได้ว่าวรยุทธ์ของนางเป็นอย่างไร แต่พรสวรรค์นั้นชดเชยการขาดแคลนพลังต่อสู้ อิงไป๋กับเผยซูเคยเอ่ยไว้ว่าด้วยความสามารถของนางนั้น ตอนนี้ไปที่ไหนก็ป้องกันตัวได้ ยอดฝีมือเจอนางเป็นครั้งแรก ไม่ได้เตรียมรับมือความสามารถของนาง ส่วนใหญ่จะเสียเปรียบ ยอดฝีมือที่จัดการนางได้มีไม่มากแล้ว ต้องเป็นคนที่มีวรยุทธ์สูงมาก หรือไม่ก็คุ้นเคยกับความสามารถของนางมากก่อน จึงได้เตรียมตัวไว้
เขาเป็นประเภทไหนกันแน่?
เสียง รูปร่าง ภาษา และท่าทางที่แสดงให้เห็นของเขาล้วนแปลกหน้า ความเรื่อยเฉื่อยแบบนั้นคล้ายเหยียลี่ว์ฉีเล็กน้อย แต่กลับสว่างไสวกว่าเหยียลี่ว์ฉี ไม่ได้ให้ความรู้สึกสวยสดงดงามดั่งราชาแห่งค่ำคืนเท่าเหยียลี่ว์ฉี
เงาร่างของคนคนหนึ่งแวบผ่านมาในสมอง จากนั้นนางก็ส่ายหน้า เหตุใดเมื่อเห็นใครเป็นต้องนึกถึงเขาก่อนตลอด? ไม่เหมือนยิ่งกว่าเหยียลี่ว์ฉีอีก แม้กล่าวว่าก่อนหน้านี้นางจ้องแค่แวบเดียว รู้ตัวว่ารูปร่างท่าทางน้ำเสียงอะไรก็ไม่เหมือนเลย ที่สำคัญไปกว่านั้น ก่อนหน้านี้นางก็เคยอ่านข้อมูลของท่านมู่ที่อยู่ในข้อมูลในห้องใต้ดินสิบสามองครักษ์ที่นางได้มา แนบอยู่หลังสมุดน้อยที่ไม่สะดุดตาเล่มหนึ่ง ตอนแรกนางเกือบหาไม่เจอ
นั่นไม่ใช่ความลับอะไร เป็นข้อมูลที่กระจัดกระจายบางส่วน บันทึกเรื่องสำคัญที่ท่านมู่กับกลุ่มได้ทำตั้งแต่ก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน ในนั้นเห็นได้ว่าท่านมู่ตั้งกลุ่มอำนาจที่ไต้เม่าตั้งหลายปีแล้ว ระหว่างนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยปรากฏตัวเลย ซ้ำยังเคยจัดการเรื่องใหญ่บางครั้งด้วย นางคำนวณแล้ว บางเรื่องขัดแย้งกับเวลาของกงอิ้นโดยสิ้นเชิงอย่างเช่น ตอนเหตุการณ์ตี้เกอครั้งนั้น กลุ่มท่านมู่กำลังเริ่มก่อตั้งที่ไต้เม่า เมื่อปีที่แล้ว กลุ่มท่านมู่เปลี่ยนลูกน้องครั้งหนึ่ง ท่านมู่ลงมือปรับกลุ่มด้วยตนเอง เวลานั้นนางกับกงอิ้นกำลังอยู่ในวัง
เห็นได้ว่าคนที่สืบค้นเรื่องท่านมู่ก็ไม่ได้ข้อสรุปอะไรเกี่ยวกับเขาออกมา ได้แต่บันทึกเรื่องราวบางส่วนตามเวลา
ตอนนี้นางรู้สึกกับบุคคลนี้เหมือนที่รู้สึกกับทุกกลุ่มอำนาจในไต้เม่า ลึกลับ แยกไม่ได้ว่าเป็นมิตรหรือศัตรู
นางแน่ใจไม่ได้ว่ากระบวนท่าสุดท้ายนั้นก่อนหน้านี้เป็นเพราะเขาอ่อนข้อ หรือเพราะไม่รู้เรื่องความสามารถพิเศษของนาง จึงเตรียมจัดการนางอย่างโหดเ**้ยมกันแน่
การโจมตีสุดท้ายแทงทางกระดูกสะบัก เห็นได้ชัดว่าเป็นท่าที่ต้องการทำลายวรยุทธ์
สำหรับบางคนนั้น ต้องคบค้าสมาคมก่อนถึงแน่ใจได้
นางนั่งใคร่ครวญเรื่องชีวิตและผู้ชายบนกองฟืนหลังห้อง ได้ยินเสียงฝีเท้าแว่วมาทางกองฟืนอย่างกะทันหัน นางหันหลังซ่อนตัวโดยสำนึก
หลายคนนั้นหยุดฝีเท้าลงหน้ากองฟืน หยิบฟืนขึ้นมาพลางเอ่ยวาจา
“ได้ยินว่าด้านหน้าเกิดเรื่องขึ้นแล้ว…”
“หุบปาก! พี่ใหญ่เตือนพวกเจ้าว่าอย่างไร? เรื่องของเหล่าหัวหน้าใหญ่ ห้ามเอ่ยถึงแม้แต่ประโยคเดียว!”
“ไม่เอ่ยก็ได้ ข้าไม่เข้าใจเลย ก่อนหน้านี้เอ่ยว่าไม่อาบน้ำร้อนไม่ใช่หรือ เหตุใดจะอาบขึ้นมาอีกแล้วเล่า? ลำบากพวกเราต้องรีบต้มน้ำในสระน้ำอีกครั้ง”
“เดิมทีอาบน้ำร้อนหลังอาหารเป็นรายการเพิ่มความสนุกสนานอยู่แล้ว วันนี้ก็เตรียมไว้ แต่พี่ใหญ่เอ่ยว่าแขกวันนี้ค่อนข้างพิเศษ ไม่แน่ว่าจะกินได้สุขสันต์ เป็นไปได้ว่าจะไม่ได้อาบน้ำร้อนครั้งนี้ จึงปล่อยเลยตามเลย ผู้ใดจะรู้ว่าเมื่อครู่ด้านหน้าเกิดเรื่องขึ้นเล็กน้อย อาภรณ์ของทุกคนสกปรกแล้ว ครานี้ไม่อาบไม่ได้”
“ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้าเข้าไปรับใช้ เห็นเหล่าหัวหน้าเป็นมิตรกับท่านมู่ผู้นั้นยิ่งนัก แล้วจะไม่สุขสันต์ได้อย่างไร”
“นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้ากับข้าคาดเดาได้ รีบทำงานเถิด”
เสียงรีบหยิบฟืนดังขึ้นระลอกหนึ่ง จากนั้นก็มีเสียงรถดังเอี๊ยดอ๊าด คนกลุ่มนั้นพากันลากฟืนรีบไปต้มน้ำในสระน้ำแล้ว
จิ่งเหิงปัวเลี้ยวออกมาจากหลังกองฟืน ก่อนจะมองไปทางที่คนพวกนั้นจากไป หัวเราะเยาะเล็กน้อย
เหตุใดถึงเป็นมิตรกับท่านมู่ขึ้นมา?
เพราะว่าได้เขาช่วยชีวิตไว้อย่างไรเล่า
ก่อนหน้านี้ถ้าไม่ใช่เพราะท่านมู่ขวางไว้ วันนี้ผู้อาวุโสยุทธภพพวกนั้นคงกลายเป็นตะแกรงกันหมดแล้ว
เหอะๆ เดิมทีวันนี้เป็นงานเลี้ยงสังหารเจ้ามู่ เขาก็ร้ายกาจ ไม่นึกว่าจะอาศัยเรื่องของนางในครั้งนี้ สมคบกับสามสำนักสี่พรรคเจ็ดกลุ่มสิบสามองครักษ์เข้าแล้ว
วันนี้คนพวกนั้นนับว่าเป็นหนี้ชีวิตเขาครั้งหนึ่ง ยุทธภพให้ความสำคัญกับคุณธรรมน้ำมิตร แม้ในใจจะไม่เต็มใจเพียงใด ภายนอกก็ต้องยอมรับไมตรี
ต่อไปหอเงาแห่งนี้ นับว่าปักหลักที่ไต้เม่าที่ซับซ้อนแห่งนี้ได้แล้ว
จากนั้นไอ้ระยำฝูงนี้คิดจะทำอะไร อาบน้ำนวดซาวน่าเหรอ?
อาบเสร็จแล้วก็เรียกสาวๆ มาปรนนิบัติใช่หรือไม่?
เช่นนั้นก็ให้ฝ่าบาทอย่างข้าปรนนิบัติด้วยตัวเองเถอะ
…
หออวี้โหลวตะวันตกมีสระน้ำขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะ ใช้สำหรับให้เหล่าผู้อาวุโสที่ดื่มสุราเสร็จแล้วได้อาบน้ำร้อน พูดคุยความในใจ จิบน้ำชาและนอนพักผ่อน
ชาวต้าฮวงนั้นชอบแช่น้ำมาก ไต้เม่าแห่งนี้ก็ยิ่งแล้วใหญ่ อากาศในไต้เม่าไม่ค่อยดีสาเหตุนั้นมาจากบึงโคลนเฮยสุ่ย กล่าวด้วยภาษาปัจจุบันก็คือมีฝุ่นควัน เจือด้วยสารพิษ ฉะนั้นตระกูลใหญ่โตจึงให้ความสำคัญกับการแช่สระสมุนไพร ขับสารพิษที่สะสมอยู่ในร่างกายออกมาด้วยวิธีอบไอน้ำ
สระน้ำใหญ่ที่หออวี้โหลวตะวันตกเชื่อมกับห้องรับรองหนึ่งแถว ระเบียงไม้หน้าต่างน้อย สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน จัดวางได้งดงามยิ่งนัก ให้เหล่าผู้อาวุโสที่อาบน้ำเสร็จแล้วได้ทำอะไรก็ว่าไป
ทว่าสระน้ำนั้นออกแบบเรียบง่าย เป็นสระน้ำใหญ่รูปสี่เหลี่ยมแห่งหนึ่ง ข้างบนเป็นหลังคาโค้ง สระน้ำใหญ่เท่าสองห้อง หลังต้มน้ำที่ห้องเตาข้างสระแล้วจะปล่อยน้ำร้อนลงสระด้วยท่อน้ำ
เล่ากันว่าจะสนิทกันจนรู้ไส้รู้พุงก็ควรเจอกันอย่างจริงใจ เปลื้องอาภรณ์แล้วเหลือแต่ตัวเปล่าๆ ผู้ใดก็ทำร้ายผู้อื่นไม่ได้
เหล่าผู้อาวุโสหวังจะแสดงความเชื่อใจกับคุยบางเรื่องที่ไม่ค่อยเหมาะจะคุยกลางวันแสกๆ ก็จะตีสนิทด้วยวิธีนี้
คนขบวนหนึ่งกำลังไปสระน้ำ ระคนเสียงกึกกักของเก้าอี้เข็นในนั้น ผู้ดูแลรองเหลยเซิงอวี่เข็นเก้าอี้เข็นของท่านมู่มาด้วยตนเอง
นับแต่เข้าสู่หออวี้โหลว องครักษ์ของท่านมู่ก็อยู่ข้างนอกเช่นเดียวกับผู้อาวุโสที่เหลือ ข้างกายเหลือเพียงผู้ดูแลรองเหลยเซิงอวี่
นี่เป็นกฎเกณฑ์ งานชุมนุมเจ้ายุทธจักรห้ามพาลูกน้องเข้าไป เหลือแต่คนไว้ใจที่มีฐานะไม่ต่ำต้อยหนึ่งคน นับว่าเคารพผู้อื่น
ว่ากันตามจริงแล้วคนไว้ใจผู้นี้ก็เหลือไว้ไม่ได้ เหล่าผู้อาวุโสมาตัวคนเดียว เพียงแต่ด้วยเพราะท่านมู่ไม่สะดวก ต้องการคนเข็นเก้าอี้เข็น
เหล่าผู้อาวุโสต่างแสดงความใจกว้างที่เห็นได้น้อยครั้งต่อเรื่องนี้ นอกจากปฏิเสธที่จะให้องครักษ์เข็นเก้าอี้เข็นแล้ว ก็ไม่ได้ออกความเห็นเรื่องที่เหลยเซิงอวี่เข็นเก้าอี้เข็น ซ้ำยังเชิญเขาไปแช่น้ำด้วยกัน
เจ้ายุทธจักรก็คือเจ้ายุทธจักร แม้เสื้อผ้าหน้าผมโดนสาดจนเลอะเทอะเปรอะเปื้อน ต้องอาบน้ำถึงกล้าออกไปข้างนอก แต่ยามนี้กลับมาหัวเราะร่าเริงแล้ว
แท้จริงแล้วพวกเขาอารมณ์ดีไม่หยอก
หลังจากเกิดเรื่อง หลัวซาถูกส่งกลับไปแล้ว การเสื่อมสลายของสำนักหลัวซาแทบจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้ ฉะนั้นเมื่อครู่ที่จัดเก็บอาภรณ์ เหล่าผู้อาวุโสก็แบ่งเขตอิทธิพลกับอำนาจของสำนักหลัวซาจนบรรลุข้อตกลงขั้นต้นแล้ว
การแย่งเขตอิทธิพลจะต้องทำแต่เนิ่นๆ มิฉะนั้นรอให้รองเจ้าสำนักหลัวซาที่เหลือฉวยโอกาสออกมาชิงบัลลังก์เจ้าสำนัก สร้างดินแดนเสร็จค่อยลงมือก็สายไปแล้ว
เหล่าผู้อาวุโสยังพอใจท่านมู่ยิ่งนัก ด้วยเพราะเขาแสดงท่าทางถ่อมตัว ตนเป็นคนรุ่นหลัง รากฐานยังตื้นเขิน ไม่ได้วางแผนขยับขยายชั่วคราว เขาก็ไม่เข้าไปยุ่งเรื่องสำนักหลัวซาด้วย
หอเงาละทิ้งการแบ่งอำนาจของหลัวซา ทุกคนพากันดีใจยกใหญ่
น้ำร้อนเข้าสู่สระน้ำใหญ่เป็นระลอก ไอร้อนขมุกขมัว แทบจะบดบังหน้าตาของทุกคน
บนร่างทุกคนเปรอะเปื้อนน้ำแกงมันเยิ้ม รู้สึกแย่ไปหมดตั้งนานแล้ว เห็นน้ำร้อนพร้อมสรรพ รีบร้อนถอดจนตัวเปล่า แต่ละคนกระโดดลงน้ำดังตูม
คนที่ลงไปในสระน้ำเผยสีหน้าพอใจออกมา หลายคนก็วักน้ำลูบหลัง หัวเราะเหอะๆ ร้องเรียกท่านมู่ว่า “ท่านมู่ มาเถิด ไม่ต้องเกรงใจ!”
“เกรงใจอะไรกันเล่า ทุกคนเป็นบุรุษกันทั้งนั้น!”
“ดูสิท่านมู่ผิวเนียนละเอียด คงไม่ใช่สตรีปลอมตัวมากระมัง?”
เหล่าผู้อาวุโสหัวเราะเกรียวกราว ในเสียงหัวเราะป่าเถื่อนมีการหยั่งเชิงอยู่รำไร
ไอควันลอยโขมงล้อมรอบท่านมู่ เห็นใบหน้าของเขาไม่ค่อยชัดเจนนัก นัยน์ตาดำขลับเปล่งประกายในไอควันขาวอ่อน
“ล้างตัวก่อนค่อยอาบน้ำ เพียงแต่ในเมื่อพี่ใหญ่ทุกท่านเชิญอย่างจริงใจ น้องเล็กย่อมไม่กล้าปฏิเสธ”
เขาเริ่มถอดอาภรณ์ออก สระน้ำนี้ก็มีเพื่อให้ทุกคนได้ ‘เจอกันอย่างจริงใจ’ ฉะนั้นจึงไม่มีแม้แต่แผ่นกั้นขณะถอดอาภรณ์
เหล่าผู้อาวุโสแช่อยู่ในสระน้ำ หยอกล้อหยาบคายต่อกัน สายตาเพ่งมองเขาทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ
ท่านมู่ถอดอาภรณ์อย่างเยือกเย็นยิ่งนัก ท่าทางแสนงดงาม เห็นแล้วก็รู้ว่ามาจากตระกูลใหญ่ ได้รับการอบรมอย่างลึกซึ้งถึงไขกระดูก
เนื้อผ้าอาภรณ์ของเขาก็ดียิ่งนัก มองเพียงครั้งเดียวไม่เห็นความอัศจรรย์ มองอีกครั้งเห็นเนื้อผ้าประณีต หรือไม่ก็ลายปักโดดเด่น มีความหรูหราที่ซ่อนเร้น
เพียงแต่เขาถอดอาภรณ์ได้เชื่องช้ายิ่งนัก