ข้ายินดีตายเพื่อเจ้า โดย Ink Stone_Fantasy

อวิ๋นจือชิวก็ต้องอยากดูอยู่แล้ว แต่ปากก็ยังพูดแสดงความร้ายอาจ “คงไม่ได้พาผู้หญิงมาให้ข้าดูหรอกนะ?”

สุดจะทนกับผู้หญิงคนนี้! เหมียวอี้สงสัยนิดหน่อยว่านางมองเบาะแสอะไรออกจากปฏิกิริยาของตนรึเปล่า ถึงได้จงใจใช้คำพูดทิ่มแทงตนแบบนี้

ยิ่งคิดก็ยิ่งใจฝ่อ แต่ก็ได้บทเรียนมาแล้ว ต่อให้ตีให้ตายเขาก็ไม่ยอมรับ ทั้งยังแสร้งพูดอย่างโมโห “เจ้ายังไม่รู้จักจบใช่มั้ย? ลงไปเลย!” เขาใช้มือผลักนางไปไว้ข้างๆ แล้วเก็บชุดชั้นในขึ้นมาใส่

อวิ๋นจือชิวที่โดนผลักไม่ยอมอ่อนข้อให้ เตะที่ก้นของเหมียวอี้ที่ทำท่าจะนั่งลงข้างเตียง เตะทีเดียวจนเหมียวอี้แทบจะล้มคะมำ เหยียบขากางเกงจนโซเซ ทั้งๆ ที่ใส่กางเกงไปได้ครึ่งเดียว สภาพดูไม่ได้ อวิ๋นจือชิวนอนขำกลิ้งอยู่บนเตียงทันที

แต่จากนั้นก็หยิบเสื้อกล้ามชั้นในขึ้นมาใส่ให้เรียบร้อย แล้วลงจากเตียงเดินไปหยิบเสื้อคลุมที่อยู่บนไม้แขวนมาใส่ให้เหมียวอี้ หยิบร้องเท้าถุงเท้าของเหมียวอี้เข้ามา แล้วนั่งยองๆ ช่วยสวมให้เหมียวอี้ จากนั้นก็ค่อยจัดการใส่ของตัวเอง มีเพียงแค่เวลานี้เท่านั้น ที่สามารถมองเห็นเงาของภรรยาที่มีคุณธรรมจากตัวนางได้

จากนั้นตัวเองกับเหมียวอี้ก็เดินมาข้างโต๊ะที่อยู่ในห้อง กระดานหมากล้อมที่วางอยู่บนโต๊ะก่อนหน้านี้ยังไม่ได้ถูกเก็บ อวิ๋นจือชิวย้ายเก้าอี้กลมมาวางข้างหลังเหมียวอี้ หลังจากอีกฝ่ายนั่งลงแล้ว อวิ๋นจือชิวถึงย้ายเก้าอี้มานั่งลงข้างกายเขา เอามือลูบผมยาวข้างหลังตัวเอง แล้วก็ช่วยเหมียวอี้ลูบผมที่ยุ่งสยายให้เรียบโดยจิตใต้สำนึก เสร็จแล้วถึงได้ถามอย่างแปลกใจว่า “หนิวเอ้อร์ เจ้านำของดีอะไรกลับมาด้วย?”

เหมียวอี้หยิบกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งออกมายื่นให้นางอย่างภาคภูมิใจ “ดูสิ!”

พออวิ๋นจือชิวหยิบมาดู ริมฝีปากแดงก็เผยอเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างตกตะลึง พบว่าข้างในมีแต่ยาแก่นเซียน ถามว่า “เท่าไรเนี่ย?”

“สิบล้านเม็ด!” เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะ

“เยอะขนาดนี้เชียวเหรอ?” อวิ๋นจือชิวตกใจไม่เบา “เอามาจากไหน”

“ธุรกิจของร้านขายของชำซื่อตรงกำลังไปได้สวย…” เหมียวอี้เล่าสถานการณ์ของร้านขายของชำว่าทำรายได้เท่าไรในแต่ละปีให้นางฟัง

อวิ๋นจือชิวตาเป็นประกาย เหมือนจะใฝ่ฝันนิดหน่อย ยัดกำไลเก็บสมบัติเข้าไปในมือเขา “ในเมื่อมีทรัพยากรฝึกตนแล้ว ข้าอนุญาตให้เจ้าพักได้สามวัน หลังจากสามวันนี้ไปเจ้าต้องเริ่มฝึกฝนอย่างซื่อสัตย์ เพิ่มวรยุทธ์ให้ถึงระดับบงกชทองก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถ้ากล้าทำซี้ซั้วอีกก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”

“…” ถ้ารู้แต่แรกก็คงไม่เอาออกมาหรอก เหมียวอี้อยู่คนเดียวมาหลายปีจนชินแล้ว รับไม่ไหวกับการโดนคนอื่นควบคุมทุกอย่างแบบนี้ ยังไม่เข้าสู่สภาวะการมีครอบครัว โดยเฉพาะวิธีการที่ควบคุมแม้แต่อิสระของคนอื่นแบบนี้ แต่เขาก็ไม่ได้โต้เถียงอะไรกับนาง รู้ว่าเถียงไปก็ไม่ชนะ ที่สำคัญคือต่อให้ใช้เหตุผลไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราเสียงไม่ดังเท่านาง ถ้าเจ้าเสียงดังกว่านางเมื่อไร นางก็จะหาเรื่องเจ้าโดยไร้เหตุผล สรุปว่าถึงอย่างไรเจ้าก็แพ้ จึงถอนหายใจแล้วบอกว่า “ข้าคิดแบบนี้นะ แบ่งให้พวกช่างไม้สิ ข้าเตรียมจะแบ่งให้พวกเขาคนละหนึ่งล้านเม็ด”

อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้ว “ไม่ใช่ว่าข้าเสียดายที่จะให้พวกเขาหรอกนะ แต่นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องใช้เพื่อบรรลุระดับบงกชทอง รอให้เจ้าบรรลุระดับบงกชทองให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถ้าเจ้าต้องใช้จำนวนมากเพื่อให้ผ่านจุดหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ ถึงตอนนั้นก็ไม่พอใช้แล้ว…”

เหมียวอี้จึงตอบว่า “ก่อนที่ข้าจะแต่งงานกับเจ้า วรยุทธ์ข้ามีจำกัด มีเรื่องมากมายที่อยากทำแต่ไร้ความสามารถ ข้าเคยฝากฝังพวกเขาสี่คน ว่าให้พวกเขาสี่คนดูแลปกป้องเจ้าดีๆ บอกไว้แล้วว่าวันหลังจะขอบคุณพวกเขาอย่างดี ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว ควรจะแสดงความขอบคุณได้แล้วล่ะ มิหนำซ้ำพวกเขาสี่คนก็เป็นลูกน้องคนสนิทของเจ้า นับว่าเป็นหน่วยพิทักษ์ที่อยู่ใกล้ตัวเจ้าที่สุด ถ้าวรยุทธ์ของพวกเขาสูงขึ้นอีกหน่อย ข้าจะได้วางใจลงบ้าง”

เมื่อเหมียวอี้พูดแบบนี้ แววตาของอวิ๋นจือชิวก็ดูอาลัยอาวรณ์นิดหน่อย ดวงตางามมีน้ำตาคลอ นางมองเขาอย่างซาบซึ้งใจ กัดริมฝีปากตัวเอง หัวใจหวานชื่นราวกับดื่มน้ำผึ้งมา นางกอดแขนเขาเอาไว้ แล้วซบบ่าเขา “ท่านสามีรักข้าอย่างแท้จริง ข้าเข้าใจหัวใจของเจ้าแล้ว แต่ข้าก็อยากแนะนำให้เจ้าบรรลุระดับบงกชทองก่อน ถ้ามีเหลือแล้วค่อยให้พวกเขาก็ยังไม่สาย พวกเขาอยู่กับข้ามาหลายปี ข้าเข้าใจพวกเขาดี พวกเขาไม่ว่าอะไรเพียงเพราะเจ้ายังไม่ทำตามสัญญาหรอก”

“ข้าบรรลุระดับบงกชทอง คงไม่ต้องใช้เยอะขนาดนี้หรอกมั้ง? นี่มันสิบล้านเม็ดเชียวนะ! ไม่ใช่แค่นี้ ที่ตัวข้ายังมีอีกเกือบล้านเม็ดที่ขอเบิกมาจากร้านขายของชำล่วงหน้า ถ้าให้พวกเขาคนละหนึ่งล้านเม็ด ที่เหลืออยู่ก็เพียงพอให้ข้าใช้แล้ว”

“งั้นก็จัดการตามที่ท่านสามีเห็นสมควรแล้วกัน จะให้ก็ให้เถอะ”

เหมียวอี้พยักหน้า แต่ยังถามอย่างกังวลนิดหน่อยว่า “สิ่งเดียวที่ข้ากังวลในตอนนี้ก็คือ ถ้าให้ของพวกนี้กับพวกเขาแล้ว พวกเขาคงไม่เปิดเผยให้ใครรู้หรอกใช่มั้ย?”

“เรื่องนี้เจ้าวางใจได้ เดี๋ยวข้าบอกพวกเขานิดหน่อย พวกเขาก็จะเข้าใจแล้วว่าต้องทำยังไง เดี๋ยวข้าจะเตรียมพาพวกเขาไปพิภพใหญ่ด้วย ถ้าแม้แต่เรื่องพวกนี้ยังไม่มั่นใจ แล้วข้าจะกล้าพาพวกเขาไปด้วยได้ยังไงล่ะ”

“…” เหมียวอี้พูดไม่ออกอีกรอบ ผู้หญิงคนนี้เอาแต่คิดเรื่องจะไปพิภพใหญ่ ครุ่นคิดแม้กระทั่งจะนำกำลังสำคัญไปด้วย แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าข้างกายผู้หญิงคนนี้ไม่มีใครอยู่ปกป้องเลย เขาก็วางใจไม่ได้จริงๆ เพียงแต่พวกช่างไม้วรยุทธ์ต่ำเกินไปหน่อย ถ้าไปพิภพใหญ่แล้วคงช่วยอะไรไม่ได้!

จากนั้นก็แบ่งยาแก่นเซียนออกมาสี่ล้านเม็ด แบ่งใส่ไว้ในแหวนเก็บสมบัติสี่วง แล้วผลักไปตรงหน้านาง “เดี๋ยวเจ้าช่วยเอาไปให้พวกเขาแทนข้าหน่อย”

“เจ้าโง่รึเปล่า! ของแบบนี้เจ้าต้องให้ด้วยตัวเองสิ ความหมายที่อยู่ในนั้นคงไม่ต้องให้ข้าพูดเยอะหรอกนะ?” อวิ๋นจือชิวจิ้มหน้าผากเขาหนึ่งที

เหมียวอี้หัวสั่นโคลงเคลง ถอนหายใจแล้วบ่นว่า “อวิ๋นจือชิว เจ้าอย่าเอาแต่ลงไม้ลงมือกับข้าได้มั้ย ข้าไม่ชอบที่เจ้าเป็นแบบนี้เลย เจ้าสนใจฐานะของข้าบ้างได้มั้ย?”

“เฮอะ! ฐานะของเจ้าเหรอ? นอกจากเก่งเรื่องถอดเสื้อผ้าข้าแล้ว ก็ไม่เห็นว่าเจ้าจะมีฐานะอะไรเลย!” อวิ๋นจือชิวหัวเราะเย้ย แล้วใส่เท้าเพิ่มอีกที เตะที่น่องของเขาอย่างแรง

ประมุขปราสาทเหมียวพ่ายแพ้ต่อนางโดยสิ้นเชิงแล้ว เขาเก็บสิ่งของที่อยู่บนโต๊ะด้วยสีหน้าจนใจ จากนั้นก็หยิบแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งออกมาแกว่งโอ้อวด “เจ้าไม่เคยเห็นของสิ่งนี้แน่นอน”

“อะไรนะ?” อวิ๋นจือชิวแปลกใจอยู่บ้าง

พอเหมียวอี้โบกมือ ยาเจี๋ยตันสีทองอร่ามเจ็ดเม็ดก็วางปูอยู่บนโต๊ะ

อวิ๋นจือชิวใจเย็นไม่ไหวแล้ว ลุกพรวดขึ้นทันที เบิกตากว้างมองดู เอามือปิดปากพลางถามอย่างรู้สึกเหลือเชื่อว่า “อย่าบอกนะว่าเป็นยาเจี๋ยตันขั้นห้า?”

เหมียวอี้ไม่พูดอะไร ให้นางไปพิสูจน์ด้วยตัวเอง หลังจากอวิ๋นจือชิวหยิบขึ้นมาร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดู ก็ตาลุกวาวพร้อมกล่าวอย่างตื่นเต้น “เป็นยาเจี๋ยตันขั้นห้าจริงๆ ด้วย ต้องสังหารนักพรตระดับบงกชรุ้งในตำนานถึงจะได้มา หนึ่ง สอง สาม…เจ็ดสิบเม็ด โอ้สวรรค์! เจ้าหามาได้อย่างไร?”

“ผีดิบเลือดในค่ายกลมารโลหิต…” เหมียวอี้เล่าสถานการณ์ตอนโดนขังอยู่ในค่ายกลให้ฟังคร่าวๆ

อวิ๋นจือชิวฟังที่มาที่ไปของมันจนอกสั่นขวัญแขวน แววตาที่มองเหมียวอี้เรียกได้ว่าทั้งรักทั้งแค้นทั้งเป็นห่วง ไม่แสดงความดีใจกับยาเจี๋ยตันพวกนี้แล้ว เพราะมันคือของที่สามีน้องแลกมาด้วยชีวิต! นางกัดริมฝีปากถามว่า “บัวโลหิตที่เจ้าบอกล่ะ?”

“สิ่งนั้นเอาออกมาดูไม่ได้หรอก ปราณปีศาจโลหิตดุร้ายเกินไป ถ้าเอาออกมาต้นไม้ใบหญ้าแถวนี้คงเฉาตายหมด แล้วนางในพวกนั้นก็วรยุทธ์ต่ำเกินไป คงจะได้รับผลกระทบกันหมด เดี๋ยวข้าค่อยไปหาสถานที่ลับอย่างถ้ำในเกาะร้างแล้วศึกษามันสักหน่อย” ขณะที่พูด เหมียวอี้ก็นำแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งออกมายื่นให้นาง “ให้เจ้าได้เปิดหูเปิดตาสักหน่อย ร่ายอิทธิฤทธิ์ดูนิดหน่อยก็พอแล้ว อย่านำออกมา”

อวิ๋นจือชิวรับมาดูในมือ เห็นเพียงในแหวนเก็บสมบัติเต็มไปด้วยปราณปีศาจโลหิตที่เข้มข้น ในนั้นมีบัวขนาดใหญ่ต้นหนึ่งนอนอยู่เงียบๆ บนฝักบัวมีเม็ดบัวที่กะพริบแสงสีเลือดเก้าเม็ด สิ่งที่ดึงดูดความสนใจที่สุดก็คือ รากบัวขาวหมดจดที่อยู่ตรงก้านราก ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเปล่งแสงสว่างด้วย

ทั้งต้นบัวโลหิตสวยงามมาก เพียงแต่ปราณปีศาจโลหิตทำให้คนรู้สึกหวาดกลัว ไม่สะดวกจะนำออกมาจริงๆ

“เฮ้อ!” อวิ๋นจือชิวถอนหายใจเบาๆ แล้วคืนให้เหมียวอี้ นางนั่งลงอีกครั้ง ถือยาเจี๋ยตันขั้นห้าขยับเล่นในมือพร้อมบอกว่า “ข้าไม่กล้าหยิบยาเจี๋ยตันขั้นห้าออกมาดูตอนอยู่พิภพเล็กเลย ต่อให้หลอมสร้างเป็นเกราะวิเศษแล้ว ถ้านำออกมาต้องสร้างปัญหาแน่นอน ต่อให้มอบให้เยารั่วเซียนหลอมสร้าง ถึงตอนนั้นถ้าเยารั่วเซียนเห็นแล้วก็ไม่มีทางอธิบายที่มาที่ไปได้อยู่ดี”

เหมียวอี้จึงบอกว่า “ยาเจี๋ยตันพวกนี้เจ้าเก็บไว้ใช้เองเถอะ อย่าลืมเหลือไว้ให้เฮยทั่นบ้างล่ะ ข้าอยากจะเห็นว่าหลังจากเฮยทั่นย่อยยาเจี๋ยตันขั้นห้าแล้วจะมีปฏิกิริยาอย่างไร มีที่ให้ใช่ปะรโยชน์ตั้งเยอะ ข้าตั้งใจนำเครื่องมือค่ายกลป้องกันมาให้เจ้าด้วยชุดหนึ่ง”

พูดจบก็ลุกขึ้นเดินออกจากโต๊ะ พอสะบัดมือหนึ่งที เครื่องมือชุดหนึ่งที่มีแปดสิบแปดชิ้นก็ยิงออกมาและลอยอยู่กลางอากาศ เขาเรียกมาชิ้นหนึ่ง เครื่องมือรูปหัวปีศาจลอยเข้ามาตกอยู่ในมือ เหมียวอี้ถอดยาเจี๋ยตันขั้นสามที่แฝงอยู่ในเขี้ยวออกมาเม็ดหนึ่ง แล้วนำยาเจี๋ยตันขั้นห้าเม็ดหนึ่งใส่ไว้ในนั้นแทน แล้วเปลี่ยนยาเจี๋ยตันขั้นห้าใส่ไว้ในเครื่องมืออีกสี่ชิ้น

อวิ๋นจือชิวดูอยู่ข้างๆ เขาด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้ เหมียวอี้ชี้เครื่องมือที่ลอยอยู่กลางอากาศพร้อมอธิบายว่า “เครื่องมือนี้ชื่อว่า ‘ค่ายกลแปดทิศ’ ราคาเท่ากับลูกแก้วพลังปรารถนาระดับต่ำหนึ่งล้านล้านลูก หรือเท่ากับหนึ่งล้านล้านผลึกแดง เป็นของวิเศษระดับสูงที่ใช้ป้องกันตัว เมื่อครู่นี้เจ้าก็เห็นข้าเปลี่ยนใส่ยาเจี๋ยตันไว้ในเครื่องมือแล้ว ยิ่งยาเจี๋ยตันยิ่งมีขั้นสูง พลังป้องกันก็ยิ่งสูง…”

เหมียวอี้เริ่มอธิบายวิธีการควบคุมให้นางฟัง อวิ๋นจือชิวฟังอย่างเอาใจใส่และจดจำไว้ เมื่อไม่เข้าใจตรงไหนก็เอ่ยถาม เมื่ออยู่กับเขาก็ไม่มีอะไรต้องเกรงใจ

หลังจากเข้าใจทั้งหมดแล้ว โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าผู้ชายคนนี้เต็มใจควักจ่ายไปมากมายเพื่อปกป้องนาง ไม่ว่าจะไปไหนก็จะคิดเรื่องความปลอดภัยของนางก่อน อวิ๋นจือชิวยากที่จะอธิบายความรู้สึกของตัวเองออกมาได้ นางพลันดึงแขนเขามากัดแรงๆ หนึ่งที

“โอ๊ย…” ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีเค้าลางบอกเหตุ เหมียวอี้สูดหายใจอย่างตื่นตระหนก ผลักศีรษะนางทันที “ผู้หญิงบ้า เจ้าทำอะไร ปล่อยนะ!”

เครื่องมือแปดสิบแปดชิ้นขาดพลังอิทธิฤทธิ์สนับสนุน ตกลงพื้นเสียงดังแกร๊งๆ ทันที

หลังจากพยายามดึงผู้หญิงบ้าออกไป เหมียวอี้ถึงได้พบว่าตัวเองโดนกัดจนเลือดออก จึงตะคอกอย่างเดือดดาลทันที “เจ้าเป็นบ้าไปแล้วเหรอ!”

อวิ๋นจือชิวที่ปากเปื้อนเลือดแลบลิ้นเลียเลือดสดบนริมฝีปาก นางดึงแขนเสื้อเผยแขนขาวดุจหยก แล้วยื่นไปตรงปากเขาอย่างแน่วแน่ “เจ้าก็กัดของข้าสักคำสิ ให้เจ้าชิมว่าเลือดข้ารสชาติเป็นยังไง!”

“เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าเหรอ!” เหมียวอี้ดึงแขนนางมากัดหนึ่งที ผลก็คือพบว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ร่ายอิทธิฤทธิ์ป้องกันเลยแม้แต่น้อย พอกัดไปได้ครึ่งหนึ่งก็สะบัดแขนนางออก แล้วถามอย่างโมโหว่า “เจ้าทำตัวเหมือนคนปกติหน่อยได้มั้ย?”

อวิ๋นจือชิวมองดูรอยฟันบนแขนตัวเอง มีแค่รอยจางๆ เท่านั้น สุดท้ายผู้ชายคนนี้ก็ทำใจกัดให้นางเจ็บไม่ลง รอยยิ้มบนใบหน้านางสดใสกว่าปกติ ดวงตาหยาดเยิ้มราวกับจะมีน้ำไหลออกมา จ้องมองเขาอย่างไม่ละสายตา ขณะที่หัวเราะคิกคัก จู่ๆ นางก็บอกว่า “ข้ายินดีจะตายเพื่อเจ้า!”

“…” เหมียวอี้ชะงักทันที ไฟโกรธที่สุมอยู่ในอกพลันดับวูบ เขาเพียงสะบัดแขนเสื้อพลางทำเสียงฮึดฮัด “เหมือนหมาบ้า!”

“พอแล้ว! ชายชาตรีอย่างเจ้าจะถือสาผู้หญิงอย่างข้าไปทำไม!” อวิ๋นจือชิวหัวเราะคิกคักพลางหยิบสมุนไพรเซียนซิงหัวออกมา ยกขึ้นจ่อที่แขนของเขา แล้วเป่าหมอกประกายดาวใส่บาดแผล ทำให้บาดแผลสมานตัวอย่างรวดเร็วจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

จากนั้นก็เก็บยาเจี๋ยตันขั้นห้าและเครื่องมือที่ตกอยู่บนพื้น จูงเหมียวอี้ที่ทำท่าเหมือนยังไม่หายโกรธเข้าไปในห้องอาบน้ำน้ำ แล้วถอดเสื้อผ้าให้เขา หลังจากทั้งสองลงไปแช่ในน้ำแล้ว นางก็หยิบผ้าขนหนูมาปรนนิบัติให้เขาราวกับปรนนิบัติเจ้านาย อ่อนโยนไร้ที่เปรียบ

เหมียวอี้อดใจไม่ไหวกับหญิงงามช่างยั่วคนนี้ มือไม้อยู่ไม่สุข มือไม้ซุกซนอย่างหน้าไม่อาย นางเองก็กัดริมฝีปากแดงไว้แน่น เพียงอดทนไหว ทำตัวว่านอนสอนง่ายแบบนี้กลับทำให้เหมียวอี้หายโกรธ