บทที่ 190 สอนสั่ง เสด็จอาเก้าแอบฟังอยู่ด้านนอก

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

บทที่ 190 สอนสั่ง เสด็จอาเก้าแอบฟังอยู่ด้านนอก
“เจ้าลูกศิษย์มีบางอย่างที่อาจารย์จะพูดแค่ครั้งเดียว หากเจ้าพลาดโอกาสนี้ไปแล้ว ก็จักไม่มีโอกาสในคราหน้าอีก หากเจ้าฟังตกหล่นไปละก็ ภายภาคหน้าย่อมไม่มีโอกาสอีกแล้ว”
เฟิ่งชิงเฉินมิได้สนใจว่าซุนเจิ้งเต้ากับซุนซือสิงจักมีกระจิตกระใจฟังหรือไม่ ก็พลันใช้นิ้วมือชี้ไปที่อวัยวะ พร้อมกับบอกตำแหน่งหลอดเลือดต่าง ๆ พลางกล่าวถึงโรคที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ล้วนแต่บอกจนหมด และยังบอกถึงวิธีการรักษาออกมาอีกด้วย
“เจ้าดู นี่คือหัวใจ มีบางคนที่เกิดมาพร้อมกับโรคของหัวใจ หรือบางคน เมื่อมีอายุมากขึ้นแล้ว ก็อาจจะเกิดปัญหาขึ้นกับหัวใจได้เช่นกัน แม้ว่าในยุคนี้จะไม่มีหนทางในการรักษา แต่แท้จริงแล้ว มันสามารถรักษาได้ อีกทั้ง ยังสามารถซ่อมแซมหรือเปลี่ยนถ่ายหัวใจได้อีกด้วย และยังมีเรื่องของไต ไตไม่ดี”
เฟิ่งชิงเฉินบอกเล่าออกมาด้วยจิตวิญญาณของความเป็นครู สิ่งใดที่พูดออกมาได้ นางล้วนแต่บอกเล่าให้ฟังจนหมด น่าเสียดายนัก
ซุนเจิ้งเต้ากับซุนซือสิงหาได้ฟังเข้าไปไม่ ตรงกันข้ามกับ บุคคลที่รอบฟังด้านนอกของกำแพง กลับได้ยินและจดจำได้ทุกสิ่งทุกอย่าง
ที่แท้ หัวใจก็สามารถซ่อมแซมและเปลี่ยนถ่ายได้ด้วย!
ที่แท้ ยามที่ทำการชันสูตรศพแล้ว ก็ยังสามารถเย็บเข้าไปใหม่ได้
ตงหลิงจิ่วฟังพร้อมกับจดจำเอาไว้ในใจ เขาได้เรียนรู้จักความพิเศษของเฟิ่งชิงเฉินแล้ว สิ่งที่นางพูดออกมามากมายนั้น แม้ว่ามันจะดูเกินความคาดหมายไปบ้าง แต่ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลเลยสักทีเดียว
คำอธิบายของเฟิ่งชิงเฉินมีความละเอียดยิ่งนัก เมื่อพูดจบ ก็พลันยกศพอีกร่างหนึ่งมาให้ซุนซือสิงใช้ฝึกปรือในทันที พร้อมทั้งสอนให้เขาเย็บบาดแผลเข้าด้วยกันเสียก่อน
คนเป็นกับคนตายมีความต่างกัน ซุนซือสิงหยิบเข็มขึ้นมา รอจนผ่านไปครึ่งวัน เขาถึงกล้านำเข็มแทงเข้าไปในเนื้อคน กลับกัน ซุนเจิ้งเต้าเรียนรู้ได้ผ่านการลองลงมือทำเพียงไม่กี่ครั้ง รวมไปถึงร่างที่เขาชำแหละศพออกมานั้น ก็ทำการเย็บแผลให้เข้าที่เรียบร้อย
ถึงแม้ว่ารอยแผลที่เย็บจะดูน่าเกลียดไปบ้าง ถึงกระนั้น นี่ก็เป็นการฝึกครั้งแรกเท่านั้น เฟิ่งชิงเฉินจึงบอกให้เขากลับไปหาสัตว์หรืออะไรก็ได้ มาฝึกฝนฝีมือบ่อย ๆ เพื่อให้มือคุ้นชิน
เข็ม นำเข็มเย็บผ้ามาฝึก ด้าย นำลำไส้แกะที่หนา ๆ มาล้างให้สะอาด จากนั้นก็ตัดออกเป็นเส้นไหม พร้อมกับตากแห้งก็สามารถใช้การได้แล้ว
สิ่งใดที่ควรสอนนางก็ได้สอนไปหมดแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็มิพูดอันใดอีก พลางชี้ไปที่ศพอื่น ๆ และกล่าวกับซุนซือสิงว่า “ลูกศิษย์ข้า ทางที่ดี เจ้าลองทำด้วยตนเองสักครั้ง”
แม้ว่าสีหน้าของซุนซือสิงจะซีดขาว หากแต่ก็พยักหน้ารับคำสั่งในทันที
ซุนเจิ้งเต้าเองก็พยักหน้ารับคำตามเช่นกัน ถึงแม้ว่า แผนการลองเชิงในวันนี้จักไม่สำเร็จ แต่ทว่า เขาก็ได้เรียนรู้อะไรมาไม่น้อยเลยทีเดียว
เฟิ่งชิงเฉินถอดถุงมือผ่าตัดออกมา พลางบอกให้สองพ่อลูกตระกูลซุน จัดการเก็บความห้องนี้ให้สะอาด ก็กลับได้เลย
เมื่อมีลูกศิษย์เป็นมามือเป็นเท้าให้เช่นนี้ ต่อจากนี้ไปงานพวกนี้ นางก็ไม่ต้องทำด้วยตนเองอีกแล้ว
มันดีจริง ๆ เลย!
เฟิ่งชิงเฉินพลันเปิดประตูออกมาด้วยรอยยิ้มที่แจ่มใส ทว่า เมื่อเห็นบุคคลที่ยืนอยู่หน้าประตูนั้น รอยยิ้มของนางพลันแข็งค้างไปในทันที “เสด็จอาเก้า?”
“เสด็จอาเก้า?”
น้ำเสียงของเฟิ่งชิงเฉินดังยิ่งนัก ซุนเจิ้งเจ้ากับซุนซือสิงที่ได้ยินก็พลันตกใจในทันที พร้อมทั้งรับร้อนถอดชุดผ่าตัดออกมา แล้วคุกเข่าทำความเคารพว่า “เข้าเฝ้าเสด็จอาเก้า ขอให้พระองค์มีพระชนม์มายุเป็นพัน ๆ ปี”
เฟิ่งชิงเฉินที่ได้สตินั้น ก็พลันนั่งคุกเข่าโดยไว
เสด็จอาเก้ามาที่จวนเฟิ่งทำไมกัน? ดูเหมือนว่าจะเป็นครั้งแรกที่เสด็จอาเก้ามาที่นี่?
“มิต้องมากพิธี” น้ำเสียงของตงหลิงจิ่วเต็มไปด้วยความเย็นชา ภายในใจของเฟิ่งชิงเฉินรู้สึกตื่นตระหนกยิ่งนัก คงมิใช่ว่าเกิดเรื่องขึ้นกระมัง
ทั้งสามคนพลันลุกขึ้นยืนด้วยความรู้สึกใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ มิทันให้พวกเขาได้ตื่นเต้นนานนัก เสด็จอาเก้าก็พลันกล่าวออกมาว่า “หมอหลวงซุน มีคนมารายงานข้าว่า เจ้าได้ใช้ทักษะการแพทย์มาระบายความโกรธส่วนตน ด้วยการผ่าศพ”
ในยามที่ซุนเจิ้งเต้าบอกให้คนนำศพทั้งสามมาที่จวนเฟิ่งนั้น เขามิได้ทำการหลบซ่อน อีกทั้ง ผู้คนที่ด้พบเห็นก็มีไม่มากนัก หากเรื่องนี้มีผู้ใดนำไปใช้โจมตีเขาละก็ ถึงแม้ว่านี่จะเป็นฝีมือของซุนเจิ้งเต้า แต่ทว่า ศพอยู่ในจวนเฟิ่ง อย่างไรเฟิ่งชิงเฉินย่อมหลีกหนีไม่พ้นเป็นแน่
แน่นอนว่านี่เป็นข้ออ้าง ข้ออ้างที่สมเหตุสมผลในการใช้มาเยือนจวนเฟิ่ง แต่เหตุผลที่เสด็จอาเก้ามาที่จวนเฟิ่งทำไมนั้น มีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ดีที่สุด
เฟิ่งชิงเฉินที่ได้ยินเช่นนั้น พลันชะงักไปในทันที ภายในใจพลันกรนด่าตัวเองว่า ไม่รอบคอบมากพอ
นางหลงลืมไปได้อย่างไรกัน เรื่องการผ่าชันสูตรศพเช่นนี้ หากผู้คนในยุคนี้ล่วงรู้เข้า ย่อมมีคนใช้มันขึ้นมาโจมตีนางได้ทุกเมื่อการที่ซุนเจิ้งเต้านำศพออกมา ถือว่าเป็นเรื่องร้ายด้วยเช่นกัน
น่าตายนัก
เฟิ่งชิงเฉินยังคงกรนด่าตนเอง ที่ทำอันใดไร้ความรอบคอบมิได้ระมัดระวัง นับว่าโชคดี ที่เสด็จอาเก้าล่วงรู้เรื่องนี้ หากเปลี่ยนเป็นองค์หญิงอันผิง หรือฮองเฮา นางคงถึงคราวซวยเป็นแน่
เมื่อเห็นสายตาที่เย็นชาของเสด็จอาเก้าแล้วนั้น ทั่วร่างของหมอหลวงซุนพลันเต็มไปด้วยหงื่อในทันที พร้อมรีบร้อนกล่าวคำอธิบายออกมาว่า “เสด็จอาเก้าพะยะค่ะ ศพพวกนี้ เป็นศพไร้ญาติที่กระหม่อมได้ทำการซื้อมา ทางฝั่งของยกระทรวงความยุติธรรมมีการจดบันทึกเอาไว้อยู่พะยะค่ะ”
“แล้วอย่างไรเล่า? หมอหลวงซุน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ขัดกับศีลธรรม เปิ่นหวางสามารถเข้าใจพวกเจ้าได้ แต่หาใช่ว่าผู้อื่นจักเข้าใจพวกเจ้า เฉกเช่นเปิ่นหวางไม่”
ซุนเจิ้งเต้า ได้แต่เป็นใบ้ไปในทันที เฟิ่งชิงเฉินเองก็อยากจะพูดอันใดออกไป แต่ก็กลืนคำพูดของตนกลับไปตามเดิม เสด็จอาเก้าอุตส่าห์พานางออกมาจากเรื่องนี้แล้ว นางจะกระโดดเข้าไปอีกทำไมกัน นี่มิใช่ว่าเป็นการตบหน้าของเสด็จอาเก้าอีกหรือ
โตขึ้นแล้ว!
เสด็จอาเก้าพลันมองไปที่เฟิ่งชิงเฉิน แล้วจึงหลับตาเอ่ยกับซุนเจิ้งเต้าว่า “ยังมัวพิลี้พิไลอันใดอยู่ เหตุใดยังไม่ยกกลับไปที่กระทรวงการยุติธรรมอีก หรือพวกเจ้าจะให้เปิ่นหวางนำไปเอง”
“ขะ ขอ ขอรับ กระหม่อมจักไปจัดการเดี๋ยวนี้” ซุนเจิ้งเต้ารีบเอ่ยปากขึ้นมาในทันที พร้อมกับรีบร้อนโค้งคำนับเดินจากไป
ยามที่เฟิ่งชิงเฉินกำลังคิดที่จะเข้าไปช่วยเหลือนั้น พลันได้ยินเสด็จอาเก้ากล่าวว่า “เฟิ่งชิงเฉิน ตามเปิ่นหวางมา”
เสด็จอาเก้าราวกับคุ้นเคยกับจวนเฟิ่งดียิ่งนัก เขามิได้เดินอ้อมไปที่ใดเลย มุ่งตรงมายังห้องตำราที่เดียว จากนั้นก็สั่งให้ข้ารับใช้จัดสถานที่นั่ง
“นั่งลง” เพียงออกคำสั่ง แล้วก็มิได้เอ่ยอันใดออกมาอีก
เฟิ่งชิงเฉินมิใคร่เข้าใจจุดประสงค์ในการมาของเสด็จอาเก้ามากนัก เพียงนั่งลงตามคำสั่ง ลมหายใจเล็กน้อย นางก็มิกล้าจะถอนหายใจออกมาเต็มแรง นั่งรอเพียงเสด็จอาเก้าเอ่ยปากพูดออกมาเท่านั้น ทว่า รออยู่นานก็มิได้ยินเสด็จอาเก้าพูดสิ่งใดออกมาเสียที
นี่หมายความว่าอันใดกัน?
เฟิ่งชิงเฉินพลันคาดเดาไปเองครู่หนึ่ง เมื่อเห็นสีหน้าที่ไร้อารมณ์ของเสด็จอาเก้านั้น ก็มิอาจเดาได้เลยว่า เสด็จอาเก้าในยามนี่คิดเห็นเช่นไร
แต่เดิม เฟิ่งชิงเฉินอยากจะทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัดนี้เสีย เนื่องจากว่าบรรยากาศนั้นเงียบเหงาเกินไป เมื่อคิดไปถึง สิ่งที่เสด็จอาเก้าส่งของมาให้นางนั้น ภายในใจก็รู้สึกอึดอัดยิ่งนัก
มิใช่ว่าส่งของอันใดมามากมาย เพื่อตอบแทนความรู้สึกของนางหรอกกระทัง เช่นนั้นจะวิ่งมาถึงที่นี่ทำไมกัน หรือว่ากลัวนางจะเข้าไปพัวพันธ์ด้วยจริง ๆ หรือ?
วางใจเถอะ เฟิ่งชิงเฉินมิใช่สตรีที่ไร้ยางอายเช่นนั้น
คล้ายกับความรู้สึกที่น่าอึดอัด ยิ่งทำให้ทั้งสองคนที่นั่งด้วยกันเช่นนี้ ไม่มีผู้ใดเอ่ยปากออกมาอีก
ความอดทนของเสด็จอาเก้าแข็งแกร่งยิ่งนัก แม้จะนั่งอยู่ที่นี่มิได้ขยับไปที่ใด ก็ยังมีท่าทีนิ่งเฉย กลับเป็นเฟิ่งชิงเฉินเสียเอง ที่นั่งนานไป เริ่มรุ้สึกหงุดหงิดขึ้นมาแทน จู่ ๆ เสด็จอาเก้าก็พลันลุกขึ้นมา
เฟิ่งชิงเฉินเองก็รีบร้อนลุกขึ้นตามเช่นกัน เสด็จอาเก้ากลับเดินผ่านไปจากข้างกายของนางไป
“จิ่ว” เฟิ่งชิงเฉินอยากจะเอ่ยปากขึ้นมา ทว่า นางไม่รู้จะคุยเรื่องอันใด
ฝ่าเท้าของเสด็จอาเก้าพลันหยุดลงอยู่ที่หน้าธรณีประตูจวน ด้วยความลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันมากล่าวกับเฟิ่งชิงเฉินว่า “เฟิ่งชิงเฉิน ต่อแต่นี้ไป ห้ามสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องของเปิ่นหวางอีก”
นี่เป็นคำสั่ง
เสด็จอาเก้ามิได้หันกลับมา พลันเดินออกไปจากจวนด้วยความรวดเร็ว มีเพียงเฟิ่งชิงเฉินเท่านั้น ที่ฟุบนั่งบนเก้าอี้ด้วยความผิดหวัง
“ที่แท้ ต้องทำชัดเจนถึงเพียงนี้เชียวหรือ ข้ายังนึกว่าท่านจะมาเพื่อให้โอกาสถึงหน้าจวน แต่กลับกลายเป็นว่า มาแกล้งกันนี่เอง ฮ่าฮ่าฮ่า” เฟิ่งชิงเฉินหัวเราะออกมา พร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลลงมาทั้งสองข้าง
“ไม่ร้อง เฟิ่งชิงเฉิน ไม่ต้องร้อง ในเมื่อรู้อยู่แล้ว ว่าเรื่องต้องเป็นเช่นนี้ จักต้องเศร้าใจไปทำไมกัน” เฟิ่งชิงเฉินพลันนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยความเหม่อลอย จนกระทั่งโจวสิงมาเรียกให้ไปรับสำรับมื้อค่ำ