หลัวเตี๋ยจวินรีบมาจากทะเลขนาบใจเพื่อมาร่วมพิธีเข้าคู่บำเพ็ญของมั่วชิงเฉิน เดิมทีตั้งใจจะพักอยู่เพียงไม่กี่วันก็ไป เพราะการประลองเฟิงอวิ๋นกำลังใกล้เข้ามาแล้ว
นางเป็นเพียงระดับก่อแก่นปราณ มั่วชิงเฉินตอนแรกคิดว่านางจะอยู่รอดูการประลองเท่านั้น เพื่อจะได้เพิ่มพูนประสบการณ์ แต่คิดไม่ถึงว่ารายชื่อผู้เข้าร่วมแข่งขันหมวดบําเพ็ญเพียรไร้สำนักในหนังสือเล่มเล็กนั้น จะมีชื่อหลัวเตี๋ยจวินเขียนไว้อย่างชัดเจน
มั่วชิงเฉินเข้าไปข้างหน้า ในห้องสงบนิ่งไร้การเคลื่อนไหว จึงรู้ได้ทันทีว่าหลัวเตี๋ยจวินกำลังฝึกบำเพ็ญอยู่แน่นอน จึงได้ค้นพบความพยายามทุ่มเทของนาง
เมื่อร่ายเคล็ดวิชาสัมผัสกับเขตอาคม ประตูก็เปิดออกดังเอียดอาด ปรากฏใบหน้างดงามหาที่เทียมไม่ได้ของหลัวเตี๋ยจวิน “สหายมั่ว”
มั่วชิงเฉินเลิกคิ้วยิ้ม “สหายหลัว เวลาเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว ทิวทัศน์ที่ยอดเขาลั่วเถาของข้ากำลังงามได้ที่ ไปเดินเล่นด้วยกันหน่อยไหม”
หลัวเตี๋ยจวินนิสัยหยิ่งยโส แต่สำหรับผู้ที่อยู่เบื้องหน้าท่าทีก็อ่อนลงไม่น้อย เพียงแต่ยังคงสงบคำ นางพยักหน้าแล้วเดินออกไป
เซียวเหยาเห็นหญิงงามคู่หนึ่งเดินเคียงไหล่กันออกมา ดวงตาก็โตขึ้นยังทันที กระโดดเข้าไปหาอย่างคุมไม่อยู่
มั่วชิงเฉินเห็นหน้านั้น ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงฉากที่เจ้าคนผู้นี้ออกคำสั่งเต็มปากเต็มคำให้ตนดึงคอเสื้อออกขึ้นมา ถึงแม้จะเข้าใจดีว่าเขาไม่ได้มีความคิดอะไรแอบแฝง ก็ยังคงรู้สึกโกรธขึ้นมา แต่ใบหน้านางกลับยิ้ม ตะโกนออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “สหายเซียว”
เซียวเหยาได้สติกลับโดยพลัน “สหายมั่ว เจ้ายอมแล้วหรือ”
ยอมน้องสาวเจ้าสิ!
มั่วชิงเฉินเหยียดปาก จงใจทำน้ำเสียงให้อ่อนโยน “ไม่ใช่ ข้าเพียงอยากจะเตือนสติสหายเซียว รอยเท้าบนหน้าท่านยังเช็ดไม่หมดน่ะ”
ในขณะที่เซียวเหยากำลังอึ้งตาค้าง พวกมั่วชิงเฉินทั้งสองคนก็เดินผ่านไป
ยอดเขาลั่วเถาเต็มไปด้วยแมกไม้ ในเวลานี้เป็นช่วงที่ดอกท้อกำลังแข่งกันบานสะพรั่งงดงามพอดี ทั้งสองคนค่อยๆ เดินไปอย่างสบายอารมณ์กลางป่าท้อ ปล่อยให้กลีบดอกไม้ร่วงลงมาเกาะอยู่บนบ่า
หลัวเตี๋ยจวินจู่ๆ ก็เอ่ยปากพูดขึ้นว่า “สหายเซียวอยากจะวาดรูปให้เจ้าหรือ”
มั่วชิงเฉินนิ่งอึ้ง จากนั้นก็หลุดเสียงหัวเราะออกมาหนึ่งที “อะไรกัน จะสหายหลัวก็หนีไม่พ้นอุ้งมือมารของเขาเหมือนกันหรือ”
หลัวเตี๋ยจวินเสียงแข็ง “คนพรรค์คอยเกาะแกะตอแยผู้คน ปล่อยเขาไปเถอะ ยิ่งเจ้าปฏิเสธ เขายิ่งตามไม่ปล่อย”
“หมายความว่า สหายหลัวเองก็เคยให้เขาวาดรูปอย่างนั้นหรือ”
หลัวเตี๋ยจวินพยักหน้า
มั่วชิงเฉินรู้สึกแปลกใจ จึงถามต่อว่า “เขาไม่ได้ให้สหายหลัว…วางท่าประหลาดพิลึกอะไรหรือ”
หลัวเตี๋ยจวินย่นคิ้ว “ท่าประหลาดที่ลึกที่จะหายมั่วพูดถึง หมายถึงอะไรกัน วันนั้นเขาคอยรังควานไม่หยุด ถ้ารำคาญสุดจะทน จึงได้รับปากไป”
“แล้วจากนั้นเล่า”
หลัวเตี๋ยจวินเม้มปาก “หลังจากนั้น ข้าก็ไม่ได้สนใจเขา เขาก็ตามวาดภาพอยู่ข้างหลังข้า จากไปตั้งแต่เมื่อไหร่ข้าก็ไม่ทันได้สนใจ”
มั่วชิงเฉินขบฟัน เจ้าคนผู้นี้ ไหนว่าเลือกท่าที่เหมาะสมที่สุดตามนิสัยของหญิงสาวแต่ละคน กับหลัวเตี๋ยจวินแค่ด้านหลังก็พอแล้ว แต่พอเป็นนาง สวมใส่เสื้อผ้ากลับมองว่าเกะกะสายตา
ใบหน้าดวงนี้นางเห็นมาร้อยกว่าปีแล้ว ก็ไม่เห็นว่าจะมีเรื่องอะไรที่บอกกับนิกายเหอฮวนรู้ไม่ได้นี่!
คนเราเปรียบเทียบกันไม่ได้ มั่วชิงเฉินเปลี่ยนหัวเรื่องฉับพลัน นางหยิบหนังสือเล่มเล็กที่ได้รับออกมายื่นไป “สหายหลัว นี่คือข้อมูลจำนวนหนึ่งที่รวบรวมไว้ในสำนัก เจ้าเองก็เข้าร่วมการประลองเฟิงอวิ๋น บางทีอาจจะมีประโยชน์ เอาไปคัดลอกก่อนเถอะ”
หลัวเตี๋ยจวินรับเอาไปดู แล้วกล่าวขอบคุณ นางไม่สนใจท่าที คัดลอกเลยยังที่ตรงนั้นแล้วเอาต้นฉบับคืนให้มั่วชิงเฉิน “ต้องขอบคุณสหายมั่วแล้ว”
การประลองเฟิงอวิ๋นครั้งนี้ ไม่ว่าจะขนาดหรือระดับชั้น พูดได้ว่าเป็นครั้งหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหลายพันปีมานี้ของดินแดนเทียนหยวน ผู้เข้าร่วมแข่งขันทั้งหมดร้อยกว่าคน ล้วนแต่เป็นระดับก่อแก่นปราณขั้นปลายจนถึงขั้นสมบูรณ์ หลัวเตี๋ยจวินนับว่าเป็นกรณีพิเศษเพียงหนึ่งเดียว
ในเวลานี้ทั้งสองคนยังไม่รู้ ว่าในช่วงที่การประลองเฟิงอวิ๋นกำลังจะเริ่มขึ้น หลัวเตี๋ยจวินได้กลายเป็นผู้เข้าร่วมแข่งขันที่ถูกจับตามองมากที่สุดผู้หนึ่งไปแล้ว หลายเดือนก่อนมั่วชิงเฉินผู้ออกเรือนกับนักพรตลั่วหยาง และยังมีห่วงแสงในครอบครองจำนวนมาก ก็ย่อมไม่ต่างกัน
เทือกเขาฟังจูค่อนไปทางใต้ไกลออกไปหลายหมื่นลี้ เทือกเขาอู่อี๋ที่อยู่ภายใต้การครอบครองของพรรคอู่อี๋ ยอดเขาสูงสุดที่อยู่ตรงกลางหมู่ภูเขาสูงชันสลับกัน มีชื่อว่ายอดเขาห้านิ้ว สถานที่ในการจัดการประลองเฟิงอวิ๋นครั้งนี้ ถูกกำหนดให้เป็นที่แห่งนี้
อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันแข่งขัน ขบวนผู้เข้าแข่งขันจากเหยากวงต่างมารวมตัวกันที่ยอดเขาโหวเต๋อ เตรียมพร้อมจะออกเดินทาง
เหล่าลูกศิษย์ที่เข้าร่วมการประลองครั้งนี้เหยากวงนอกจากมั่วชิงเฉิน ก็ยังมีคู่สามีภรรยาจื่อซีและหมิงจ้าวจากยอดเขาชิงมู่ นักพรตรั่วซีจากยอดเขารั่วสุ่ย นักพรตซานอินจากยอดเขาโหวเต๋อ รวมไปถึงนักพรตจินอวี่จากยอดเขาต้วนจิน
นอกจากผู้เข้าร่วมแข่งขัน ก็ยังมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณที่ระดับพลังยุทธ์ยังไม่พอและมีเวลาว่างพาลูกศิษย์สายตรงของตนตามไปดูเพื่อหาความรู้ การประลองเช่นนี้ยากจะไม่มีการบาดเจ็บ ต้วนชิงเกอในฐานะผู้บำเพ็ญเพียรสายเยียวยาก็ขาดไม่ได้
รวมหลัวเตี๋ยจวิน ถังมู่เฉิน เซียวเหยา หู่โถวและคนอื่นๆ ที่ไปด้วย ทำให้ขบวนดูยิ่งใหญ่อยากมาก
ผู้ซึ่งนำขบวน ก็คือกู้หลีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเพียงคนเดียว
กู้หลีหลังจากได้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด ถึงแม้ว่านิสัยใจคอจะสบายไม่มากเรื่อง แต่การทำงานของเขากลับหนักแน่น หลิวซางเจินจวินย่อมไว้ใจลูกศิษย์อันเป็นที่ภาคภูมิใจของตน กำชับสั่งเพียงเล็กน้อยสองสามคำ ฝูงชนก็รับคำสั่งออกเดินทาง
ผู้คนพากันเหยียบขึ้นสู่เรือบิน แล้วบินจากเหยากวงไปด้วยความเร็วสูง
“คุณหนู ท่านดูสิ ภูเขาสูงที่อยู่ข้างหน้า ดูเหมือนมือขนาดยักษ์ข้างหนึ่งเลย!” ก้มมองลงไปจากเรือบิน เหลียงเฉินพูดพล่าม
เหม่ยจิ่งพูดเสียงเบาหวาน “เหลียงเฉิน เจ้าเอาแต่พูดไม่หยุดเช่นนี้ ระวังจะทำให้คุณหนูเสียหน้าเอาได้”
มั่วชิงเฉินอมยิ้มมองไป นางไม่ได้พูดตำหนิ แต่กลับชำเลืองมองตู้รั่วที่ยืนเงียบอยู่ข้างนางปราดหนึ่ง “ตู้รั่ว เจ้าดูภูเขาลูกนั้นสิ ทำไมมันจึงมีหน้าตาเช่นนั้น”
ตู้รั่วจึงได้ออกไปยังภูเขาสีครามสูงตั้งตระหง่านที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้วพูดขึ้นเสียงต่ำว่า “เรื่องเล่าแต่โบราณมาว่ามีผู้บำเพ็ญเพียรมากความสามารถสองคน คนหนึ่งใช้กระบี่ คนหนึ่งใช้มือ ทั้งสองคนต่างรักใคร่ห่วงใยกันแต่ก็ไม่เคยยอมแพ้ให้กัน ทุกร้อยปีจะต้องมาประลองกันที่เทือกเขาอู่อี๋สักครั้ง เวลานานไป เมื่อถึงวันนั้นก็จะมีผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนนับไม่ถ้วนมาคอยดู นานเข้าก็มีคำพูดว่าผู้ชนะจะเป็นหนึ่งในใต้หล้า ทั้งสองคนต่างไม่ได้ใส่ใจ แต่ภรรยาของผู้บำเพ็ญเพียรสายกระบี่กลับคล้อยตาม เมื่อถึงวันประลองในอีกร้อยปีต่อมา นางเอกเอายาพิษทาลงไปบนปลายกระบี่ที่ผู้บำเพ็ญเพียรสายกระบี่ใช้ นางเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพิษอยู่แล้ว จึงไม่ได้ใส่พิษไปมาก เพียงแต่ไอพิษแทรกซึมลงในกระบี่จะทำให้อีกฝ่ายโจมตีได้ช้าลงครึ่งหนึ่ง อีกทั้งเป็นคู่สามีภรรยากับผู้บำเพ็ญเพียรสายกระบี่มาหลายร้อยปี ความผิดปกติบนกระบี่ยาวจึงสามารถรอดพ้นการรับรู้ของผู้บำเพ็ญเพียรสายกระบี่ จนกระทั่งถึงวันแข่งขัน ก็เป็นไปตามที่ภรรยาของผู้บำเพ็ญเพียรสายกระบี่คาดการณ์ ด้วยข้อใดเปรียบนั้นทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรสายกระบี่สามารถใช้กระบี่แทงทะลุกลางฝ่ามือของอีกฝ่ายได้ และได้รับชัยชนะ อย่าว่าแต่คนที่มุงดู แม้แต่คู่ ประลองเองก็ไม่ทันสังเกต แต่ผู้บำเพ็ญเพียรสายกระบี่รู้ถึงพลังที่แท้จริงของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี ในวินาทีที่ได้รับชัยชนะก็รู้ว่ากระบี่ยาวมีบางอย่างผิดปกติ จึงใช้กระบี่ตัดมือขวาของตนต่อหน้าผู้บำเพ็ญเพียรนับหนึ่งนับพัน”
“โอ้!” เหลียงเฉินและคนอื่นฟังอย่างออกรสออกชาติ ร้องออกมาด้วยความตกใจ
เหม่ยจิ่งอดไม่ได้ที่จะถาม “ตัดมือขวาแล้ว เช่นนั้นเขาก็…เขาก็ใช้กระบี่ไม่ได้อีกแล้วสิ”
อีกาไฟเผยอปาก “เจ้างั่ง”
ตู้รั่วยิ้ม “ในตอนนั้นคู่ประลองเองก็ถามเขาว่าทำไม ผู้บำเพ็ญเพียรสายกระบี่หัวเราะแล้วพูดว่าชัยชนะที่ได้มาโดยไม่ชอบ ช่างอับอายกระบี่ในมือโดยแท้ ในเมื่อทำให้ท่านพี่ได้บาดเจ็บ ข้าจึงขอชดใช้ ภรรยาของผู้บำเพ็ญเพียรสายกระบี่หน้าซีด ร้องไห้บอกว่าเป็นเพราะนางทำผิดไปโดยไม่คิดให้ดีก่อน ให้นางรับโทษก็ได้ เจ้าตัดแขนขวาไปแล้ว กลับทำลายหนทางกันบำเพ็ญเพียรของตน ไม่อาจใช้กระบี่ได้อีกต่อไป”
“ใช่น่ะสิ ทำไมเขาต้องทำถึงขนาดนั้น นั่นไม่ใช่ความผิดของเขาสักหน่อย ถึงแม้จะรู้สึกผิด แค่กล่าวขอโทษก็พอแล้วนี่” นิสัยของมั่วหนิงโหรวแต่ไหนแต่ไรก็โอนอ่อนผ่อนตาม ได้ฟังเรื่องราวหนักหน่วงเช่นนี้ ก็เกิดสะเทือนใจขึ้นมา
ตู้รั่วเหลือบมองชิงเฉินปราดหนึ่ง เห็นสีหน้านางสงบนิ่งไร้อารมณ์ จึงพูดต่อว่า “ผู้คนที่อยู่ตรงนั้นในเวลานั้น ส่วนใหญ่ต่างก็คิดเช่นนี้ แต่ผู้บำเพ็ญเพียรสายกระบี่ผู้นั้นกลับพูดออกมาอย่างเย็นชาว่า ไม่ใช่ทุกเรื่องที่กล่าวขอโทษแล้วก็จะจบ แล้วก็พูดกับคู่ประลอง ว่าตนจิตใจมั่นคงสัตย์ซื่อ กระบี่เองก็รับรู้ ไว้ร้อยปีให้หลัง ข้ายินดีจะใช้มือซ้ายถือกระบี่ประลองกับท่านพี่อีกครั้ง! คู่ประลองรับปากด้วยเสียงหัวเราะ และในเวลานั้นฟ้าดินก็สั่นไหว ฟ้าร้องคำราม ผู้บำเพ็ญเพียรสายกระบี่บินทะยานขึ้นต่อหน้าสายตาของผู้คนนับหมื่น และปราณเซียนที่เขาได้อาบแพร่กระจายออกถูกมือข้างที่ขาดจมกองเลือดนั้นดูดซับ ทันใดนั้นก็ขยายใหญ่ขึ้น จนกลายเป็นยอดเขาห้านิ้วแห่งนี้”
“เรื่องเล่านี้เป็นความจริงหรือ ช่างมหัศจรรย์เสียจริง” เหลียงเฉินฟังอย่างตั้งใจ
ตู้รั่วพูดเสียงเรียบ “เรื่องนี้ยังมีต่อ ผู้บำเพ็ญเพียรสายกระบี่มีบุตรชายคนหนึ่ง เพราะด้วยอายุยังน้อย จึงยังไม่ได้รับการถ่ายทอดการบำเพ็ญเพียรสายกระบี่อย่างเต็มตัว ในวันที่ผู้บำเพ็ญเพียรสายกระบี่บินขึ้นสู่ฟ้าบรรลุเซียนนี้ เรื่องราวมากมายที่ยากจะอธิบายในเคล็ดวิชากระบี่เป็นเรื่องที่ยากจะเข้าใจสำหรับเด็กหนุ่ม คู่ประลองผู้นั้นจึงอยู่ต่อ เพราะว่าเขาเองก็เข้าใจการบำเพ็ญเพียรสายกระบี่ จึงกลายเป็นอาจารย์ที่คอยชี้แนะและสั่งสอนวิชากระบี่ให้กับเด็กหนุ่ม หลายปีต่อมาเด็กหนุ่มก็ประสบความสำเร็จ กลายเป็นผู้บุกเบิกเทือกเขาอู่อี๋ และก็คือพรรคอู่อี๋ทุกวันนี้นี่เอง”
ผู้คนฟังอย่างตั้งใจ รู้สึกคาดหวังกับชื่อที่แสนจะธรรมดาของยอดเขาห้านิ้ว
มั่วชิงเฉินหัวเราะแล้วพูดว่า “ตู้รั่ว หลายวันนี้เจ้าอ่านหนังสือ นับว่าไม่เสียเปล่า”
“ท่านอาจารย์ชมเกินไปแล้วขอรับ” เด็กหนุ่มปล่อยมือลง สีหน้ากลับมาเคร่งขรึมดังเดิม
มั่วชิงเฉินนิสัยซุกซน เห็นเด็กหนุ่มท่าทีซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาก็รู้สึกขัดตา แต่ต่อหน้าผู้คนนางต้องรักษาภาพลักษณ์ของผู้เป็นอาจารย์ จะคอยจะแกล้งลูกศิษย์ตัวน้อยเหมือนเมื่อก่อนมิได้ จึงได้แต่ถอนใจอย่าหงุดหงิด แล้วเลื่อนสายตาขึ้นมองไปยังอาจารย์ของตน
กู้หลียืนอยู่ที่หัวเรือ เกาะลูกกรงมองไปยังด้านหน้า แล้วหันหัวกลับมาราวกับรับรู้ได้ ส่งยิ้มมายังมั่วชิงเฉิน หนึ่งที แล้วพูดขึ้นว่า “ชิงเฉิน รังแกลูกศิษย์ของเจ้าอีกแล้วหรือ”
มั่วชิงเฉินลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปด้านกู้หลี ยิ้มอย่างอ่อนหวานแล้วตอบว่า “ท่านอาจารย์ มันเป็นธรรมเนียมไม่ใช่หรือ ศิษย์สืบทอดจากท่าน มิกล้าจะลืมเจ้าค่ะ”
กู้หลียิ้มบางแล้วตอบว่า “เหตุผลข้างๆ คูๆ” แล้วน้ำเสียงก็เปลี่ยนไป “ชิงเฉิน การประลองครั้งนี้ ได้พบกับผู้คนที่มีความสามารถมากมาย ได้เจอกับระดับแนวหน้าของเทียนหยวนทั้งหมด เจ้าบาดเจ็บเพิ่งจะหาย ไม่จำเป็นต้องฝืน ได้สักอันดับสามหรือสี่ก็พอแล้ว”
มั่วชิงเฉินมองไปยังกู้หลีท่าทีเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้ม นางแทบกระอักเลือดออกมา ท่านอาจารย์ ใครกันแน่ที่ฝืน มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นสมบูรณ์แปดคนเข้าร่วมเช่นนี้ ยังหมายจะให้ได้รับอันดับ สามไม่ก็สี่อีกหรือ
เป็นเพราะตันเถียนเกิดการเปลี่ยนแปลง มั่วชิงเฉินจึงรู้สึกมั่นใจในตัวเอง แต่เรื่องนี้อาจารย์ท่านยังไม่รู้ ในที่สุดนางก็มั่นใจ ว่าอาจารย์ของตนนั้นโหดเหี้ยมกว่าที่นางรู้ นางรังแกลูกศิษย์อย่างเปิดเผย คนอื่นเห็นก็มิได้ถึงกับรู้สึกเห็นใจเจ้าเด็กนั่นจนต้องบีบน้ำตา แต่ท่านอาจารย์แกล้งนางขึ้นมา แทบจะทำให้นางร้องไห้
ในมือกู้หลีไม่รู้ว่ามีจอกสุราตั้งแต่เมื่อใด เขาคลึงเจ้าสุราแล้วจิบหนึ่งคำ จากนั้นก็กวาดสายตามองตู้รั่วอย่างนิ่งเฉยหนึ่งที
ชิงเฉินใส่ใจกับลูกศิษย์เหมือนกัน หวังว่าเขาจะคิดมากไปเอง
เขาก้มหน้าลงดื่มสุรา ความรู้สึกกับกลุ่มนั้นถูกปิดซ่อนไว้หลังรอยยิ้มจางๆ
ยอดเขาห้านิ้วที่ตั้งอยู่ ณ เทือกเขาอู่อี๋ ในที่สุดก็ถึงแล้ว
พรรคเหยากวงมาถึงเป็นขบวนแรก ทันทีที่ผู้คนลงมา ก็ได้ยินเสียงเจือด้วยความยินดีของหญิงสาวผู้หนึ่งพูดขึ้นว่า “สหายเหอกวง เจ้าก็มาด้วยหรือ”