บทที่ 88.2 วางแผนคิดการณ์ไกลและการตายของอันเล่อ (2)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

ภายในรถม้าคันนั้น ฉู่ซินรุ่ยกำลังเปิดอ่านหนังสืออย่างสบายใจ

พื้นที่ภายในรถม้าคันนั้นไม่ได้กว้างขวางนัก นอกจากนางแล้ว ยังมีสาวรับใช้นั่งอยู่ตรงมุม นั่งได้สองคนกำลังดี

รถม้ามุ่งหน้าเดินทางต่อไปได้สักพัก น่าจะอ่านหนังสือนานจนเหนื่อย นางจึงวางหนังสือลง สีหน้าอารมณ์ยังคงยิ้มแย้มไม่เปลี่ยนแปลง ปรายตามองไปยังสาวรับใช้ที่นั่งหลบมุมอยู่ขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าทำได้ดีมาก เจ้ารู้ใช่ไหมว่าควรต้องทำอะไรต่อไป?”

“เจ้าค่ะ!” สาวรับใช้ผู้นั้นขานตอบด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ให้ความเคารพ “ท่านหญิงโปรดวางใจเถอะเจ้าค่ะ ข้าน้อยจะไม่มีวันทำให้ท่านและท่านอ๋องผิดหวังแน่นอน!”

“หากเป็นเจ้าทำ ข้าย่อมวางใจอยู่แล้ว!” ฉู่ซินรุ่ยยิ้มแล้วกล่าวว่า “เจ้าก็ไปจัดการทำเรื่องที่ข้าสั่งไว้ให้เรียบร้อย ส่วนน้องชายน้องสาวของเจ้า เดี๋ยวข้าจัดการให้เอง”

“เจ้าค่ะ!” สาวรับใช้นางนั้นตอบ นอกจากสีหน้าแววตามุ่งมั่น ก็ไม่เผยสีหน้าอารมณ์อื่นใดให้เห็นอีก

ฉู่ซินรุ่ยเองก็ไม่ได้พูดอะไรมากกว่านี้ เปิดแง้มผ้าม่านออกเล็กน้อย พลางชมวิวด้านนอกอย่างสงบนิ่ง

รถม้าค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปอย่างไม่ช้าไม่เร็ว เมื่อเข้ามาถึงตัวเมืองแล้ว ก็เลี้ยวเข้าไปยังตรอกเปลี่ยวจากนั้น นางก็สั่งให้หยุดรถลงแล้วปล่อยตัวสาวรับใช้นั้นลงไป

เมื่อสาวรับใช้นางนั้นลงจากรถม้าไปแล้ว ก็วิ่งเลี้ยวออกไปอย่างไม่เหลือร่องรอย

อีกด้านหนึ่งของตรอกนั้น ฮวนเกอที่รอนางอยู่ก็เดินเข้ามา พลางพูดขึ้นด้วยสีหน้ากังวลใจคิ้วขมวดเป็นปมว่า “ครั้งนี้ซื่อจื่อจวนอ๋องหนานเหอต้องการยืมมือคนอื่นฆ่าคนชัดๆ เลย ก่อนเกิดเรื่องหรือหลังเกิดเรื่องไม่เห็นเงาจื่อเหวยเลยสักนิด เขาเป็นคนฉลาดจะตาย ไม่มีทางไม่สงสัยแน่นอน ตอนนี้ท่านให้จื่อเหวยกลับไป ท่านไม่กลัวว่าเขาจะรู้เรื่องแล้วทำให้สถานการณ์มันกลับตาลปัตรไปหรอกหรือเจ้าคะ?”

“ฉู่ฉีเหยียนเป็นคนฉลาดต่อกรได้ยากจริง แต่พระชายาหนานเหอชอบคิดว่าตัวเองฉลาดแต่นางยังมีช่องโหว่เยอะนัก สุดท้ายแล้วก็จะเป็นผลประโยชน์ของเราแน่นอน” ฉู่ซินรุ่ยกล่าว ลงมาจากรถม้าที่นางคอยช่วยพยุงจับอยู่ จากนั้นได้เปลี่ยนไปนั่งรถม้าหรูหราอันสุขสบายของตัวเอง แล้วหันไปพูดกับนางต่อ “เจ้าจื่อเหวยคนนี้ฉลาดนัก ท่านพี่อุตส่าห์ให้นางแฝงตัวอยู่ในจวนอ๋องหนานเหอมาตั้งสิบกว่าปี หากไม่ใช้งานนางหน่อย คงน่าเสียดายแย่เลย”

ฮวนเกอหยิบหมอนอิงอันนุ่มส่งให้นางแล้วไม่พูดอะไรขึ้นมาอีก

จื่อเหวยเป็นสายลับที่ฉู่อี้เจี่ยนส่งตัวไปยังจวนอ๋องหนานเหอมาตั้งแต่แรก เดิมทีอยากรอใช้นางในการณ์ใหญ่มากกว่านี้ แต่น่าเสียดายที่ฉู่อี้หมินไม่ทะเยอทะยาน ถูกสองพี่น้องฉู่สวินหยางรั้งไว้ซะได้

แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่านางข้ารับใช้คนนี้เป็นคนฉลาดจริงๆ นางเองก็รู้ตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าฉู่หลิงอวิ้นมีความคิดจะลงมือจัดการจางอวิ๋นเจี่ยน เลยรีบปลีกตัวหลบหนี แล้วปล่อยให้จื่อซวี่โชคร้าย ตกเป็นตัวตายตัวแทนให้ฉู่หลิงอวิ้นไป

ครั้งนี้ที่ทำให้ฉู่หลิงอวิ้นถือโอกาสกลับเข้าเมืองในยามวุ่นวายแบบนี้ก็เป็นผลงานของจื่อเหวยเช่นเดียวกัน

เพียงแต่ว่าเดิมทีฉู่อี้เจี่ยนตั้งใจจะใช้นางหลอกล่อวางแผนเพื่อทำร้ายฉู่ฉีเหยียน แต่มันก็ไม่ได้จังหวะเสียที ระหว่างที่ฉู่ฉีเหยียนพานางกลับจวนก็เจอกับฉู่สวินหยางเข้า พวกเขามีปากเสียงกัน จนทำให้เขาเปลี่ยนเส้นทางไป คลาดเคลื่อนกันไปนิดเดียวก็จะสำเร็จแล้วแท้ๆ

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ฉู่ซินรุ่ยก็รู้สึกเสียดายขึ้นมา นางรับแก้วชาที่ชิงเกอยื่นให้ขึ้นมาดื่มไปหนึ่งคำ เผยสีหน้าสุขุมนุ่มลึกออกมาพลางพูดพึมพำขึ้นว่า “เมื่อวานเกิดเรื่องอะไรขึ้นในตรอกนั้นรึ? ฉู่สวินหยางกับฉู่ฉีเหยียนสองพี่น้องนั่นคงไม่ใช่เป็นคู่หูคู่แค้นแล้วทะเลาะกันง่ายๆ แบบนั้นแน่ๆ!”

“ตอนนั้น ในตรอกนั่นยังมีคนของแคว้นหนานฮวาอยู่ด้วยเจ้าค่ะ มีม้ากับผู้คนรวมตัวกันอยู่ตรงนั้นเยอะพอสมควร คนของเรากลัวจะถูกจับได้ เลยยืนออกมาไกลหน่อย จึงไม่รู้อย่างละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้นตรงนั้นกันแน่” ชิงเกอกล่าวแล้วถอนหายใจ “แต่ก่อนก็พูดกันว่าซื่อจื่อจวนอ๋องหนานเหอกับท่านหญิงอันเล่อสนิทสนมกันมากไม่ใช่เหรอเจ้าคะ? เมื่อคืนที่เขาปลีกตัวออกไป แสดงว่าต้องรู้เรื่องที่พวกเราจะลอบทำร้ายเป็นแน่ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายเขาจะให้ท่านหญิงอันเล่อเป็นตัวรับเคราะห์แทนเขา!”

“นั่นสิ ข้าก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าเขาจะทำแบบนั้น” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ฉู่ซินรุ่ยก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นสงสัย

นางคิดว่าตัวเองเข้าใจรู้จักฉู่ฉีเหยียนดี ฉู่ฉีเหยียนเป็นคนโหดเหี้ยม แต่ก็ไม่ได้เย็นชาไร้เยื่อใยขนาดนั้น ตามปกติแล้ว ในเมื่อรู้ว่าอาจจะเกิดอันตรายตามมา อย่างน้อยๆ เขาก็น่าจะพาฉู่หลิงอวิ้นออกไปด้วย แต่มาครั้งนี้เขากลับทำตัวผิดปกติ ไม่นึกเลยว่าจะปล่อยให้ฉู่หลิงอวิ้นรับเคราะห์กรรมอย่างไม่สนใจใยดี

ตอนนั้นหากไม่ได้กลับไปเก็บอาวุธที่ใช้ลอบทำร้ายมา นางกับฉู่อี้เจี่ยนก็ไม่รู้หรอกว่าคนที่ตกลงไปจะเป็นคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างฉู่หลิงอวิ้นได้

เมื่อคิดแบบนั้น…

เรื่องนี้มันทำให้คนรู้สึกเสียใจและไม่สบอารมณ์เลยจริงๆ

“ท่านอ๋องออกจากเมืองไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ แล้วยังไม่กลับมาเลยเจ้าค่ะ” ชิงเกอกล่าว “ต้องให้คนไปส่งข่าวอธิบายถึงสถานการณ์ที่นี่ให้เขาไหมเจ้าคะ?”

“ไม่ต้องหรอก อย่างไรเรื่องมันก็เป็นแบบนี้แล้ว อย่าไปทำให้เขาเสียสมาธิเลย” ฉู่ซินรุ่ยกล่าวปฏิเสธข้อเสนอของนางอย่างไม่ต้องคิด

ชิงเกอจึงไม่พูดอะไรขึ้นอีก นั่งชงชาเงียบๆ ต่อไป

หลี่หลินพาตัวฉู่หลิงอวิ้นกลับจวนก่อนถึงค่อยไปเชิญท่านหมอกับหมอหลวงอีกหลายคนแล้วตามเข้าไป

แต่กลางค่ำกลางดึกแบบนี้ จวนอ๋องหนานเหอกลับมีผู้คนเข้าออกไม่ขาดสาย วุ่นวายกันพอสมควรเลยทีเดียว

คนแซ่เจิ้งเดินวนไปวนมาอยู่ในโถงบุปผาอย่างร้อนรนใจ ทว่าฉู่ฉีเหยียนกลับถูกฉู่อี้หมินเรียกให้ไปหาที่ห้องหนังสือ

ข้ารับใช้ถืออ่างกับผ้าพันแผลวิ่งไปวิ่งมาไม่หยุด ทำให้คนที่เห็นยิ่งรู้สึกกระวนกระวายใจเหลือเกิน

“พระชายานั่งพักก่อนเถิดเจ้าค่ะ พยายามกันมาทั้งคืนแล้ว ฟ้าสวรรค์ต้องช่วยคนดีอย่างท่านหญิงแน่นอนเจ้าค่ะ อย่างไรท่านหญิงก็ต้องรอดพ้นจากขีดอันตราย” แม่นมกู้กล่าวอย่างเป็นห่วงเป็นใย

“ไม่ ข้าไม่มีวันไปไหนทั้งนั้น ข้าจะรออยู่ที่นี่!” ไม่ว่าอย่างไรคนแซ่เจิ้งก็ไม่ตอบรับคำขอ

หมอหลวงกับท่านหมอยุ่งหัวหมุนมากว่าหนึ่งชั่วยาม ยามเช้าตรู่ค่อยทยอยถือกล่องยาออกมาทีละคนด้วยสีหน้าท่าทางเหนื่อยล้า

“ท่านหมอหลวง อวิ้นเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง?” คนแซ่เจิ้งรีบตรงดิ่งเข้าไปถาม

“เฮ้อ!” หัวหน้าหมอหลวงถอนหายใจออกมา เห็นแค่สีหน้าของเขา คนแซ่เจิ้งก็ชะงักไป จากนั้นเขาก็พูดเสริมต่อขึ้นมาอีกว่า “ศีรษะของท่านหญิงได้รับการกระทบจากวัตถุขนาดใหญ่อย่างรุนแรง อวัยวะภายในเสียหายเป็นอย่างมาก สถานการณ์ไม่ค่อยสู้ดีนัก เมื่อครู่ข้าน้อยได้ทำการฝังเข็มรักษาให้ท่านหญิงไปแล้ว ส่วนนี่คือยารักษา พระชายาสั่งให้คนนำไปต้มให้นางกินเถิด ตอนนี้หวังแค่ว่าท่านหญิงจะอดทนต่อไปไหว ลืมตาตื่นขึ้นมาได้ อย่างไรข้าน้อยขอตัวลาก่อนนะขอรับ!”

ขนาดหมอหลวงยังพูดแบบนี้ งั้นก็หมายความว่าก็มีโอกาสรอดสินะ

คนแซ่เจิ้งเลือดไม่ไปสูบฉีดเลี้ยงสมอง นางเดินตัวเซถอยหลังไป

“พระชายาระวังเจ้าค่ะ!” แม่นมกู้รีบเข้าไปช่วยพยุงนางเอาไว้

หมอหลวงทั้งหลายถอนหายใจพลางกล่าวคำร่ำลาแล้วจากออกไป

“แม่นมกู้!” คนแซ่เจิ้งอดกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวจนร้องไห้ออกมาอีกครั้ง จากนั้นก็คิดว่ามันไม่เป็นประโยชน์กับเรื่องนี้ จึงเช็ดน้ำตาออก แล้วรีบเดินเข้าไปในห้อง เฝ้าอยู่ข้างเตียงของฉู่หลิงอวิ้นไม่ห่างแม้แต่สักก้าวเดียว

แม่นมกู้ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ สั่งให้คนไปต้มยามา

ไม่นานนักข้ารับใช้ก็ถือถ้วยยาร้อนๆ มาให้

คนแซ่เจิ้งไม่ได้สั่งใครแตะต้อง นางถือถ้วยยาขึ้นแล้วพยุงร่างกายของฉู่หลิงอวิ้นให้ลุกขึ้นมา จากนั้นก็ค่อยๆ ป้อนเข้าปากฉู่หลิงอวิ้นไปทีละคำ

ฉู่หลิงอวิ้นไม่ได้สติ ทั้งยังเสียเลือดไปมาก ทำให้ใบหน้าขาวซีดจนน่ากลัว ร่างกายอ่อนปวกเปียก

คนแซ่เจิ้งป้อนยาให้นางไปสองคำ เห็นสภาพของนางเป็นแบบนั้นก็อดที่จะร้องไห้ไม่ได้ ในขณะที่กำลังเสียใจเศร้าโศกอยู่นั้น จู่ๆ ร่างกายของฉู่หลิงอวิ้นที่อยู่ในอ้อมกอดนางก็กระตุกขึ้น

คนแซ่เจิ้งดีใจ คิดว่านางฟื้นแล้วจึงเอ่ยเรียกนาง ทว่ากลับพบว่านางบ้วนเลือดสีดำออกมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

“อวิ้นเอ๋อร์!” คนแซ่เจิ้งตกใจจนผละมือออกจากตัวนาง แล้วตัวเองก็กระโดดหนีไปด้านข้าง

ฉู่หลิงอวิ้นนั่งตัวงออยู่บนเตียง ใบหน้าเริ่มให้เห็นสีหน้าทุกข์ทรมานออกมา มือไม้ชักกระตุก จากนั้นก็มีเลือดดำไหลออกมาทางปาก ไม่นานหลังจากนั้นร่างกายก็แน่นิ่งไม่ขยับขึ้นอีก

คนแซ่เจิ้งยืนอยู่ข้างเตียงเบิกตามองโพลง กลิ่นคาวเลือดและยาคละคลุ้งไปทั่วห้อง

เวลาผ่านไปนานพอสมควรกว่านางจะรู้สึกตัวขึ้นมา ก้มศีรษะมองถ้วยยาที่ตกอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ

ในขณะที่นางกำลังจะส่งเสียงเรียกคนตอนนั้น ก็ได้ยินแม่นมกู้วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อนพลางพูดว่า “พระชายาเจ้าคะ ท่านหญิงสวินหยางมารอขอพบท่านเจ้าค่ะ!”

——————–