ตอนที่ 283

The Second Coming of Gluttony

บทที่ 283 – การเตรียมการ (4)

ลานกว้างที่ว่างเปล่าเงียบกริบ นอกจากเสียงประกายไฟจากกองไฟ และเสียงจิ้งหรีดร้องแล้ว มันก็เงียบมากจนได้ยินเสียงลมหายใจได้เลย

ในที่สุดแล้วชายรูปหล่อก็ทำลายความเงียบน่าอึดอัดนี้

“ผมมีคำถาม”

แม้ว่าเขาจะยกมือขึ้นขออนุญาติเหมือนซอลจีฮู แต่ฟีโซราก็ตอบปฏิเสธออกมา

“ตอบคำถามฉันมาก่อน นายมั่นใจนะว่าได้ฟังที่ฉันพูดแล้วน่ะ?”

“คือว่า-“

“ใช่หรือไม่ใช่ ตอบมาให้ชัด นายมั่นใจแล้วใช่ไหมว่าได้คิดให้ดีแล้วหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเจ้าโง่สองคนนั่น รวมไปถึงคำเตือนของฉันด้วย?”

ชายหนุ่มได้ค่อยๆลดมือลงด้วยความกลัวจากสายตาที่เย็นชาของเธอ

“…ครับ”

“นี่นายคงจะล้อฉันเล่นแน่!”

ฟีโซราได้ยกมือรูปหน้า ความเหลืออดของเธอได้เริ่มแสดงออกมาผ่านทางสีหน้า

‘ฉันควรที่จะช่วยให้พวกเขารอดชีวิตให้ได้มากที่สุด และส่งพวกเขาไปที่เขตพื้นที่เป็นกลาง…’

นั่นเพราะว่ายิ่งจำนวนผู้คนมากก็ยิ่งทำให้พวกเธอได้รับคะแนนเอาชีวิตรอดมากขึ้น

“พวกนายกำลังทำให้ฉันจะบ้า ฟังนะ นายอยากจะตายขนาดนั้นเลยงั้นหรอ? รู้ไหมว่าสถานการณ์แบบนี้มันเหมือนกับหนังเอาชีวิตรอดเกรด B เลยนะ”

“แน่นอนว่าผมไม่อยากจะตาย ผมไม่เห็นว่าสถานการณ์มันเป็นแบบนั้นเลย”

คำพูดของชายหนุ่มดูจะมีความมั่นใจแปลกๆ ฟีโซราเดาะลิ้นขึ้น

“หากว่านายหวังจะได้รางวัลล่ะก็นะ ตื่นได้แล้ว ฉันบอกไปแล้วนี่ว่าด่านนี้ไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อพวกนาย”

“ผมได้ยินแล้ว”

“หากว่าได้ยินแล้วถ้างั้นทำไม… ฟู่วว ฟังนะ แม้กระทั่งบทฝึกสอนแบบปกติก็ไม่ได้ง่ายเลย เมื่อไหร่ที่พวกนายไปถึงด่านสาม อย่างน้อยคนกว่าครึ่งที่นี่จะหายไป ที่นี่มีผู้ถูกเชิญเพียงคนเดียว และที่เหลือต่างก็เป็นผู้ทำสัญญาทั้งหมดด้วย ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพวกนายถึงมั่นใจนัก”

“นั่นเพราะผมเป็นผู้ทำสัญญาอย่างที่คุณพูด บางทีมันอาจจะดีกว่าที่จะอยู่ที่นี่เหมือนกับที่ผู้ถูกเชิญเลือก”

ฟีโซราได้เยาะเย้ยออกมา

“ไร้สาระ นี่นายคิดว่าผู้ถูกเชิญจะช่วยพวกนายงั้นหรอ? นอกไปจากนี้ที่ด่านนี้เปิดขึ้นมาได้ก็เพราะเงื่อนไขที่ไร้เหตุผล ฉันมั่นใจเลยว่าพวกเขามีแต่จะรู้สึกว่าพวกนายเป็นภาระ”

“หากว่าคุณคิดแบบนั้น ถ้างั้นผมก็ขอโทษด้วย ผมไม่ได้ต้องการให้พวกเขาช่วยหรอก”

แม้ว่าฟีโซราจะพูดออกมาอย่างรวดเร็ว แต่ชายหนุ่มก็ยังตอบกลับอย่างสงบ

“แต่ว่าพวกเราก็มีสิทธิเลือกไม่ใช่หรอ? คุณก็เพิ่งพูดเองนี่คุณไกด์”

เขาได้พูดออกมาอย่างสุภาพ แต่ไม่ยอมถอยเลยสักนิด

“แล้วก็ผมได้ยินมาว่าไกด์ไม่ได้มีอำนาจในการบังคับพวกเราด้วย”

ใบหน้าฟีโซราได้กระตุกเล็กน้อย ในสถานการณ์แบบนี้ไกด์พูดอะไรไม่ได้มาก

“งั้นนายกำลังบอกว่าไกด์ควรที่จะให้คำแนะนำเท่านั้นสินะ”

“…”

“พวกเราจะตัดสินใจกันเอง เพราะงั้นแค่พูดแล้วก็ไปได้แล้ว นี่คือสิ่งที่นายจะบอกใช่ไหม?”

“ผมไม่ได้พูดแบบนั้น แต่หากว่าทำให้คุณอารมณ์เสียก็ต้องขออภัย”

ชายหนุ่มได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มสดใส จากท่าทีของเขาแล้วมันดูไม่เหมือนคนที่ขอโทษเลยสักนิด

“ผมก็คิดว่าบทฝึกสอนปกติเหมาะกับพวกคุณมากกว่านะ”

ซอลจีฮูที่ดูอยู่เงียบๆได้พูดขึ้น แม้กระทั่งเขา การแยกกับผู้ทำสัญญามันจะดีกว่า ด้วยวิธีนี้เขาจะได้ตั้งสมาธิอยู่กับตัวอึนยูริ และไม่ต้องห่วงเรื่องผู้ทำสัญญาจะสร้างเรื่องวุ่นวายรอบตัวอีกด้วย! ยังไงแล้วพวกเขาก็มีแต่จะเป็นภาระเท่านั้น ท้ายที่สุดแล้วบทฝึกสอนพิเศษที่ซ่อนอยู่นี้ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากอึนยูริกับตัวตนของเขา

“ไกด์มีหน้าที่ให้การทำให้คนรอดชีวิตให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ และส่งพวกเขาไปที่เขตพื้นที่เป็นกลางอย่างปลอดภัย ในตอนที่เธอพูดว่า ‘อย่าทำแบบนั้น’ มันก็จะต้องมีเหตุผลอยู่แน่”

นี่คือเหตุผลที่ทำให้ซอลจีฮูพยายามเกลี้ยกล่อมให้พวกเขากลับไป

“ทำไมล่ะ?”

สีหน้าของชายหนุ่มได้กลายเป็นแปลกไป

“อ่อ แน่นอน ผมซาบซึ้งที่คุณได้เปิดด่านลับนี่ และผมก็เข้าใจว่าคุณอยากจะเก็บมันเอาไว้กับตัวเองในเมื่อคุณเป็นคนแรกที่หามันเจอ”

ชายหนุ่มได้พูดเสียงดังออกมา

“แต่ก็อย่างที่ผมพูดไปก่อนหน้านี้ ผมมีสิทธิ์เลือก”

เขาได้อ้างสิทธิ์ของตัวเอง พร้อมทั้งพูดเสียงดังให้ทุกคนได้ยิน

“อย่าเข้าใจผมผิดไป ผมไม่ได้กำลังขอให้คุณดูแลพวกเขาในบทฝึกสอนพิเศษ ที่ผมกำลังบอกคือเรามีสิทธิ์ในการตัดสินใจเอง”

‘โฮ่’

ช่างเป็นคนที่มีฝีปากคมคาย ด้วยคำพูดไม่กี่คำนี้ได้เน้นย้ำถึงคุณค่าของพื้นที่ที่ฟีโซราได้ให้คำรับประกัน และทำให้มันดูเหมือนซอลจีฮูพยายามจะยึดที่นี่เป็นของตัวเองเพียงผู้เดียว

เป้าหมายของเขามันชัดเจนมาก เขากำลังขอความเห็นชอบและการสนับสนุนจากผู้คนรอบตัวด้วยการถามออกมาว่า

“ทุกคนไม่คิดแบบนั้นหรอ?”

การปลุกปั่น

เป็นการชักจูงความคิดของคนที่เหลือให้อยู่ด่านนี้ให้มากที่สุด และควบคุมพวกเขา

“ไม่ว่าจะแบบปกติหรือพิเศษมันก็ยังคงอันตรายอยู่ดี แต่ท้ายที่สุดแล้วมันก็แค่บทฝึกสอน มันคงไม่ได้ยากไปกว่าด่านเขตพื้นที่เป็นกลางใช่ไหม?”

เมื่อได้ยินคำว่า “แค่บทฝึกสอน” ซอลจีฮูก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้

“ฉันคิดว่าการอยู่ที่นี่เพื่อเสียงอันตราย และได้อยู่อย่างสุขสบายในเขตพื้นที่เป็นกลางมันดีกว่าการต้องไปลำบากในเขตพื้นที่เป็นกลางหลังจากผ่านบทฝึกสอนปกติ ดังนั้นแล้วฉันจะอยู่ที่นี่”

ดูจากการทำความเข้าใจสถานการณ์ในระดับหนึ่ง เขาคงจะได้รับคำอธิบายมา นี่มันเป็นสิ่งที่น่ายกย่อง แต่ว่าในรูปแบบนี้มันมีแต่จะแย่สำหรับเขา

แต่ไม่ว่าจะยังไงเรื่องที่ว่าชายหนุ่มไม่ยอมเปลี่ยนใจก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง ในท้ายที่สุดคำพูดของเขาก็ได้ออกมาจากความไม่รู้

“มันถึงเวลาหยุดฝัน และตื่นขึ้นมาได้แล้ว”

ตอนนั้นเองฟีโซราก็ได้กระโดดเข้ามา

“ฉันอุสาห์ใจดีแบ่งข้อมูลให้แล้วนะ แต่นี่อะไรล่ะ? ฮ่าห์ ก็ได้ ช่างมัน ทำตามใจเลย”

ฟีโซราได้หยุดจ้องชายหนุ่ม และหันไปมองซอลจีฮู

“นายก็ด้วยนะ ไม่ว่านายจะพูดอะไรหากพวกเขาดื้อดึงแบบนี้ พวกเขาก็ไม่ฟังหรอก พอได้เจอกับมันแล้ว พวกเขาก็คงจะเข้าใจเองว่า ‘อ่า ฉันซวยแล้ว’”

หลังจากเยาะเย้ยด้วยความไม่พอใจแล้ว ฟีโซราก็หันขึ้นไปจ้องมองบนท้องฟ้า

“พวกนายเห็นนี่แล้วใช่ไหม?”

แม้ว่าจะไม่มีอะไรอยู่บนท้องฟ้า แต่ก็ชัดเจนว่าคำพูดของเธอกำลังสื่อไปถึงชาวโลกที่กำลังมองดูบทฝึกสอนอยู่

“ตั้งใจฟังให้ดีนะ ฉันพยายามจะหยุดพวกเขาหลายครั้งแล้ว อย่าได้มาตามโทษฉันทีหลังว่าไม่ยอมหยุดเขาล่ะ ไม่เช่นนั้นฉันได้ขยี้หัวพวกนายแน่”

หลังจากพ่นคำข่มขู่ออกมา เธอก็สูดหายใจ และกอดอกขึ้นมา

“แล้วคือจะไม่มีใครกลับไปใช่ไหม? นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว”

ผู้ทำสัญญายังคงไร้การเคลื่อนไหว

มันเป็นไปได้ว่าคนที่เข้าใจในสถานการณ์นั้นอาจจะถูกคำพูดของชายหนุ่มทำให้หวั่นไหว ในเมื่อไกด์ได้รับประกันแล้วว่าแค่รางวัลสักอย่างก็จะทำให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตเหมือนกับราชาในเขตพื้นที่เป็นกลาง นี่จึงเป็นเหตุผลทำให้พวกเขาดื้อรั้น

แต่ว่าในหมู่พวกเขาก็อาจจะยังมีคนที่ไม่รู้เรื่อง อย่างน้อยก็มีสักคนที่อยากจะกลับไปผ่านบทฝึกสอนตามปกติ แต่ว่าเนื่องจากคนส่วนใหญ่ได้เลือกโอนเอียงจะอยู่บทฝึกสอนพิเศษ ทำให้มันยากที่จะพูดออกมาด้วยตัวเอง ยังไงแล้วการอยู่ติดกับคนกลุ่มใหญ่ ก็ดีกว่าการไปเพียงลำพัง

นี่เป็นความคิดที่เรียบง่ายของมนุษย์ แน่นอนว่าก็มีหลายคนที่หวังจะได้โชคลาภเช่นกัน

“ก็ได้ ถ้างั้นฉันจะไม่ถามอีกแล้ว แล้วก็พวกนายด้วยนะ อย่าได้พูดอะไรไร้สาระอย่าง ‘ทำไมไม่หยุดเรา?’ หรืออย่าไปถามสองคนนั้นว่า ‘ทำไมถึงเปิดพื้นที่นี้?’ ด้วย”

หลังจากคำรามใส่ฝูงชนแล้ว ฟีโซราก็เริ่มโทรหาทีละคน และโยนจดหมายเชิญให้พวกเขา ไม่นานนักก็มีกระเป๋าหนังนับสิบตกลงมาจากบนท้องฟ้า หลังจากนั้นแล้วฟีโซราก็ส่งข้อความประกาศอย่างเป็นทางการ

“วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม 2018 พื้นที่ที่ 1”

เธอได้กดลงไปบนหน้าจอ

“ได้เริ่มต้นบทฝึกสอนด่านที่ 1 ‘หลบหนีจากเกาะร้าง’”

เธอได้ประกาศเริ่มบทฝึกสอนด้วยน้ำเสียงเย็นชา

ตื๊ดดดด! โทรศัพท์ของทุกๆคนได้สั่นขึ้น

ซอลจีฮูได้มองกลับไปที่อึนยูริโดยไม่รู้ตัว จากนั้นเขาก็รู้สึกผิดปกติ และหันกลับไปมองกองไฟ ยังไงก็ตามฟีโซรากับประตูมิติก็ได้หายไปแล้ว

‘เธอได้รับพลังในการเคลื่อนย้ายทางไกลงั้นหรอ?’

ซอลจีฮูได้มีคำถามนี้เข้ามาในหัว และเริ่มเดินออกไป อึนยูริก็กำลังจ้องมองหน้าจอโทรศัพท์

[ผู้ส่ง: ไกด์]
[1.หลบหนีจากเกาะร้างตามเวลาที่กำหนด และไปรวมตัวที่ทางไปเกาะถัดไป]
[2.เวลาที่เหลืออยู่ 119:59:45]

‘5 วัน’

พวกเขามีเวลาในการหนีออกจากเกาะห้าวัน ในขณะที่การหลบหนีจากหอประชุมมีเวลาเพียงแค่ 3 ชั่วโมง

ซอลจีฮูได้ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ

“แล้วสมุดบันทึกของนักเรียนนิรนาม หรือผู้รอดชีวิตนิรนามมีอัพเดทไหม?”

“ค่ะ ดูสิคะ”

เมื่ออึนยูริได้กดลงบนหน้าจอเบาๆ…

“ทุกๆคนเห็นข้อความไหม?”

เสียงร่าเริงได้ดังออกมา

ทั้งคู่ได้หันไปตามเสียงทันที ชายหนุ่มที่ปฏิเสธฟีโซราก่อนหน้านี้ได้ก้าวมาข้างหน้า

เมื่อเขาได้มายืนอยู่ในจุดที่ฟีโซรายืนอยู่ในก่อนหน้านี้ ซอลจีฮูก็เริ่มสนใจในสถานการณ์นี้ มันดูเหมือนกับว่าชายคนนี้กำลังเริ่มทำการควบคุมฝูงชน แต่ว่ามันจะเป็นไปได้ดีอย่างที่เขาคิดไว้หรือเปล่านะ

สุดท้ายแล้วการปลุกปั่นผู้คน กับการรวมตัวพวกเขามันก็เป็นคนล่ะเรื่องกัน

“นี่มันหมายความว่าอะไรกัน? หนีจากเกาะล้าง? พวกเราต้องหนีไปจากเกาะนี้งั้นหรอ?”

ชายหนุ่มได้ตอบคำถามโดยยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า

“หนีจากเกาะล้าง… มันค่อนข้างดูแปลกๆ แต่อย่ากลัวไปเลย เราทุกคนช่วยกันรอดไปได้อยู่แล้ว”

จากนั้น

“หากว่าพวกเรารวมพลัง-“

“เดี๋ยวก่อนสิ”

อย่างที่คิดเลย

“ฉันเข้าใจที่นายกำลังบอกนะ แต่ว่าเราจะทำยังไงล่ะ?”

คนที่ขัดเขาได้ก้าวออกมา

ชายหนุ่มยังคงยิ้มตอบกลับมา

“พรวกเราควรที่จะร่วมแรงกัน พวกเราคิดว่าพวกเราสามารถผ่านมันไปด้วยกันได้”

“เดี๋ยวก่อนนะ ฉันคิดว่านายคงรู้อะไรอยู่บ้างสินะ นายพูดเรื่องรางวัลกับเขตพื้นที่เป็นกลางไม่ใช่หรอ?”

“นั่นมันอยู่หลังจากผ่านบทฝึกสอนไปแล้ว นายไม่ได้ถูกอธิบายก่อนจะเข้ามาที่นี่หรอ?”

“ไม่เห็นรู้เลย ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน แล้วคือพวกเรามีทางหนีไปใช่ไหม?”

รอยยิ้มบนใบหน้าของชายหนุ่มได้ค่อยๆหายไป คืนนี้เป็นคืนไร้ดวงจันทร์ และพวกเขาก็อยู่บนเกาะร้างที่มืดสนิทจนมองไม่เห็นอะไรเลย ในสถานการณ์แบบนี้เป็นธรรมดาที่จะทำให้มนุษย์หวาดกลัว

นับตั้งแต่ที่ไกด์หายตัวไป และบทฝึกสอนก็ได้เริ่มขึ้น บรรยากาศโดยรอบจึงค่อยๆตึงเครียดขึ้น

“เราจะออกไปกันได้ใช่ไหม? อาจจะเป็นแค่ฉันนะ แต่ว่าเกาะนี่มันทำให้ฉันขนลุก”

งึมงำ งึมงำ เสียงพูดคุยได้ค่อยๆดังขึ้นตามการเร่งเร้าของหญิงสาว

หากว่าชายหนุ่อยากจะคลี่คลายบรรยากาศ และได้รับความเชื่อใจจากฝูงชน เขาจะต้องพิสูจน์ว่ามันมีทางออกที่ทุกคนยอมรับได้

อึนยูริสามารถจะทำได้ เธอเข้าใจในสถานการณ์อย่างท่องแท้ และมีสิทธิพิเศษในการเข้าถึง ‘สมุดบันทึกของผู้รอดชีวิตนิรนาม’ ที่ซึ่งสามารถจะบอกทิศทางได้อย่างชัดเจน แต่กับชายหนุ่มล่ะ? เขาไม่รู้อะไรและไม่มีอะไรเลย

“ทุกคนเงียบ”

ในตอนนั้นเองเสียงของคนๆหนึ่งได้ดังขึ้น

“ทำไมต้องส่งเสียงกันด้วย? ฟังสิ่งที่เขาพูดก่อนสิ”

ชายหนุ่มดูจะโล่งใจ ในตอนนี้เองซอลจีฮูก็เข้าใจแล้วว่าทำไมชายหนุ่มถึงได้มั่นใจนะ

‘เขามีพรรคพวกนี่เอง’

พวกเขาอาจจะได้เจอกันก่อนเพื่อวางแผน หรือไม่ก็มาเป็นพวกเดียวกันหลังจากเข้ามาแล้ว แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่มั่นใจได้เลย คือคนที่เพิ่งพูดขึ้นมายืนข้างเดียวกับชายหนุ่ม

“นายจะพูดอะไรละ?”

ยังไงก็ตามมันกลับส่งผลทางลบ

“อะไรล่ะ ฉันไปหยุดนายงั้นหรอ? จะพูดอะไรก็พูดสิน ฉันไม่เคยไปปิดปากนายสักหน่อย?”

“งั้น-“

“มาร่วมมือ ร่วมแรงกัน เยี่ยม นี่มันฟังดูดีนะ แต่ว่าช่วยพูดให้มันชัดเจนหน่อยได้ไหม พวกเราอยู่ที่นี่ก็เพราะสิ่งที่หมอนั่นพูด เพราะงั้นแล้วเราก็มีสิทธิ์ที่จะรู้”

“อะไรนะ… ฮ่าห์ ไม่เคยมีใครบอกให้นายอยู่นี่”

“นายเพิ่งพูดอะไรนะ? ไม่มีคนบอกให้เราอยู่งั้นหรอ?”

ไม่นานนักฝูงชนก็เริ่มสร้างความวุ่นวายขึ้น

“ดะ เดี๋ยวก่อน ก่อนอื่นหยิบกระเป๋ากันก่อนสิ”

ชายหนุ่มได้พยายามคลี่คลายสถานการณ์ลง แต่ว่าฝูงชนก็ไม่ยอมอ่อนข้อลงเลย

‘อย่างที่คิด’

ซอลจีฮูได้รู้สึกผิดหวังที่ไปหวังว่าผู้คนจะร่วมมือกันได้อย่างสันติ

‘เขาพูดมากเกินไป’

หากว่าเขาแสดงความมั่นใจด้วยการกระทำอย่างคังซอก มันก็คงจะดีกว่านี้ได้บ้าง การพูดโอ้อวดไปมันไม่ได้มีอะไรดีเลย สุดท้ายแล้วคำพูดโอ้อวดของเขามันจะย้อนกลับมาหาตัวเอง

‘พอสถานการณ์ได้มาถึงจุดนี้แล้ว…’

“เฮ้~ ทำไมพวกนายถึงได้สู้กันด้วยล่ะ? ช่างเป็นการเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยมเลยจริงๆ!”

แน่นอนว่ามันก็น่าจะมีสักคนที่ก้าวออกมาอีก ยังไงแล้วในฝูงชนกว่า 70 คน มันก็คงจะมีสักคนที่เห็นด้วยกับชายหนุ่ม หรือไม่ก็เข้าใจถึงเป้าหมายของเขา

“แล้วนายเป็นใคร?”

“ระวังปากด้วยไอ้หนุ่ม…. ตอนนี้ช่วยฟังที่ฉันพูดหน่อย?”

“นายเป็นใครมาสั่งเรา?”

“ฟังก่อน อย่างแรกฉันขอแนะนำตัวเองแล้วกัน ฉันชื่อคิมแทฮยอง อายุ 42 ปี และเป็นนักปีนเขามืออาชัพ ทุกๆคนคงเคยได้ยินเรื่องการปีนเขาใช่ไหม?”

เมื่อซอลจีฮูมองไปที่ชายวัยกลางคนที่กำลังยืนเผชิญหน้ากับชายหนุ่ม เขาก็ถึงกับถอนหายใจออกมา

‘ดูเหมือนพวกเขาจะกำลังแบ่งออกเป็นสองหรือสามทีมซะแล้ว’

เมื่อเริ่มหมดความสนใจ เขาก็รับโทรศัพท์ที่อึนยูริส่งมาให้

[ผู้ส่ง: นิรนาม]
ลานกว้างที่ว่างเปล่า (สมุดบันทึกของผู้รอดชีวิตนิรนาม – หน้าที่ 1)

ฉันอยากจะกลับไป ฉันอยากกลับบ้าน ฉันออกไปจากเกาะบัดสบนี่ให้เร็วที่สุด

แต่ทำยังไงล่ะ?

มันไม่มีทางออกเลย ในสถานการณ์กระทันหันแบบนี้ พวกเราทำอะไรไม่ได้เลย

ผู้คนได้เริ่มพูดคุยกันด้วยความหวาดกลัวทีละคน ๆ

ฝ่ายหนึ่งบอกว่าเราควรจะอยู่เฉยๆ อีกฝ่ายหนึ่งเอนเอียงไปในการออกไปจากที่แห่งนี้ พวกเราไม่สามารถจะตัดสินใจกันได้เลย

ทำยังไงดี…

เดี๋ยวก่อนนะ ไฟดับลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

ทำไมจู่ๆทุกๆคนถึงเงียบกันไปหมด?

“ฉันก็ไม่ได้อยากจะโม้อะไรหรอกนะ แต่ว่าในระหว่างปีนเขา ฉันได้เจอกับเหตุการณ์อันตรายมานับไม่ถ้วน บางครั้งก็ถึงกับเฉียดตาย แต่ว่าฉันก็รอดมาได้พร้อมกับมิตรสหารที่เชื่อใจในทุกๆครั้ง”

แม้ว่านักปีนเขามืออาชีพจะกำลังเล่าประสบการณ์ส่วนตัวออกมา แต่ซอลจีฮูก็ไม่ได้สนใจเลย

‘ไฟ?’

เขาได้ตรวจสอบกองไฟในทันที ไฟมอดดับไปแล้ว

“5 วัน? มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย ที่นี่เรามีคนอยู่มากมาย ฟังนะ ครั้งหนึ่งฉันเคยติดอยู่ที่เทือกเขาหิมาลัยพร้อมกับอีกแปดคน และเราก็รอดชีวิตมาได้ถึงสิบวัน พวกนายรู้ไหมว่าเรารอดมาได้ยังไงกัน?”

จากนั้น…

“เพราะว่าพวกเราไม่ได้ทะเลาะ ขัดแย้งกันแบบนี้ไง สิ่งสำคัญก็คืออย่าสร้างสงครามประสาทกับคนใกล้ตัว นั่นเพราะมีแต่จะทำให้เกิดความเครียดและหวาดกลัว”

วูบบบ! จากเสียงบางอย่างพุ่งผ่านความมืดมาอย่างรวดเร็ว

“อย่างแรกพวกเราจำเป็นต้องประเมินสถานการณ์ที่เราอยู่อย่าง-“

ฉั๊วะ! เสียงถูกตัดได้ดังออกมา