เมื่อแม่นมกู้พูดจบไม่ทันไร เดินเข้ามาเห็นสถานการณ์ด้านใน ก็ตกใจหวาดกลัวจนหน้าเปลี่ยนสี ก้าวถอยหลังไปทันที ชี้นิ้วไปยังร่างของฉู่หลิงอวิ้นที่ล้มนอนอยู่เบื้องหน้า พูดขึ้นเสียงสั่น “นี่มัน…นี่มัน…นี่มันท่านหญิงนี่…”
คนแซ่เจิ้งหน้าซีดขาว ยืนอึ้งตกใจตาเบิกโพลงอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะรู้สึกตัว ทันใดนั้นสายตาก็รู้สึกได้ถึงความรุนแรงที่คืบคลานเข้ามา หันหน้าพูดกับแม่นมกู้ขึ้นว่า “เจ้าบอกว่าผู้ใดมาเยือนนะ?”
“ท…ท่านหญิงสวินหยางเจ้าค่ะ!” แม่นมกู้กล่าว
พูดยังไม่ทันจบ คนแซ่เจิ้งหมุนตัวออกไปอย่างรวดเร็วราวกับสายลม
แม่นมกู้เห็นสภาพห้องตรงหน้า ก็รู้สึกสลดใจเป็นอย่างยิ่ง ตัวสั่นขวัญผวา เดินตามออกไปอย่างรีบร้อน
คนแซ่เจิ้งเดินออกไปโดยไม่ทันได้สนใจรอยเลือดที่ติดอยู่บนเสื้อผ้าจนมาถึงประตูใหญ่
ในขณะเดียวกันนั้นเอง ฉู่สวินหยางก็ได้ยืนรออยู่ตรงนั้นแล้ว
เมื่อพ่อบ้านแห่งจวนอ๋องหนานเหอเห็นการปรากฏตัวขึ้นของคนแซ่เจิ้ง ก็รีบเข้าไปทักทาย “พระชายา เหตุใดถึงได้มาเองเล่า…”
คนแซ่เจิ้งไม่รอให้พ่อบ้านพูดจนจบประโยค นางรีบผลักอีกฝ่ายออกแล้ววิ่งไปยังประตูใหญ่ ชี้นิ้วไปเบื้องหน้าพลางสั่งการเสียงดัง “ล้อมพวกมันเอาไว้ จับตัวพวกมันมาให้ได้!”
พ่อบ้านได้ยินดังนั้นก็ตกใจ ขานรับคำสั่งอย่างเคยตัว
เหล่าบรรดาข้ารับใช้ทั้งหลายเดินหน้ารับคำสั่งเต็มกำลัง มุ่งหน้าไปยังประตูใหญ่ ปิดกั้นสองข้างทางเอาไว้จนมิด ทำให้ขบวนของฉู่สวินหยางไม่อาจเดินหน้าต่อได้
คนแซ่เจิ้งยืนอยู่บนขั้นบันไดสูง สีหน้าและอารมณ์เต็มไปด้วยความเย็นชา นางสั่งการขึ้นอีกครั้ง “จัดการแม่หญิงผู้นี้เสีย!”
เมื่อคำพูดนั้นเปล่งออกมา พร้อมทั้งอารมณ์อาฆาตพยาบาทอย่างรุนแรง
เนื่องด้วยสถานะของฉู่สวินหยางพิเศษกว่าผู้อื่น พ่อบ้านสั่งให้บรรดาข้ารับใช้ที่ยืนประจันหน้าหยุดอยู่กับที่
คนแซ่เจิ้งไม่แม้แต่ชายตามองผู้ใด นางจ้องมองฉู่สวินหยางด้วยสายตาเย็นชาอย่างไม่ลดละ ตะคอกเสียงดังขึ้นว่า “พวกเจ้าไม่ได้ยินคำสั่งของชายาเอกหรืออย่างไร จัดการแม่หญิงผู้นี้เสีย!”
“พระชายา…” แม่นมกู้ตามมาภายหลัง พูดโน้มน้าวนาง “ท่านใจเย็นๆ ก่อนนะเจ้าคะ ทำแบบนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ!”
“แม่หญิงผู้นี้บุกรุกเข้ามาทำร้ายอวิ้นเอ๋อร์ของข้าหลายครา ถึงแม้วันนี้เรื่องจะถึงหูคนในท้องพระโรงเข้า ข้าก็มีคำอธิบาย” คนแซ่เจิ้งกล่าว หาได้ฟังคำพูดโน้มน้าวไม่ พร้อมทั้งออกคำสั่งขึ้นอีกครา “จัดการแม่หญิงผู้นี้เสีย พวกเจ้าหูหนวกงั้นรึไง?”
พ่อบ้านและเหล่าองครักษ์ต่างก็รู้สึกแย่
ฉู่สวินหยางยืนยิ้มอยู่ด้านล่างบันไดตรงหน้านาง หุบยิ้มลงแล้วเดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว เอ่ยขึ้น “พระชายาเอกแห่งจวนอ๋องหนานเหอโปรดใจเย็นลงหน่อยเถิด ไม่ว่าท่านจะพูดซ้ำกี่สิบกี่ร้อยครั้ง ก็หามีผู้ใดกล้าแตะต้องตัวข้าไม่!”
ทุกคนต่างรู้สถานะของนางดี ใต้หล้าฟ้านภาแห่งนี้ เว้นเสียว่าจะเป็นคำสั่งของฮ่องเต้ มิฉะนั้นก็…
ขนาดฉู่อี้หมินเองก็ไม่อาจหาญแตะต้องนางอย่างพลการ
“เจ้า…” ร่างกายของคนแซ่เจิ้งร้อนรุ่มไปด้วยแรงอาฆาตแค้น กัดฟันกรอด กล้ามเนื้อกรามเกร็งตึง ยกมือขึ้นชี้นิ้วสั่นระริก ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเอาไว้ได้
ฉู่สวินหยางหาได้สนใจนางไม่ เลิกคิ้วหันไปส่งสายให้เจี๋ยหงที่ยืนอยู่ข้างกาย
“เจ้าค่ะ ท่านหญิง!” เจี๋ยหงขานตอบ พลางหันหลังไปลากตัวทาสรับใช้สาวที่ถูกเชือกมัดคอและแขนออกมา จากนั้นผลักนางผู้นั้นไปเบื้องหน้าของคนแซ่เจิ้ง
คนแซ่เจิ้งขมวดคิ้วหันไปปรายตามอง แววตานั้นมีความรู้สึกสับสนอยู่ชั่วขณะ
แม่นมกู้ส่งเสียงร้องสงสัย แล้วเอ่ยขึ้น “จื่อเหวย?”
“เจ้าหมายความว่าอะไร?” คนแซ่เจิ้งเรียกสติกลับคืน พูดขึ้นด้วยความโกรธ ถลกกระโปรงขึ้นแล้วเดินลงบันไดมาอย่างเร่งรีบ จ้องหน้าสวินหยางอย่างโมโห จากนั้นพูดขึ้น “ทำร้ายอวิ้นเอ๋อร์ยังไม่พอ เจ้ายังจับทาสรับใช้ของจวนอ๋องหนานเหอมาข่มขู่ข้าต่อหน้าอีก? ฉู่สวินหยาง เจ้าอย่าริอาจคิดเชียวว่ามีองค์รัชทายาทคอยปกป้อง แล้วเจ้าจะทำอะไรก็ได้ เจ้า…”
“พระชายาเจ้าคะ ข้าน้อยมีเวลาไม่มาก ไม่มีเวลามาต่อปากต่อคำกับท่านหรอกนะ” ฉู่สวินหยางเอ่ยเสียงดัง ไม่ปล่อยให้นางพูดต่อ “ที่ข้ามาวันนี้หาได้มีเหตุผลอื่นไม่ ข้าเพียงนำข้ารับใช้นางนี้มาคืนให้ท่าน ท่านควรไตร่ตรองให้ดีก่อนเอ่ยคำใดออกมานะเจ้าคะ!”
ฉู่สวินหยางพูดพลางผลักนางข้ารับใช้ออกไป
จื่อเหวยโดนผลักจนเซ แต่แม่นมกู้คว้าพยุงไว้ได้ทัน
ลูกสาวของคนแซ่เจิ้งเพิ่งเสียชีวิตไป สมควรแก่การโกรธแค้นร้อนรนแต่แรกแล้ว เดิมทีนางอยากพุ่งโจมตีอย่างไม่คิดด้วยซ้ำ แต่เมื่อนางหันไปมองร่างกายของจื่อเหวย จู่ๆ ก็เห็นภาพเลือนรางภาพหนึ่งขึ้น
นางใจหาย ถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างหวาดกลัว ชี้หน้าจื่อเหวยพูดขึ้นอย่างเหลือเชื่อว่า “เจ้า…คนเมื่อวานคือเจ้า”
ยาที่ฉู่หลิงอวิ้นดื่มเป็นชามสุดท้าย จื่อเหวยเป็นคนส่งให้นางกับมือ
ตอนนั้นฉู่หลิงอวิ้นกลับจวนมาด้วยสภาพสะลึมสะลือ ระหว่างทางกลับมาก็ไม่ได้กินอาหารอื่นใดเลย ถ้าหากต้องชี้ตัวว่าใครเป็นคนวางยาพิษทำร้ายนางล่ะก็ ถ้างั้น…
ผู้นั้นต้องทำมิดีมิร้ายลงในยาชามนั้นเป็นแน่
เพราะฉะนั้น?
เป็นฝีมือจื่อเหวยงั้นรึ?
คนแซ่เจิ้งตกใจ ความโกรธแค้นในใจค่อยๆ ปะทุขึ้น ง้างมือขึ้นตบหน้าของจื่อเหวยอย่างแรง “นางทาสชั้นต่ำ จิตใจชั่วร้ายต่ำตม กล้ามากนะที่ช่วยคนนอกวางแผนทำร้ายเจ้านายตัวเอง!”
นางใช้แรงทั้งหมดที่มีฟาดลงไป จื่อเหวยโดนมัดไว้ จึงได้แต่ล้มกลิ้งอยู่ที่พื้น
สองมือของจื่อเหวยถูกพันธนาการไว้ จึงไม่อาจลุกขึ้นได้ ปากนางแตกเลือดซิบ กัดฟันอดทนเอาไว้ ไม่แม้แต่ส่งเสียงร้อง เพียงนอนขดตัวอยู่ตรงนั้น แล้วจ้องมองคนแซ่เจิ้งอย่างไร้เสียง ภายใต้อารมณ์ท่าทางนั้นหาได้มีหวาดกลัวหรือรู้สึกผิดแต่อย่างใด
คนแซ่เจิ้งถูกนางจ้องมองด้วยสายตาที่ไม่ลดละ จนรู้สึกอึดอัดคับแค้นใจยิ่งกว่าเดิม
ฉู่สวินหยางกลับคร้านที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวของพวกนาง จึงเผยอยกยิ้มมุกปาก แล้วพูดขึ้นว่า “พระชายา ท่านยังมีเรื่องในบ้านให้สะสางอีกมาก งั้นข้าขอตัวลาก่อนนะเจ้าคะ ไม่อยู่รบกวนแล้ว!”
พูดจบก็เดินหันหลังไปยังรถม้า จากไปโดยไม่สนใจคนแซ่เจิ้งแม้แต่นิด
ในเวลานี้คนแซ่เจิ้งหาได้สนใจฉู่สวินหยางต่อไปไม่ นางจ้องจื่อเหวยเขม็งด้วยความโมโห ภายใต้อารมณ์โกรธแค้นนั้น เสียงเล็ดลอดออกมาจากซี่ฟันอย่างยากลำบาก “เจ้าพูดมา ใครเป็นคนบงการเจ้า?”
ทาสรับใช้ผู้นี้ไม่ได้เป็นคนโง่ จื่อเหวยเป็นข้ารับใช้ข้างกายของฉู่หลิงอวิ้น แต่เมื่อเกิดอันตรายขึ้นกับฉู่หลิงอวิ้น นางกลับไม่ได้ติดตามอย่างใกล้ชิด
ตอนกลางคืนคนแซ่เจิ้งเป็นห่วงความปลอดภัยของฉู่หลิงอวิ้นมากจนไม่ทันได้คิดถึงเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วน นางเพิ่งมาเข้าใจเรื่องทั้งหมดก็ตอนนี้…
นางเกรงกลัวว่าเรื่องอันตรายทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับฉู่หลิงอวิ้น จะเป็นฝีมือของทาสรับใช้นางนั้น
แต่ทาสรับใช้ที่ไม่สามารถพึ่งพาได้อย่างจื่อเหวย จะลงมือทำร้ายฉู่หลิงอวิ้นเพราะเหตุใดกัน?
หากบอกว่าไม่มีใครบงการนาง ไม่มีใครคนใหญ่คนโตช่วยเหลือ?
ใครจะเชื่อลง!
จื่อเหวยถูกคนแซ่เจิ้งจ้องมอง แต่ไม่รู้สึกหวาดกลัวแม้แต่นิด หนำซ้ำยังยิ้มเย็นชาพลางพูดขึ้นว่า “ข้าน้อยหาได้มีความแค้นเคืองกับท่านหญิงไม่ ข้ามีเหตุผลใดที่ต้องทำร้ายท่านหญิงด้วย? ในเมื่อท่านต้องการจะถาม…”
ในขณะที่จื่อเหวยพูดอยู่ จู่ๆ ก็ส่ายหัวไปมาอย่างน่าอนาถ “อย่างไรก็ตามถึงวันนี้ข้ารอดพ้นไปได้ ข้าก็อยากเล่าความจริงให้ท่านฟัง ตั้งแต่แรกข้าหาได้มีความคิดต้องการทำร้ายท่านหญิงเลย เรื่องทั้งหมดนี้…แท้จริงแล้วเรื่องมันเกิดขึ้นเพราะมีคนอยากจัดการกับซื่อจื่อต่างหากเล่า! แต่บังเอิญว่าซื่อจื่อมีธุระเลยหลบหนีไปก่อน ท่านหญิงเลยกลายเป็นผู้รับเคราะห์แทน”
ไม่ได้หวังร้ายกับฉู่หลิงอวิ้น? แต่มีคนต้องการปลิดชีวิตฉู่ฉีเหยียนงั้นรึ?
คนแซ่เจิ้งรู้สึกเหมือนโดนอะไรบางอย่างหนักอึ้งกระแทกเข้าที่ศีรษะ หน้าขาวซีดเดินถอยหลังด้วยความตกใจ
ถึงแม้ทั้งสองต่างเป็นลูกของนาง แต่ถ้าใครมุ่งร้ายกับฉู่ฉีเหยียน มันกลับทำให้นางหวาดกลัวยิ่งกว่าความโชคร้ายของฉู่หลิงอวิ้นอีก
คนแซ่เจิ้งสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ทันสังเกตเลยว่าขบวนของฉู่หวินหยางได้หายตัวไปจากตรอกตรงหน้าแล้ว
นางพยายามควบคุมสติอารมณ์ เดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว ชี้หน้าจื่อเหวยแล้วพูดอย่างหวาดผวา “เจ้าบอกว่ามีคนคิดร้ายกับเหยียนเอ๋อร์รึ? ผู้นั้นเป็นใครกัน?”
“ที่ข้าเล่าเรื่องพวกนี้ให้ท่านฟัง ก็เพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์นายบ่าวในอดีตของเรา ท่านได้โปรดหยุดการกระทำของท่านไว้เพียงเท่านี้เถิด!” จื่อเหวยพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา และไม่อ้าปากพูดขึ้นอีก
เมื่อคนแซ่เจิ้งได้ยินคำพูดจากปากของนางก็ยิ่งอกสั่นขวัญหาย
หากมีคนจ้องหวังร้ายฉู่ฉีเหยียนอยู่เบื้อหลังจริงอย่างที่ว่าล่ะก็ แล้วถ้าไม่สามารถจับตัวผู้นั้นออกมาได้ นั่นก็หมายความว่าศีรษะของลูกชายนางถูกคมมีดจ่ออยู่ตลอดเวลา?
“เจ้ากล้าปิดบังข้างั้นรึ?” คนแซ่เจิ้งเดินหน้าขึ้นอีกก้าว ดึงคอเสื้อจื่อเหวยขึ้น มองด้วยแววตากดดันอย่างโหดเหี้ยม
จื่อเหวยมองคนแซ่เจิ้ง ยิ้มแล้วเอ่ยเสียงขึ้นอย่างเยาะเย้ย “พระชายาอย่าได้เปลืองแรงไปมากกว่านี้เลยเจ้าค่ะ!”
คนแซ่เจิ้งไม่รู้จะทำอย่างไรกับการกระทำอันไร้เหตุผลของนาง คิดลังเลอยู่ชั่วครู่แต่ก็ยังไม่สบอารมณ์ พลางสั่งการกับแม่นมกู้ไว้ว่า “ลากตัวนางไป สอบสวนออกมาให้หมด ให้นางเปิดปากให้ได้ เจ้าไปควบคุมด้วยตัวเอง จับตามองนางอย่าให้คลาดสายตา!”
“เจ้าค่ะ” แม่นมกู้ขานตอบ จากนั้นโบกมือสั่งให้คนลากตัวจื่อเหวยไป
———————-