มั่วชิงเฉินช้อนตาขึ้นมองออกไป ก็เห็นคนผู้หนึ่งในชุดเรียบง่าย หญิงสาวในชุดคอเสื้อกุ๊นริมดำเข้ามาต้อนรับ
คิ้วของนางเหมือนดั่งขุนเขา แววตาเหมือนดั่งหยดน้ำฤดูใบไม้ร่วง ใบหน้าอันอ่อนโยนงามเรียบ บนศีรษะมีเรือนผมงามยาวถึงข้อเท้าดูราวกับผ้าแพรผืนงาม เส้นผมดำขลับเจือด้วยสีน้ำเงิน ขับให้ใบหน้าดวงนั้นดูเด่น ดูสวยสะคราญยากที่จะบรรยาย
“ซู่ฉิงเจินจวินนี่เอง” ต้วนชิงเกอยืนอยู่ข้างมั่วชิงเฉิน พูดออกมาเบาๆ
มั่วชิงเฉินมองไปยังซู่ฉิงเจินจวินที่กำลังเดินไปหากู้หลี นางเลิกคิ้วสูง “ซู่ฉิงเจินจวินแห่งนิกายเหอฮวนหรือ”
“ไม่ผิด หลายปีมานี้ที่ดินแดนเทียนหยวนมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณทั้งหมดสามคนเลื่อนขั้นสู่ระดับก่อกำเนิด สองคนในนั้นอยู่ที่พรรคเหยากวงของเรา อีกคน ก็คือซู่ฉิงเจินจวินศิษย์รักของอู๋ฮวนเจินจวินแห่งนิกายเหอฮวน” ต้วนชิงเกอพูด
จากระดับก่อแก่นปราณขั้นสมบูรณ์ไปสู่ขั้นก่อกำเนิด ดูเหมือนจะห่างกันเพียงก้าวเดียว แต่ความเป็นจริงแล้วการจะบรรลุได้นั้นยากเสียยิ่งกว่ายาก ซู่ฉิงเจินจวินสามารถเป็นหนึ่งในสามของผู้บำเพ็ญที่สามารถบรรลุขั้นได้ ยืนอยู่ในระดับเดียวกันกับกู้หลีผู้มีชื่อเสียงมายาวนานและเยี่ยเทียนหยวน พูดได้ว่าไม่ธรรมดา
มั่วชิงเฉินอดไม่ได้ที่จะสนใจ
“สหายซู่ฉิง” กู้หลีทักทายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนสง่างาม
ท่าทีของเขาดูเป็นมิตรแต่กลับห่างเหิน ซู่ฉิงเจินจวินแววตามัวหม่นลง แล้วก็ยิ้มขึ้นมา “สหายเหอกวงไม่เจอกันสิบกว่าปี ดูไม่เปลี่ยนเลย”
กู้หลียิ้มบางหนึ่งที “สหายซู่ฉิงเองก็เช่นกัน”
ซู่ฉิงเจินจวินมองลึกไปยังกู้หลีหนึ่งที แล้วพูดออกมาสองสามคำ แล้วก็กลับขบวนไป
เป็นเพราะสถานที่จัดการประลองอยู่ที่ยอดเขาห้านิ้ว ผู้จัดการประลองย่อมเป็นพรรคอู่อี๋ สักครู่ก็มีลูกศิษย์สำนักที่ประจำหน้าที่ในชุดของพรรคอู่อี๋เดินเข้ามา แล้วพาผู้คนจากพรรคเหยากวงไปยังที่จัดไว้ให้โดยเฉพาะ
เมื่อทุกอย่างลงตัวแล้ว ก็แจ้งเรื่องที่ต้องระวังให้กับผู้คน กู้หลีสั่งให้ทุกคนแยกย้าย ทำกิจกรรมตามอัธยาศัย
มั่วชิงเฉินทำตามคำสั่ง นางเริ่มคุ้นกับสถานที่
ยอดเขาห้านิ้วใหญ่โตอย่างมาก ราบเรียบกว้างใหญ่ มองเห็นยอดเขาห้านิ้วตั้งตระหง่านสูงเสียดฟ้าอยู่รำไร เลื่อนสายตาขึ้นมองไป เห็นเพียงเมฆหมอกที่รายล้อมคลอเคลียอยู่เชิงเขา แต่กลับมองไม่เห็นยอด
มั่วชิงเฉินหยุดฝีเท้าลงโดยไม่รู้ตัว มองไปยังยอดเขาทรงนิ้วมือที่อยู่ไกลออกไปอย่างเคลิบเคลิ้ม ความรู้สึกยิ่งใหญ่ภาคภูมิบางอย่างโถมเข้ามา ไม่นานนัก เม็ดเหงื่อก็ผุดพรายบนหน้าผาก
หัวใจเต้นตุบหนึ่งทีได้สติกลับคืน นางรีบปรับสีหน้า ไม่กล้าปล่อยใจให้เตลิดอีก เดินกลับไปช้าๆ ครุ่นคิดถึงเรื่องการประลองเฟิงอวิ๋นครั้งนี้
การประลองเฟิงอวิ๋นครั้งนี้จัดขึ้นมาพร้อมกับการประลองจิงเทียนของพวกมารบำเพ็ญเพียรและการประลองไป่หยางของพวกปีศาจบำเพ็ญเพียร พรต มาร และปีศาจทั้งสามฝ่ายจะมีสิบคน ที่ได้เข้าสู่แดนสวรรค์มี่หลัวตูพร้อมกัน
การประลองใช้วิธีการจับสลาก สามรอบแรกเป็นการประลองแบบคัดออก ฝ่ายที่แพ้จะถูกตัดออกจากการประลอง จากรอบที่สี่เป็นต้นไป ยังคงใช้วิธีจับสลากในการจับคู่ ผู้ชนะจะได้เป็นสิบคนแรก ส่วนผู้แพ้จะจัดคู่ดำเนินการประลองอีกครั้ง เพื่อเสริมจำนวนสิบคนแรกที่ขาดหาย
นอกจากนี้ ผู้ที่พ่ายแพ้ในรอบนี้ยังมีโอกาสเข้าท้าแข่งกับสิบคนแรก หากชนะ ก็ยังสามารถเข้าเป็นสิบคนแรกได้
ผู้เข้าร่วมประลองทั้งหมดหนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ดคน พรุ่งนี้ทันทีที่ฟ้าสางก็จะจับสลากเลือกคู่ จากนั้นก็เริ่มการประลอง
และผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นสมบูรณ์ จะไม่สามารถพบกันเองในสามรอบแรกตามกฎที่รู้กัน
มั่วชิงเฉินกำลังคิดกฎเหล่านี้ในใจ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงกังวานใสของหญิงสาวผู้หนึ่ง “เอ๊ะ เจ้าเองหรือนี่!”
มั่วชิงเฉินเงยหน้าขวับ เห็นผู้บำเพ็ญหญิงใบหน้างามใสนางหนึ่งยืนอยู่ห่างออกไปด้านหน้า ดูแล้วอายุน่าจะสิบเจ็ดสิบแปดปี ส่งยิ้มประดับลักยิ้มออกมาโดยไม่พูดอะไร ความเรียบง่ายนั้นยิ่งทำให้นางดูน่ามองขึ้น
ความทรงจำของผู้บำเพ็ญเพียรนั้นดีอย่างมาก มั่วชิงเฉินเห็นหน้าตาของผู้ที่เพิ่งพูดอย่างชัดเจน ก็รีบพูดขึ้นว่า “ท่านคือ…อาวุโสที่พบกันในเทือกเขาหมิงสยาใช่หรือไม่”
ถึงแม้ว่าจะพบกันเพียงครั้งเดียว แต่ความประทับใจที่มั่วชิงเฉินมีต่อนางนั้นลึกซึ้ง ที่จริงแล้วเป็นเพราะว่าในตอนนั้นนางได้พบว่าการใช้กระบี่มีอะไรบางอย่างที่ขาดไป เป็นเวลาที่กำลังจนปัญญาว่าจะสร้างของวิเศษเจ้าชะตาออกมาเช่นไรพอดี
เป็นเพราะในใจกำลังสับสน ในตอนที่กำลังร่ายรำเพลงกระบี่ที่เทือกเขาหมิงสยา เพราะด้วยคำพูดของนางประโยคหนึ่งเตือนสติตน จึงได้สร้างของวิเศษเจ้าชะตาออกมาเป็นธนู และตัดสินใจใช้ธนูแทนกระบี่
นักพรตปี้เหลยยิ้มอย่างเย้ายวนหนึ่งที “ตอนนี้ เราจะเรียกข้าว่าอาวุโสไม่ได้แล้ว ควรเรียกข้าว่าสหายถึงจะถูก”
มั่วชิงเฉินคล้อยตามอย่างง่ายดาย ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “สหายปี้เหลย ไม่เจอกันนาน ผู้น้อยยังไม่ได้ขอบคุณเจ้าเลย”
ดวงตาคู่งามของนักพรตปี้เหลยเบิกกว้าง นางพูดอย่างสงสัยว่า “ขอบคุณข้าด้วยเรื่องใด”
มั่วชิงเฉินพูดขึ้นทีเล่นทีจริง “สหายปี้เหลยในวันนั้นกล่าวชื่นชม เลยทำให้ผู้น้อยเกิดความมั่นใจขึ้นอย่างไรเล่า”
นักพรตปี้เหลยเห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อ นางหัวเราะ “ใช่แล้ว ข้ายังไม่รู้ว่าเจ้าชื่ออะไร จำได้แค่ว่าตอนนั้นเจ้าเพิ่งจะเป็นระดับสร้างรากฐาน คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะตามข้าทันได้เร็วเพียงนี้”
“ผู้น้อยมีฉายาพรตว่าชิงเฉิง” มั่วชิงเฉินพูด
“เอ๊ะ ชื่อนี้คุ้นหูเสียจริง” นักพรตปี้เหลยกะพริบตา หนังสือเล่มเล็กเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางมือ ใช้นิ้วพลิกเปิดด้วยความเร็ว “ที่แท้นักพรตชิงเฉิงที่ผู้คนพูดถึงกันช่วงนี้ ก็คือเจ้านี่เอง คิดไม่ถึงจริงๆ ใช่แล้ว นักพรตลั่วหยางไม่มาหรือ”
มั่วชิงเฉินแอบขยับมุมปาก ดูท่าหนังสือเล่มเล็กเช่นนี้ในแต่ละสำนักต่างขาดไม่ได้ แม้แต่รูปร่างขนาดก็ยังเหมือนกัน
“นักพรตลั่วหยางกำลังปิดด่านบำเพ็ญเพียร”
“อ้อ…” นักพรตปี้เหลยถอนหายใจอย่างเสียใจ แล้วพูดขึ้นช้าๆ “ข้าอยากเจอนักพรตลั่วหยางมาโดยตลอด สหายชิงเฉิง เจ้าคงไม่รู้ ในวันที่พวกข้าได้รับเทียบเชิญงานมงคลของเจ้า ในสำนักก็เต็มไปด้วยความอึมครืม ไม่รู้ว่าศิษย์พี่ศิษย์น้องจำนวนตั้งเท่าไหร่ที่เสียน้ำตา”
นักพรตปี้เหลยพูดอย่างรวดเร็ว เป็นเพราะเหตุผลในอดีต มั่วชิงเฉินจึงรู้สึกสนิทกับนาง ทั้งสองคนพูดคุยกันสนุกสนานอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอกลากัน
ผ่านค่ำคืนที่ไร้บทสนทา
ในวันที่สองทันทีที่ฟ้าสว่าง เหล่าบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรมารวมตัวกัน คนทั้งหนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ดพี่เข้าร่วมการประลองยืนขึ้นมาพร้อมกัน ลูกศิษย์ประจำสำนักในชุดของพรรคอู่อี๋ผู้หนึ่งถือกระบอกไม้เดินเข้ามา แล้วยืนนิ่งอยู่หน้าเหล่าผู้เข้าร่วมประลอง
อั้นตู้เจินจวินจากพรรคอู่อี๋ร้องเสียงดัง “เชิญทุกท่านจับสลากได้”
ผู้เข้าร่วมการประลองเข้าเรียนแถวตามลำดับเดินผ่านลูกศิษย์ที่ประจำหน้าที่ไป แล้วหยิบแถบฉลากไม้ในกระบอกไม้กลมขึ้นมาหนึ่งก้าน
เมื่อถึงทีมั่วชิงเฉิน นางก็พบว่ากระบอกไม้กลมที่ดูแสนจะธรรมดานั้นความจริงแล้วมีพลังวิญญาณคอยสกัดกั้น ป้องกันการทุจริตได้อย่างเด็ดขาด
นางหยิบแถบไม้ขึ้นมาหนึ่งก้านแล้วเดินไปเงียบๆ
ไม่นานจากนั้น ผู้เข้าร่วมประลองทั้งหมดก็จับฉลากเสร็จ
อั้นตู้เจินจวินก็พูดขึ้นว่า “ขอให้ทุกท่านดูฉลากไม้ในมือตัวเอง บนแถบไม้นั้นมีตัวเลขสีน้ำเงินให้ยืนอีกด้านหนึ่ง ตัวเลขสีแดงให้ยืนอีกด้านหนึ่ง”
ทันทีที่พูดจบ ผู้เข้าร่วมประลองก็แยกเป็นสองฝั่งอย่างรวดเร็ว
อั้นตู้เจินจวินตบมือ ลูกศิษย์ที่ประจำหน้าที่กลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามา แล้วยืนเรียงแถวหน้ากระดาน
“ข้าเริ่มนับจากหนึ่ง ทุกครั้งที่นับตัวเลข ผู้ที่ถือตัวเลขตัวนั้นให้เดินมาที่นี่ จะมีลูกศิษย์สำนักที่ประจำหน้าที่อยู่จะมอบป้ายประลองให้กับพวกท่าน บนป้ายนั้นเขียนสนามประลองและคู่ประลองของพวกท่านเอาไว้”
อั้นตู้เจินจวินพูดเสร็จก็เริ่มนับเลขเสียงดัง ก้องกังวานไปทั่วทั้งลาน
และผู้ประลองก็ได้คู่ต่อสู้โดยเช่นนี้
มั่วชิงเฉินบีบแถบไม้ในมือ แล้วยิ้มขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ จนถึงลำดับที่ที่หกสิบ ฝ่ายหนึ่งก็เหลือเพียงนางคนเดียว ทุกคนต่างมองมาด้วยความสงสัยประหลาดใจ
มั่วชิงเฉินแสดงคาราวะหนึ่งทีไปยังอั้นตู้เจินจวินอย่างไม่กังวลใดๆ แล้วหันกายเดินไปยังที่ซึ่งบรรดาผู้เข้าร่วมประลองจากเหยากวงอยู่
“ชิงเฉิน นี่เจ้า…” มั่วหนิงโหรวไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น นางจึงถามขึ้นด้วยความกังวล
มั่วชองเฉินแบมือ หัวเราะแล้วพูดขึ้นว่า “ช่วยไม่ได้ ข้ามันคนมีระดับ ผ่านเข้ารอบโดยไร้คู่แข่ง”
ผู้คนต่างมุงเข้ามามอง บนแถบไม้ก้านนั้นของนางไม่มีตัวเลขเขียนอยู่ตามคาด
มั่วหนิงโหรวถอนใจอย่างโล่งอกโดยไม่รู้ตัว “เช่นนี้ก็ดี ชิงเฉิน เจ้าก็จะได้สบายไปหนึ่งรอบ”
ผู้บำเพ็ญเพียรเหยากวงไม่น้อยรู้สึกว่ามั่วชิงเฉินช่างโชคดีอย่างยิ่ง ผู้บำเพ็ญเพียรจากพรรคอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียงต่างมองมายังนานด้วยสายตาอิจฉาเจือด้วยความริษยา
มั่วชิงเฉินเพียงแต่ยิ้ม แล้วบอกกับตัวเองว่า การประลองระดับสูงเช่นนี้ โอกาสหาได้ยาก นางหวังจะได้ต่อสู้มากกว่า
ในขณะที่ผู้คนกำลังอิจฉา มั่วชิงเฉินตัดพ้อ การประลองรอบที่หนึ่งในที่สุดก็สิ้นสุดลง หลายคนจากเหยากวง ถังมู่เฉิน รวมไปถึงหลัวเตี๋ยจวินก็ได้ผ่านเข้าสู่รอบต่อไป
การประลองรอบที่สองถูกกำหนดให้จัดขึ้นสามวันหลังจากนี้
เหตุด้วยมีคนสละสิทธิ์เพราะได้รับบาดเจ็บ การประลองรอบนี้จึงไม่มีผู้ที่ผ่านเข้ารอบโดยไม่ต้องประลอง คนทั้งหมดหกสิบคนตอนนี้แบ่งออกเป็นสามกลุ่ม
เพียงแต่น่าเสียดายที่คู่สามีภรรยาจื่อซีและหมิงจ้าวจับฉลากได้หมายเลขเดียวกัน การประลองฝีมือของคู่สามีภรรยาตอนแรกดึงดูดความสนใจของผู้คนเป็นอย่างมาก แต่ด้วยนักพรตหมิงจ้าวเป็นที่ขึ้นชื่อว่ากลัวภรรยา หนำซ้ำระดับการบำเพ็ญเองก็ยังต่ำกว่านักพรตจื่อซีอยู่ระดับหนึ่ง เหล่าผู้เข้าชมยังไม่ทันได้ยืนนิ่ง เขาก็ยอมแพ้ขึ้นมาทันทีกลางเวที ประคองแขนภรรยาตนเดินลงไป
ถังเฉินมู่ผู้โชคร้ายไม่ทำให้ผู้ชมผิดหวัง เขาได้พบกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นสมบูรณ์ หลังต่อสู้ห้ำหั่นกันอยู่นาน ในที่สุดก็แพ้ไป
นักพรตจินอวี่และคู่ต่อสู้ปะทะฝีมือกันอยู่เต็มวัน ได้รับชัยชนะเข้าสู่รอบที่สามอย่างฉิวเฉียด
นักพรตซานอินระดับก่อแก่นปราณขั้นปลายและนักพรตรั่วซีระดับก่อแก่นปราณขั้นสมบูรณ์ก็ผ่านเข้ารอบอย่างราบรื่น
มั่วชิงเฉินไม่รู้ว่าตัวเองโชคดีมาจากไหน ได้พบคู่ต่อสู้ซึ่งบาดเจ็บมาจากสนามแรก พักรักษาตัวอยู่สามวันแล้วแข็งขืนขึ้นเวทีต่อสู้ นางเพียงแค่ปาก้อนอิฐออกไปหนึ่งก้อน คนผู้นั้นก็กระอักเลือดลงเวทีไป ทำให้นางถึงกับตะลึงอยู่กลางเวที ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้สติ แล้วก้มหน้าเดินลงมาอย่างผิดหวัง
สายตาผู้คนที่มองมายังมั่วชิงเฉินได้เปลี่ยนไป นี่คือโชคดีครั้งใหญ่อะไรกัน!
ท่ามกลางสายตาที่อิจฉาริษยาของผู้คน มั่วชิงเฉินยิ่งรู้สึกหงุดหงิดใจ
การประลองครั้งที่สามยังคงถูกกำหนดไว้เป็นสามวันให้หลัง
การประลองคัดเลือกจากสามคนเป็นสิบห้าคน นักพรตจินอวี่แพ้ตกรอบ นักพรตซานอินได้พบกับผู้บำเพ็ญเพียรขั้นสมบูรณ์ ต่อสู้กันอย่างดุเดือด ถึงแม้จะแพ้ แต่ผู้ชมตะโกนร้องกันด้วยความสนุก
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นสมบูรณ์สองคนอย่างจื่อซีและรั่วซีผ่านเข้ารอบไม่ผิดคาด มีเพียงหลัวเตี๋ยจวินระดับก่อแก่นปราณขั้นกลางเพียงคนเดียวในที่สุดก็หยุด แม้จะเป็นเช่นนี้ ก็ยังมีผู้คนจำนวนมากที่รู้จักชื่อของนาง เห็นพ้องต้องกันว่าความสามารถแอบแฝงของนางนั้นไม่เบาเลย ผู้บำเพ็ญเพียรชายจำนวนไม่น้อยเมื่อได้เห็นหลัวเตี๋ยจวินผู้ซึ่งเพียบพร้อมไปด้วยรูปลักษณ์และความสามารถอันโดดเด่น ก็เผยสายตาอันชื่นชมและรักใคร่ออกมาให้เห็น
มั่วชิงเฉินพยายามสะกดพลังเอาไว้เดินขึ้นสู่เวที ผู้คนที่อยู่รายล้อมสนามต่างร้องขึ้นมาเสียงดัง ถกเถียงกันเสียงดังอื้ออึง
“รีบมาดูเร็ว นี่ก็คือนักพรตชิงเฉิงผู้มีดวงชะตาฝืนลิขิตฟ้าคนนั้น!”
“นี่มันช่างไม่สมเหตุผลเสียจริง หรือว่าฟ้าดินเองก็เข้าข้างคนหน้าตาดีอย่างนั้นหรือ”
“ข้าว่านะ ไม่ใช่เพียงแต่พึ่งดวงชะตาหรอก ต้องรู้ด้วยว่าอาจารย์ของนางเป็นถึงเหอกวงเจินจวิน คู่บำเพ็ญของนางคือลั่วหยางเจินจวินอีกด้วยนะ”
“ไปๆๆ ไม่ต้องมาซุบซิบกันแล้ว นอกจากผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นสมบูรณ์ทั้งแปด ที่ต้องหลีกเลี่ยงการเจอหน้ากันในสามรอบแรกตามกฎ ผู้คนนอกจากนั้นล้วนแต่จับฉลากเข้ามาอย่างยุติธรรม อั้นตู้เจินจวินแห่งพรรคอู่อี๋เป็นผู้ควบคุมการประลองด้วยตนเองเชียวนะ หากมีการทุจริตจริง เช่นหนังชื่อเสียงเกียรติยศของพรรคอู่อี๋จะไม่พังพินาศหรือ นักพรตชิงเฉิงสถานะสูงส่ง เพียงแต่พรรคอู่อี๋ไม่เห็นจะจำเป็นต้องทำถึงเพียงนั้น”
มั่วชิงเฉินได้ยินคำพูดของผู้คนเข้าเต็มหู ก็ถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ กุมหมัดแสดงคารวะคู่ต่อสู้หนึ่งที “สหาย ล่วงเกินแล้ว”
พูดเสร็จก็กวักมือหนึ่งที กริชฟันปลาคู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนมือ
คู่ต่อสู้เองก็เรียกของวิเศษออกมา ยกเท้าขึ้นอย่างเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณ ร่างกายซวดเซ ภายใต้สายตากังวลอย่างมากของมั่วชิงเฉิน ก็กระอักเลือดออกมาหนึ่งที แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า “ข้า…ข้าขอสละสิทธิ์!”