ตอนที่ 247 ทุกคนช่างแสนดี

หวังหยางยิ้ม “น้องจ้าวเอ๋ย บางครั้งฉันก็สงสัยนะว่านายมาจากชนบทจริงเหรอ? ฉันไม่ได้หมายความเป็นอย่างอื่นหรอก ไม่ใช่ว่าฉันดูถูกคนในชนบทนะ แต่ฉันแค่รู้สึกว่านายค้าขายได้ฉลาดกว่าคนในเมืองเสียอีก!”

จ้าวเหวินเทากล่าว “พี่หวัง ขอบคุณสำหรับคำชมของพี่นะ ผมเป็นคนในชนบทของแท้จริง ๆ ผมรู้ดีว่าคนเมืองต่างก็ดูถูกคนในชนบท เพราะคิดว่าพวกคนในชนบทเป็นพวกบ้านนอก ไม่เคยมีประสบการณ์ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับคน ก็เหมือนคนในเมืองนั่นแหละที่บางคนก็ไม่มีประสบการณ์เหมือนกัน ผมทำธุรกิจให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์ พี่ชนะผมชนะ ทุกคนชนะร่วมกัน พี่ได้ผมได้ ทุกคนก็ได้ร่วมกัน ค้าขายแบบนี้ถึงจะดำเนินต่อไปได้ ไม่งั้นถ้าให้ผมได้เงินคนเดียว หลังจากนี้ใครจะอยากค้าขายกับผมล่ะ จริงไหม?”

“เหตุผลนี้แหละ” หวังหยางพยักหน้า

จ้าวเหวินเทารินเหล้าให้อีกฝ่ายจนเต็มแก้วอีกครั้ง “ดังนั้นผมก็เลยพูดความจริงกับพี่หวัง ที่ดินผืนนี้ผมแค่เช่าไม่ได้ขาย เงินค่าเช่าผมเอาไม่เยอะ แล้วก็ไม่เพิ่มภาระให้พี่ด้วย ส่วนผม ที่ดินผืนนี้จะไว้ให้ลูกชายทำกิจการ ภายภาคหน้าจะมีหรือไม่มีอนาคตก็ยังมีข้าวให้กิน ผมที่เป็นคนแก่ก็จะได้ไม่รู้สึกผิดกับเขาด้วย”

“น้องจ้าวพูดอะไรแบบนี้เนี่ย คนฉลาดแบบนายยังต้องกังวลว่าลูกชายจะไม่มีข้าวกินอีกเหรอ?”

“มีข้าวให้กินก็ต้องได้กินดียิ่งขึ้น จะได้ให้ครอบครัวของเขาได้เดินหน้าต่อไป เป็นเบบนั้นผมก็ยิ่งมีความสุข พี่หวัง ว่ายังไงล่ะ พวกเราก็เป็นคนจริงกันทั้งนั้น ถ้าต้องทำเรื่องไม่จริงพวกนั้นหรอก ได้ไม่ได้ยังไงพี่ก็ว่ามาตรง ๆ เลย”

หวังหยางทราบที่ทำเลของฟาร์มกระต่ายแล้ว เพียงแต่ไม่คิดจะซื้อ ช่วงหลายปีมานี้สถานการณ์ดีขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการขนส่งที่คล้ายกับการหยิบเงินเลยจริง ๆ เขาเองก็ต้องการสถานที่ที่ใหญ่ขึ้นเพื่อขยายธุรกิจ แต่เพิ่งจะมีความคิดนี้ผุดขึ้นมา จ้าวเหวินเทาก็มาส่งให้ถึงบ้าน นี่มันเรียกว่าอะไรกัน อยากจะนอนก็มีหมอนส่งมาให้ประมาณนั้นเลย

“น้องจ้าว แล้วนายตัดสินใจว่าจะปล่อยเช่านานเท่าไรล่ะ?” หวังหยางถาม

“ลูกชายผมเพิ่งไม่กี่เดือนเอง ระยะเวลาสั้น ๆ นี้คงปล่อยเช่าตลอดแน่นอน เอาแบบนี้ไหม สัญญารอบละสามปีดีไหม?” จ้าวเหวินเทากล่าว

“สามปีก็ได้อยู่นะ แต่ฉันทำเรื่องขนส่ง ฉันต้องเก็บข้าวของอีก เรื่องนี้ก็ต้องใช้เงิน แต่ถ้าเซ็นสัญญาร่วมกันอย่างน้อย ๆ ก็ต้องสิบปี เงินค่าเช่าในช่วงเวลาสิบปีนี้ห้ามเปลี่ยน หลังจากสิบปีให้หลังถ้าค่าเช่าปรับเพิ่ม ฉันมีสิทธิ์พิเศษก่อนใคร ตกลงไหม?”

จ้าวเหวินเทาใจถึงมาก “งั้นเอาตามนี้ครับ ระยะเวลาทำสัญญาสิบสองปี เป็นข้อตกลงที่ดี”

“น้องจ้าวใจถึงดีจริง ๆ!” หวังหยางเห็นจ้าวเหวินเทาไม่อิดออดแม้แต่น้อย ก็รู้สึกมีความสุขมากเช่นกัน

จ้าวเหวินเทายิ้ม “ผมเป็นพวกกลัวความยุ่งยาก ถ้าพี่ไม่เช่า ผมก็ยังต้องไปหาคนอื่นอีก แต่ก็นะพี่หวัง ผมให้เวลาพี่สองปีแล้ว พี่ก็ต้องจ่ายเงินมัดจำด้วยนะ”

หวังหยางพยักหน้า “เรื่องนี้ไม่มีปัญหา นายว่ามาเลย เงินมัดจำเท่าไร?”

“มัดจำสำหรับหนึ่งปีแล้วกัน” จ้าวเหวินเทากล่าว

หวังหยางก็ตอบตกลง จากนั้นก็ถามเรื่องค่าเช่า ตอนแรกจ้าวเหวินเทาต้องการสี่หมื่นหยวนในสามปี หวังหยางคิดว่าแพงไป จึงต่อรองราคา ท้ายที่สุดจึงได้ข้อสรุปที่สองหมื่นหยวนในสามปี

แบบนี้เมื่อรวมเข้ากับเงินมัดจำหนึ่งปี จ้าวเหวินเทาก็สามารถนำไปซื้อฟาร์มกระต่ายได้แล้ว

หลังจากเจรจาเสร็จแล้ว จ้าวเหวินเทาและหวังหยางก็ชนแก้วพูดคุยสานสัมพันธ์กัน หลังจากดื่มหมด ก็เซ็นสัญญาร่วมกัน ครั้นได้เงินมา การแลกเปลี่ยนก็เป็นอันเสร็จสิ้น

ธุรกิจในตอนนี้โดยพื้นฐานก็จะสิ้นสุดลงที่โต๊ะเหล้ากันทั้งนั้น พอเหล้าลงท้อง คนแปลกหน้าก็สนิทกันมากขึ้น ยิ่งเป็นคนที่รู้จักกันแล้ว การพูดคุยจึงคุยกันง่ายเป็นพิเศษ

จ้าวเหวินเทารอจนรวบรวมเงินครบแล้วค่อยซื้อฟาร์มกระต่าย แต่หวังหยางไม่ทราบเรื่องนี้ หวังหยางแค่อยากได้สถานที่สักแห่ง สถานที่ที่จ้าวเหวินเทาพูดถึงก็ไม่เลวเลย จึงกลัวว่าจะพลาด เขาจึงยอมทำข้อตกลงได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้

เรื่องนี้ก็ทำให้จ้าวเหวินเทาได้รู้ว่าข้อมูลในการทำธุรกิจเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เขาเตือนตัวเองว่าหลังจากนี้ต้องใส่ใจกับข้อมูลต่าง ๆ ด้วย ไม่แน่เขาอาจจะได้ใช้ประโยชน์จากมัน

เขาทราบดี ถ้าหวังหยางทราบว่าตนเองรีบร้อนเพื่อที่จะใช้เงินซื้อฟาร์มกระต่าย คงต้องกดราคาลงต่ำแน่นอน หรือไม่ก็อาจจะซื้อตัดหน้า อย่ามองว่าเขานั่งร่วมโต๊ะกับหวังหยางแล้วจะได้ชื่อว่าพี่น้อง มีความจริงใจต่อกันมากยิ่งกว่าพี่น้องตัวเอง เพราะภายในใจของเขาทราบเป็นอย่างดีว่าในสนามธุรกิจไม่มีคำว่าพ่อลูก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนสองคนที่เป็นคนแปลกหน้า หากคุณเห็นว่าความจริงใจเป็นเรื่องจริง อีกฝ่ายก็จะเอาเปรียบคุณแล้วยังด่าคุณว่าโง่ด้วย

จ้าวเหวินเทาได้เงินแล้วก็ไปทำการโอนกรรมสิทธิ์ฟาร์มกระต่ายในช่วงบ่าย ทำทุกอย่างตามขั้นตอน แต่ครึ่งวันแล้วก็ยังไม่เสร็จ จึงต้องนอนค้างหนึ่งคืน เช้าวันรุ่งขึ้นก็ทำทุกอย่างจนเรียบร้อยเป็นอันเสร็จสิ้นแล้วจึงกลับบ้าน

ช่วงค่ำเมื่อคืนจ้าวเหวินเทาไม่ได้กลับบ้านแต่ก็โทรศัพท์มาที่ทีมใหญ่แล้ว บอกให้คนช่วยไปบอกเย่ฉูฉู่ด้วย เขาไม่สามารถพูดว่าไปซื้อฟาร์มกระต่ายได้ จึงบอกว่าธุรกิจมีเรื่องให้ทำนิดหน่อย แล้วก็เยี่ยมจริง ๆ พอถึงช่วงเช้าเรื่องนี้ก็ถูกกระจายไปทั่วหมู่บ้าน และถูกกระจายแบบบิดเบือนอย่างมากด้วย

“รู้หรือเปล่า จ้าวเสี่ยวลิ่วเกิดเรื่องแล้วนะ” ภรรยาของเหล่าหวังสามพูดด้วยท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ

“นี่ใกล้จะข้ามปีแล้ว เธออย่าพูดโกหกสิ จ้าวเหวินเทาจะเกิดเรื่องอะไรได้?”

“เธอยังไม่เชื่ออีก จริง ๆ นะ เหล่าหลิวที่อยู่กะดึกที่ทีมใหญ่เมื่อคืนบอกว่าเขาได้รับโทรศัพท์จากจ้าวเหวินเทา บอกว่ามีเรื่อง เธอไม่เชื่อก็ไปถามดูสิ”

“จริงเหรอ?”

“จริงสิ!”

หลี่เฟินในตอนนี้ก็กำลังคุยกับพี่สะใภ้รองจ้าวอยู่

“ได้ยินหรือยัง น้องหกของเธอไปทำธุรกิจที่ในเมืองเกิดปัญหาเข้าแล้วนะ”

“เกิดปัญหาอะไร?” พี่สะใภ้รองจ้าวกำลังยุ่งอยู่กับการเลือกถั่ว เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกตกใจ

นี่เป็นเต้าหู้สองหม้อสุดท้ายของปีนี้แล้ว ทำสองหม้อนี้เสร็จก็จะได้หยุดพัก พี่สะใภ้รองจ้าวจึงไม่ได้รีบร้อนแล้ว

“ยังจะมีเรื่องอะไรได้อีกล่ะ ก็เรื่องค้าขายนั่นแหละ เรื่องอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ฉันรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้สูงมากเลยนะที่ของที่น้องหกของเธอที่ขายออกไปเกิดปัญหา ลูกค้าเลยไปแจ้งตำรวจ” หลี่เฟินเดาเป็นตุเป็นตะ

พี่สะใภ้รองจ้าวได้ยินแบบนี้ก็แอบรู้สึกมีความสุข แต่สีหน้าของหล่อนกลับแสดงออกอย่างไม่พอใจ “อย่าพูดเหลวไหล ของที่น้องหกเอามาขายไม่เคยขาดเลย ไม่มีทางที่จะเป็นเพราะเรื่องนี้หรอก”

“แล้วเป็นเพราะอะไรล่ะ หรือว่าทะเลาะกัน?” หลี่เฟินรีบเข้าสู่การคาดเดาที่สอง “น้องหกของเธอเป็นพวกชอบชกต่อยซะด้วย ตอนที่ฉันแต่งงานย้ายมาอยู่ที่นี่ก็ไล่เลี่ยกับเธอ ฉันเองก็พอจะรู้ว่าน้องหกของเธอเป็นคนยังไง นี่ไม่ใช่ว่าชกจนอีกฝ่ายสาหัสหรอกนะ?”

พี่สะใภ้รองจ้าวรู้สึกว่าไม่มีทางหรอก ตั้งแต่จ้าวเหวินเทาแต่งงานเขาก็ทะเลาะกับคนอื่นแค่ครั้งเดียวเท่านั้น แถมยังเป็นเพราะเผชิญกับความอยุติธรรมด้วย แต่หลังจากนั้นเขาก็ตั้งใจทำมาค้าขายมาโดยตลอด จะเกิดการชกต่อยขึ้นอย่างกะทันหันได้อย่างไรกัน?

หลี่เฟินเห็นพี่สะใภ้รองจ้าวลังเล ก็พูดในทันทีว่า “งั้นก็เป็นเพราะทะเลาะชกต่อยนั่นแหละ! ไม่งั้นจะมีเรื่องอะไรได้!”

จ้าวเหวินเทาเป็นเพราะทะเลาะกับคนอื่นจึงถูกกักตัวอยู่ในเมือง คนที่อยู่ในเมืองต่างก็เชื่อแบบนี้ คนนี้เติมหนึ่งประโยคคนนั้นเติมหนึ่งประโยค ท้ายที่สุดก็กลายเป็นว่าตอนนี้จ้าวเหวินเทาถูกตำรวจจับกุมตัวไป เรื่องจึงบานปลายมากขึ้น

เย่ฉูฉู่ไม่ได้ออกไปข้างนอกจึงไม่ทราบเรื่องอะไรทั้งนั้น ตอนนี้เธอกำลังตัดชุดใหม่ให้เสี่ยวไป๋หยางอยู่

เสื้อของลูกน้อยทำง่าย แค่วัดขนาดให้ดี ใช้กรรไกรตัด เย็บด้วยจักรเย็บผ้าสี่ห้ารอบก็เสร็จแล้ว แต่เย่ฉูฉู่อยากทำชุดแบบใหม่ให้ลูกชาย จะได้ใส่ชุดที่ไม่เหมือนกับคนอื่น

ขณะที่เธอกำลังขีด ๆ เขียน ๆ อยู่ เฮ่อซงจือก็เข้ามาหาด้วยความรีบร้อน

“ฉูฉู่เธอทำอะไรอยู่?” เฮ่อซงจือเข้ามาในห้องและเห็นเย่ฉูฉู่กำลังทำงาน จึงเอ่ยถาม

“ฉันกำลังเย็บชุดให้ลูกอยู่ เธอมาดูหน่อย แบบนี้สวยไหม?” เย่ฉูฉู่ทักทาย

“เธอยังมีกะจิตกะใจเย็บชุดอีกเหรอ? เหวินเทาของเธอเกิดเรื่องแล้วไม่ใช่เหรอ?” เฮ่อซงจือถามรัวเร็ว

เย่ฉูฉู่ชะงัก “เกิดเรื่อง? เกิดเรื่องอะไร?”

เฮ่อซงจือเห็นท่าทางมึนงงของเย่ฉูฉู่ หล่อนก็คิดแล้วว่าถ้าเกิดเรื่องกับจ้าวเหวินเทาจริง ๆ เย่ฉูฉู่ยังจะมีกะจิตกะใจนั่งเย็บชุดให้ลูกอีกเหรอ?

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ชาวบ้านนี่ก็เดาไปเรื่อย เดาแบบมั่ว ๆ ไม่มีหลักการด้วยนะ เหวินเทาออกจะโปรฯธุรกิจขนาดนั้นจะไปทำตัวให้ตำรวจจับได้ไงถามหน่อย ภรรยาเหล่าหวังสามกับหลี่เฟินนี่ตัวดีเลย ตัวกระจายเฟคนิวส์เลย

ไหหม่า(海馬)