บทที่ 88.1 วางแผนคิดการณ์ไกลและการตายของอันเล่อ (1)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

คนแซ่เจิ้งเพิ่งจะเคยเห็นฉู่ฉีเหยียนมีสีหน้าหนักอึ้งเยี่ยงนี้เป็นครั้งแรก นอกจากความอึ้งตกตะลึงก็แอบรู้สึกตกใจอยู่เล็กๆ

สีหน้าอารมณ์ของฉู่ฉีเหยียนสงบนิ่งเย็นชา ทำหน้ามืดมนไม่พูดเอ่ยคำใด

“เหยียนเอ๋อร์?” คนแซ่เจิ้งลองหยั่งเชิงเรียกเขาดู

หลี่หลินเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเคร่งขรึมแล้วกล่าวว่า “พระชายา เดิมทีเมื่อคืนซื่อจื่อตั้งใจจะส่งท่านหญิงอันเล่อกลับวัดก่วงเหลียน แต่ระหว่างทางมีธุระอื่นให้ไปทำ เลยทิ้งรถ…เอาไว้ให้ท่านหญิงขอรับ!”

“อะไรนะ?” คนแซ่เจิ้งมึนงง จู่ๆ ความรู้สึกที่พอจะวางใจลงได้ก็พลันลุกขึ้นมาอีกครั้ง

นางออกแรงบีบแขนฉู่ฉีเหยียน แล้วซักไซ้ถามด้วยใบหน้าซีดขาว “นี่เป็นเรื่องจริงงั้นเหรอ? เจ้าบอกว่าคนที่นั่งอยู่ในรถคันนั้นคืออวิ้นเอ๋อร์งั้นเหรอ?”

“ท่านแม่อย่าเพิ่งวู่วามไปเลยขอรับ ตอนนี้ก็ยังหารถม้านั่นไม่เจอไม่ใช่เหรอ? ไม่แน่อาจจะมีคนแจ้งความเท็จก็ได้นะขอรับ” ฉู่ฉีเหยียนพูดปลอบ

ใบหน้าของคนแซ่เจิ้งเต็มไปด้วยความเป็นห่วงทั้งกังวล กำผ้าเช็ดหน้าในมือไว้แน่น สายตาล่อกแล่กสอดส่องไปมั่วซั่ว จนสุดท้ายส่ายศีรษะออกมาอย่างหวาดกลัว “ไม่มีทาง ไม่มีใครที่ไหนกล้าเอาเรื่องนี้มาพูดล้อเล่น ข้า…”

นางพูดเสียงสั่น ฟันเองก็สั่นหงึกไม่แพ้กัน

ราวกับว่าความคิดของนางได้รับการยืนยัน ในที่สุดในหุบเขาด้านหน้าก็มีคนตะโกนร้องเสียงสูงขึ้นมาว่า “หาเจอแล้ว รถม้าอยู่ตรงนี้!”

คนแซ่เจิ้งหันมองแล้วรีบฝ่าออกไปอย่างรวดเร็ว

ฉู่ฉีเหยียนคว้าแขนนางเอาไว้แล้วกล่าวว่า “ทางลงเขาชันนัก ทั้งยังมีก้อนหินเยอะ ท่านแม่รอตรงนี้เถอะขอรับ เดี๋ยวข้าไปดูเอง”

มันอาจจะเกิดอะไรขึ้นกับฉู่หลิงอวิ้นก็ได้ เรื่องแบบนี้จะให้นางทนรอไหวได้อย่างไร จึงปัดมือเขาออก แล้วมุ่งหน้าเดินออกไปอย่างกระเสือกกระสนพลางพูดว่า “ข้าจะไปดูให้เห็นกับตาตัวเอง!”

ฉู่ฉีเหยียนเองก็ไม่บังคับ รีบสาวเท้าก้าวเข้าหาพยุงนางเดินลงไปด้านล่าง

หุบเขาตรงนั้นไม่ลึกมากนัก แต่ระหว่างทางมีแต่พุ่มไม้กับก้อนหินเต็มไปหมด ทำให้เดินไม่สะดวกเท่าไร

แถมจิตใจของคนแซ่เจิ้งตอนนี้เองก็ลนลานหวาดกลัวอยู่ ถึงแม้จะมีฉู่ฉีเหยียนคอยช่วยประคองตลอดทาง แต่ก็มีหลายครั้งที่เกือบจะลื่นล้มตกลงไป

“พระชายา เส้นทางนี้เดินเหินไม่สะดวก ท่านควรทำตามที่ซื่อจื่อว่า ขึ้นไปรอด้านบนเถอะนะเจ้าคะ!” แม่นมกู้เองก็เอ่ยโน้มน้าว

ทว่าคนแซ่เจิ้งไม่อยากฟังใครทั้งนั้น พยายามเดินลงไปอย่างเก้ๆ กังๆ ใช้เวลาไปกว่าหนึ่งถ้วยชา[1] ถึงจะลงมาในหุบเขานั้นได้

ตรงนั้นมีลำธารเล็กๆ สายน้ำไหลเบา แต่ก้อนหินเยอะมาก แถมส่วนมากยังมีคมแหลมโผล่ออกมาจากผิวน้ำอีก

รถม้าตกลงไปด้านข้างลำธารเล็กๆ นี้พอดี ม้าสองตัวที่ลากรถ ตายไปหนึ่งตัว ส่วนอีกตัวที่เหลือน่าจะหนีไปเพราะเชือกหลุดตอนรถกลิ้งตกลงมา จึงไม่เห็นร่องรอยของมัน

รถม้าตกอยู่ตรงนั้น ส่วนตัวรถคว่ำเอียงลงไป

คนแซ่เจิ้งถูกอีกฝ่ายพยุงแขนไว้อยู่ นางค่อยๆ ย่างเท้าเดินเข้าไป ก็เห็นกลุ่มคนยืนล้อมรถม้ากำลังส่งเสียงซุบซิบพูดคุยกันอยู่เบาๆ

คนแซ่เจิ้งเริ่มรู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดีเท่าไร กระชากคนดูแลจวนออกไปแล้วฝ่าเข้าไปในดงผู้คน จากนั้นดวงตาก็พร่าเลือน ร่างกายเซจนแทบจะล้มพับไป

ด้านล่างของรถม้าคันนั้นมีร่างหญิงสาวที่เต็มไปด้วยเลือด ครึ่งท่อนบนจมอยู่ในน้ำ เสื้อผ้าเปียกชุ่มจนแนบเนื้อ ส่วนครึ่งท่อนล่างถูกตัวรถทับไว้

ในขณะนั้นหญิงสาวคนนั้นเองก็หมดสติแล้ว มองไม่ออกเหมือนกันว่าบาดแผลอยู่ตรงไหน เห็นเพียงแต่เลือดที่ไหลอยู่ในสายน้ำ เมื่อมองออกไป ลำธารเส้นนั้นก็กลายเป็นสีแดงฉานไปหมดแล้ว

“อวิ้นเอ๋อร์!” คนแซ่เจิ้งเจ็บปวดทรมาน ตะโกนออกมาเสียงดังจนแทบจะขาดสติพลางพุ่งเข้าไปหา

นางพยายามดันรถออกเพื่อช่วยชีวิตบุตรสาวของตน

ฉู่ฉีเหยียนเองก็รีบเข้าไปคว้าตัวนางให้หยุดลง พลางหันไปสั่งทหารองครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านข้างว่า “ยังไม่รีบขยับรถม้าออกอีก?”

ถ้านับเวลาดูแล้ว น่าจะเกิดเรื่องกับฉู่หลิงอวิ้นมาได้หนึ่งวันเต็มๆ แล้ว สถานการณ์ตรงหน้าดูท่าจะโชคร้ายมากกว่าดีถึงแปดส่วนในสิบ

พวกทหารองครักษ์รับคำสั่ง พวกเขายี่สิบคนไปล้อมรอบรถม้าคันนั้นไว้ แล้วค่อยๆ เคลื่อนย้ายออกไปด้านข้างอย่างระมัดระวัง

คนแซ่เจิ้งเห็นร่างกายของบุตรสาวที่เต็มไปด้วยเลือดก็ตะโกนอย่างเศร้าโศกพลางกระโจนเข้าไป เอื้อมคว้าตัว

ฉู่หลิงอวิ้นเข้ามากอดแน่น ตะโกนร้องห่มร้องไห้เสียงดัง “อวิ้นเอ๋อร์? อวิ้นเอ๋อร์เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ตื่นสิ รีบตื่นขึ้นมาสิ!”

นางตะโกนขึ้นมาเสียงดัง เขย่าตัวฉู่หลิงอวิ้นอย่างแรง

ฉู่ฉีเหยียนขมวดคิ้วขึ้นแล้วเดินเข้าไปลองตรวจลมหายใจของฉู่หลิงอวิ้น กลับพบว่าอีกฝ่ายอีกฝ่ายยังมีลมหายใจยังไม่เสียชีวิตไป

“ท่านแม่ พี่ใหญ่ยังมีลมหายใจอยู่ ท่านอย่าเพิ่งวู่วามไป เรื่องนี้จะรอช้าไม่ได้ พวกเรารีบพานางกลับไปหาท่านหมอเถิด!” ฉู่ฉีเหยียนสูดหายใจเข้าลึกแล้วหันไปพูดอย่างจริงจัง

“เอาสิ! เอาสิ!” คนแซ่เจิ้งถึงค่อยเพิ่งรู้สึกตัว รีบคว้าโอกาสช่วยชีวิตครั้งสุดท้ายเอาไว้ รีบปล่อยฉู่หลิงอวิ้นออกให้เขาดูแล

ฉู่ฉีเหยียนอุ้มตัวฉู่หลิงอวิ้นเดินขึ้นไป

แม่นมกู้พยุงคนแซ่เจิ้งที่สติล่องลอยไปอยู่รั้งท้าย

ในขณะนั้นเอง จู่ๆ คนดูแลจวนก็วิ่งไล่หลังตามขึ้นมาแล้วพูดว่า “พระชายาขอรับ จะให้จัดการรถม้ากับม้าอย่างไรดีขอรับ?”

“หา?” ตอนนี้คนแซ่เจิ้งจะไปมีอารมณ์สนใจเรื่องนี้ได้อย่างไรกัน จึงเผยสีหน้ามึนงงออกมา

แม่นมกู้กำลังจะพูดสั่งสอนอย่างไม่สบอารมณ์ แต่คนคนนั้นก็รีบพูดเสริมขึ้นอย่างลนลาน “ข้าน้อยดูแล้ว เรื่องของท่านหญิง…คิดว่าน่าจะไม่ใช่อุบัติเหตุขอรับ!”

ความคิดความรู้สึกสิ้นหวังที่มีแต่เดิมของคนแซ่เจิ้งจู่ๆ ก็มีประกายไฟแห่งความหวังลุกโชนขึ้นมาทันที แววตาของนางดุดันเหี้ยมโหด เงยหน้ามองคนดูแลจวนผู้นั้น ตะโกนใส่เขาด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “เจ้าบอกว่าอะไรนะ?”

“ข้าน้อยไปตรวจสอบดูสถานที่เกิดเหตุมา แล้วพบว่าด้านหลังลำคอของม้าสีดำตัวนั้นมีแผลเล็กๆ อยู่สองจุดเหมือนมีคนใช้เข็มพิษหรือไม่ก็อาวุธชิ้นเล็กๆ ลอบโจมตีขอรับ ทำให้รู้สึกด้านชาแล้วถึงตกลงมาตรงนี้ได้!”

“เจ้าพูดว่าอะไรนะ?” คนแซ่เจิ้งราวกับถูกฟ้าผ่าลมา ร่างกายเดือดร้อนพล่าน น้ำเสียงเองก็สูงขึ้นไปตามอารมณ์ “เจ้าบอกว่านี่ไม่ใช่อุบติเหตุงั้นรึ อวิ้นเอ๋อร์ถูกคนลอบทำร้ายงั้นรึ?”

คนดูแลจวนก้มศีรษะลงไปราวกับมีอะไรที่ไม่สามารถพูดออกมาได้

คนแซ่เจิ้งเองก็รอไม่ไหว ถลกกระโปรงขึ้นเดินกลับไป “พาข้าไปดูหน่อย!”

“ขอรับ!” คนดูแลจวนผู้นั้นขานตอบแล้วนำทางนางไป แหวกขนบนคอของม้าสีดำที่นอนตายอยู่ตรงนั้นให้ดูอีกที เป็นอย่างที่เขาบอกว่ามีแผลเล็กๆ จางๆ อยู่สองที่จริงๆ

“ข้าน้อยเดาว่าคนผู้นั้นจะต้องปิดบังไม่ให้ใครรู้เรื่องนี้ เพราะเขาต้องตามมาทีหลัง เพื่อเก็บกวาดอาวุธลอบทำร้ายแน่นอน” คนดูแลจวนกล่าว

หยาดน้ำตาของคนแซ่เจิ้งยังแห้งไม่สนิทดี นางจ้องมองคอม้านั้นเขม็ง ออกแรงกำหมัดแน่น แผ่ความรู้สึกอาฆาตเคียดแค้นออกมาทั่วร่างกาย

ไม่นึกเลยว่าจะมีคนกล้าวางแผนทำร้ายบุตรสาวนาง? มันช่าง…

น่าโมโหเสียจริง!

“ใครเป็นคนทำกัน? ใครโกรธแค้นเกลียดชังอวิ้นเอ๋อร์ขนาดนี้?” คนแซ่เจิ้งร้องอย่างเจ็บปวดทรมาน

แต่คำตอบของคำถามนี้มันก็ไม่ได้หายากอะไร เมื่อนางพูดนางก็หยุดโวยวายต่อ แววตาพลันเย็นยะเยือก เผยให้เห็นความรู้สึกชั่วร้ายออกมา

“พระชายา…” แม่นมกู้เองเพิ่งเคยเห็นนางมีสีหน้าแบบนี้ครั้งแรก จึงกระตุกแขนเสื้อของนางอย่างกล้าๆ กลัวๆ “กลับขึ้นไปด้านบนกันก่อนเถอะเจ้าค่ะ ไปปรึกษาซื่อจื่อกันก่อนดีกว่าว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร!”

“ไม่!” คนแซ่เจิ้งพูดตัดบทขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย นางกัดฟันกรอดแล้วพูดออกมาทีละคำอย่างเย็นชาขึ้นว่า “ไม่ต้องบอกให้เขารู้เรื่องนี้!”

ถึงแม้จะบอกว่าจะให้ฉู่ฉีเหยียนไปแก้แค้นให้ฉู่หลิงอวิ้นได้ แต่ฉู่หลิงอวิ้นตายเพราะนางนั่งรถม้าของเขา แบบนี้มันไม่ยิ่งทำให้เขารู้สึกผิดเหรอไง?

ตอนนี้จะช่วยยื้อชีวิตของฉู่หลิงอวิ้นไว้ได้หรือเปล่าก็ยังบอกไม่ได้ นางจะปล่อยให้บุตรชายของตนแบกรับความรับผิดชอบแบบนี้อีกไม่ได้หรอก

แม่นมกู้เข้าใจความเป็นห่วงของคนแซ่เจิ้งดี เลยรีบตอบรับอย่างระมัดระวัง

“ไปกันเถอะ ขึ้นไปกันก่อน หากข้าไม่ได้สั่ง ใครหน้าไหนก็ห้ามพูดถึงเรื่องนี้เด็ดขาด!” คนแซ่เจิ้งกล่าว ตอนนี้นางสงบนิ่งใจเย็นขึ้นมาแล้ว

“รับทราบเจ้าค่ะ!” แม่นมกู้ขานตอบพลางพยุงแขนนางเดินขึ้นเดินไป

เนื่องด้วยฉู่หลิงอวิ้นได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อฉู่ฉีเหยียนอุ้มตัวนางขึ้นไป ก็สั่งให้คนพาตัวนางกลับจวนแล้วเชิญท่านหมอมาตรวจดูอาการทันที ส่วนตัวเองก็ยืนรอให้คนแซ่เจิ้งขึ้นมา แล้วเดินไปขึ้นรถม้าด้วยกัน

เมื่อคนของจวนอ๋องหนานเหอกลับออกไปหมดแล้ว หลังจากนั้นเวลาประมาณหนึ่งก้านธูป[2] ก็มีคนกลุ่มหนึ่งค่อยๆ ย่องเดินเข้ามา

องครักษ์สี่นายที่ดูภูมิฐานกับรถม้าที่ดูทรุดโทรม ดูแล้วมันไม่ต่างอะไรกับครอบครัวคนธรรมดาที่ออกมาเที่ยวเล่น

เมื่อเดินทางมาถึงสถานที่เกิดเหตุ รถม้าก็หยุดจอดลง องครักษ์คนหนึ่งกระโดดลงจากรถม้าไปได้สังเกตการณ์อยู่ใต้ต้นไม้ แล้วยกสองมือคำนับไปทางรถม้าพลางกล่าวว่า “ปฏิบัติการสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีขอรับ!”

“อืม!” เสียงพูดเบาๆ และอ่อนโยนของหญิงสาวดังออกมาจากรถม้า “ไปเถอะ กลับจวนได้แล้ว!”

“ขอรับ!” องครักษ์คนนั้นขึ้นม้า อารักขารถม้าให้มุ่งเดินทางกลับเมืองต่อไป

—————————————————-

[1] หนึ่งถ้วยชา เป็นคำเรียกเวลาโดยประมาณของคนจีนโบราณ ใช้เปรียบถึงช่วงเวลาที่สั้นมาก บางตำราเทียบว่าประมาณ 10 – 15 นาที

[2] หนึ่งก้านธูป เป็นคำเรียกเวลาโดยประมาณของคนจีนโบราณ บางตำราว่าประมาณครึ่งชั่วโมง บางตำราว่าหนึ่งชั่วโมง