บทที่ 284 – การเตรียมการ (5)
ผู้ทำสัญญาไม่อาจจะเข้าใจสถานการณ์ได้ ทุกๆอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก และเพราะความมืดยามค่ำคืนทำให้พวกเขาก็มองไม่ชัดด้วยซ้ำ
มีบางคนที่คิดขึ้นว่า ‘บทฝึกสอนเพิ่งเริ่ม จะมีอะไรเกิดขึ้นในช่วงแรกกัน?’
มีเพียงแค่หญิงสาวที่ยืนอยู่ใกล้กับขายวัยกลางเห็นสังเกตเห็นความปกติ และค่อยๆกระพริบตาออกมา
“เมื่อกี้นี้…”
เธอรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างกระเด็นโดนใบหน้าเหมือนกับโดนสาดน้ำเข้าใส่ เธอได้ยกมือขึ้นลูบหน้า จากนั้นกลิ่นเลือดก็ได้โชยออกมาจากนิ้วของเธอ ขณะที่เธอกำลังจะถามว่ามันคืออะไร ดวงตาเธอก็ต้องเบิกกว้างขึ้น
ชายหนุ่มที่แนะนำตัวเป็นนักปีนเขามืออาชีพได้ส่ายโอนเอนไปมา หัวของเขาก้มต่ำลงและค่อยๆทรุดตัวลงไปเหมือนกับตึกถล่ม
“อะไร…”
หญิงสาวได้รีบมองตามลงไปเห็นขวานที่ยื่นทะลุหัวของชายคนนั้น
ดวงตาเธอเบิกกว้างขึ้น ขณะลมหายใจของเธอได้ชะงัก และเสียงกรีดร้องก็ติดอยู่ในลำคอ- ฉั๊วะ! หญิงสาวได้ทรุดตัวลงไปทันทีโดยที่ทั้งดวงตา และปากยังคงอ้าค้างอยู่
หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีก็มีขวานอีกหลายเล่มลอยเข้ามาเปิดกระโหลกของคนอื่นๆอีก ขวานแต่ละเล่มต่างก็ถูกขว้างออกมาด้วยความแม่นยำอันน่าเหลือเชื่อ มีคนถึงสามคนตายลงไปในทันที
มาถึงจุดนี้แล้วผู้คนที่กำลังยืนนิ่งเหมือนรูปปั้นหินได้เริ่มเข้าใจถึงสถานการณ์
“อะ หืม…?”
“นะ นี่มันบ้าอะไรกัน? เกิดอะไรขึ้น!?”
“เชี้ย…!”
“พวกเขาตายแล้ว? ตายแล้วจริงๆน่ะหรอ?”
งึกงัม งีมงำ ผู้ทำสัญญาที่ยังคงไม่ยอมรับความจริงได้ผงะถอยไป แต่ว่าขณะที่พวกเขาถอยห่างไปจากศพก็มีขวานอีกสี่เล่มลอยเข้ามาเหมือนเป็นการเยาะเย้
“อ๊ากกก!”
ชายอีกคนได้กรีดร้อง และล้มลงไป บางทีอาจจะเพราะเขาขยับตัวทำให้ขวานพลาดเป้าไปปักอยู่ที่ไหล่ของเขา ถึงชายคนนี้จะยังรอดชีวิตอยู่ แต่เขาก็ต้องนอนดิ้นทุรนทุรายไปกับพื้นด้วยความเจ็บปวด
คราวนี้ทุกๆคนได้เห็นอย่างชัดเจน
“อะ อ๊าาา…!”
และเริ่มจากจุดนี้…
“คะ ใครก็ได้ช่วยด้วย…!”
ฝูงชนได้เริ่มตื่นตระหนกขึ้น
“อ๊ากกกกกก!”
บางคนก็กรีดร้อง
“มะ… แม่…”
บางคนก็ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก
“…”
บางคนก็ล้มกับพื้นหน้าซีดเผือด
“ชะ ช่วยด้วย! ช่วยฉันด้วยยย!”
และบางคนก็วิ่งหนีเพื่อเอาตัวรอด
ความโกลาหลได้ปะทุขึ้น! ทั้งเสียงกรีดร้อง และเสียงตะโกนได้ดังลั่นไปทั่วทั้งลานกว้างอย่างวุ่นวาย ในเวลาเดียวกันขวานก็ได้ลอยเข้ามาคร่าชีวิตผู้รอดชีวิตไปทีละคน แต่ว่าก็ยังไม่มีใครหาตัวคนขว้างเจอ
ซอลจีฮูหรี่ตาลง
‘อย่างที่คิดเลย’
บทฝึกสอนพิเศษแตกต่างไปจากปกติอย่างสิ้นเชิง ในบทฝึกสอนปกติ ผู้รอดชีวิตจะสามารถซื้อเวลาได้ด้วยการปิดประตูหอประชุม แต่ว่าบทฝึกสอนพิเศษนั้นไร้ปราณี
ด้วยการเริ่มต้นที่่พื้นที่เปิดกว้างทำให้ผู้รอดชีวิตได้ถูกบังคับให้เผชิญหน้ากับแรงกดดันที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนตรงๆ
‘ทำยังไงดีนะ…’
มันสายเกินกว่าจะควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว ผู้ทำสัญญาได้ถูกความหวาดกลัวครอบงำจนวิ่งกระจายไปทั่ว แน่นอนว่าซอลจีฮูก็ไม่ได้คิดจะควบคุมพวกเขาตั้งแต่แรกด้วยเช่นกัน หากทำจะทำ เขาก็คงทำมันตั้งนานแล้ว
ในสถานการณ์นี้ก็คงมีแค่ทางเลือกเดียวคือการฆ่ามอนสเตอร์เพื่อลดความเสียหายให้เหลือน้อยที่สุด
ไม่นานนักหลังจากตัดสินใจได้แล้ว เขาก็หันกลับไปมองอึนยูริ จากนั้นเอง
วูบ วูบ! เสียงอากาศถูกกรีดได้ผ่านหน้าพวกเขาไป มันดูเหมือนกับจะพุ่งไปทางที่อึนยูริอยู่
‘ฮึ่ม แกคิดจะเล็งไปที่ใครกัน?’
เขาได้รีบขยับตัวไปกันขวานทันที แต่แล้วไม่นานนักเขาก็รู้ว่ามันไม่จำเป็นเลย เนื่องจากว่าอึนยูริได้หมอบคลานลงไปกับพื้นด้วยสีหน้านิ่งสงบแล้ว
ขวานได้พุ่งผ่านเธอไปก่อนจะหายเข้าไปในความมืด
“ขวานทุกๆเล่มต่างก็เล็งไปที่หัว เพราะงั้นแล้วเล่มนี้ก็เป็นแบบเดียวกัน”
อึนยูริได้เด้งตัวขึ้นมา พร้อมกับพูดในขณะที่หยิบกระเป๋า เธอคงจะสังเกตสถานการณ์อย่างนิ่งสงบแล้ว
เธอต่างไปจากผู้ทำสัญญาตามปกติอย่างแน่นอน บางทีนี่อาจจะเพราะว่าเธอเคยมีประสบการณ์กับบทฝึกสอนกับเขตพื้นที่เป็นกลางมาก่อนก็ได้
ซอลจีฮูรู้สึกชอบอึนยูริมากยิ่งขึ้นพร้อมทั้งดึงแขนของเธอ
“ไปกันเถอะ ออกไปจากที่นี่กันก่อน”
ขณะที่คนอื่นๆวิ่งกันอย่างตื่นตระหนก มีแค่พวกเขาสองคนเท่านั้นที่ออกไปจากความวุ่นวายนี้อย่างสงบ
แน่นอนว่าซอลจีฮูก็ไม่ได้ลืมหยิบขวานออกมาจากพื้นด้วยเช่นกัน
***
หลังจากออกจากลานกว้างแล้ว ซอลจีฮูกับอึนยูริก็ไม่ได้พูดอะไรอยู่นาน เมื่อความวุ่นวายในลานกว้างได้ค่อยๆลดลงไป ซอลจีฮูที่เดินนำอยู่ก็พูดขึ้น
“ผมคิดว่าสมุดบันทึกของผู้รอดชีวิตนิรนามเป็นของที่ทรงพลังที่สุดในบทฝึกสอนแล้ว”
ถึงแม้ว่าเขาจะทำลายความเงียบแล้ว แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา ยังไงก็ตามเขาก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะเขาไม่ได้หวังให้เธอตอบกลับอยู่แล้ว เขาได้พูดต่อไป
“สมุดบันทึกจะคอยอัพเดทเนื้อหาตามสถานการณ์ที่คุณอยู่ คุณควรที่จะใช้เวลาอ่านมันอย่างละเอียดในทุกๆครั้งที่มีเนื้อหาใหม่เพิ่มเข้ามานะ คุณอาจจะได้คำใบ้อย่างสองอย่างหากสังเกตให้ดี”
ยังคงไร้คำตอบเช่นเดิม
เมื่อมองกลับไปแล้วเขาก็เห็นอึนยูริกำลังพยักหน้า แต่ว่าเขาอ่านอะไรจากสีหน้าของเธอไม่ได้เลย
“เราควรจะไปช่วยไหม?”
เธอได้หยุดพยักหน้าลง ซอลจีฮูยอมรับกับตัวเองว่านี่เป็นคำถามที่โหดร้ายอยู่หน่อย แต่ว่าเขาก็อยากจะรู้ความเห็นของอึนยูริ
หลังจากเงียบอยู่สักพัก อึนยูริก็พูดออกมา
“ฉันคิดว่าคุณมีเหตุผล”
เธอได้ตอบกลับอย่างสุภาพ ซอลจีฮูยิ้มขึ้นกับคำตอบอ้อมๆนี้
“ผู้เข้าร่วมบทฝึกสอนมีอิสระที่จะร่วมมือกันได้ แต่ว่าพวกเขาก็ยังนับเป็นคู่แข่งกันด้วยเช่นกัน คุณคงจะรู้อยู่แล้วในเมื่อคุณเคยมีประสบการณ์มาก่อนในด่านที่ 3”
จริงๆแล้วการช่วยพวกเขาก็ไม่ใช่เรื่องยาก ยังไงแล้วการช่วยคนอื่นก็จะถูกนำไปประเมินให้คะแนนด้วยเช่นกัน หากย้อนกลับไปในบทฝึกสอนปกติเขาก็อาจจะช่วยคนอื่นด้วยเช่นกัน
แต่ว่าสถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว
จากการเปิดของบทฝึกสอนพิเศษ และรางวัลที่จะได้รับเพิ่มขึ้นหลายเท่า มันจึงเป็นธรรมดาที่จะมีวิธีในการได้รับคะแนนเอาชีวิตรอดเพิ่มขึ้นด้วย เพราะงั้นเมื่อตัดสินว่าพวกเขาสามารถจะรวบรวมคะแนนเอาชีวิตรอดได้พอโดยไม่ต้องช่วยผู้ทำสัญญาเลย ซอลจีฮูจึงตัดสินใจที่จะให้ความสำคัญกับการผูกขาดรางวัลพิเศษก่อน
มันเพียงก็แค่เขาอยากจะรู้ปฏิกิริยาของอึนยูริเท่านั้นเอง
‘คุณปล่อยให้คนกำลังจะตายอยู่ตรงหน้าไปได้ยังไงกัน? ฉันผิดหวังมาก! ฉันจะไม่เข้าองค์กรของคุณ!’
หากว่าจู่ๆ เธอพูดอะไรแบบนี้ออกมาเขาก็คงจะปวดหัวมาก
แน่นอนว่าเธอก็คงจะไม่พูดมันออกมาตรงๆ เว้นก็แต่ว่าเธอจะบ้าไปแล้ว แต่การจะเดาความคิดของคนอื่นมันก็ยากอยู่อย่างเคย
“พูดตามตรงแล้ว ต่อให้พวกเราช่วยพวกเขา พวกเขาอาจจะหันมาแว้งกัดพวกเรา ถึงจะมีบางคนสำนึกบุญคุณ และตอบแทนกลับมา แต่ว่าก็มีคนที่รู้สึกเหมือนกับเป็นสิทธิ์ของพวกเขาด้วยเช่นกัน อย่างน้อยมันก็เคยเกิดขึ้นกับผมมาแล้ว”
“คุณพูดถูก”
ในคราวนี้เธอได้ตอบกลับมาทันที ซอลจีฮูได้เหล่ตามองอึนยูริ
“จริงๆแล้วบางคนก็เข้าใจผิดคิดว่าพวกเขาเป็นหนี้บุญคุณ”
เขาคิดว่าเธอจะพยักหน้าเงียบๆเหมือนกับก่อนหน้านี้ แต่คราวนี้เธอได้เผยถึงสิ่งที่คิดออกมา
‘หืม’
แม้ว่าพวกเขาจะเจอกันได้ไม่ถึงวันเลย แต่ซอลจีฮูก็ประเมินนิสัยของอึนยูริออกมาแล้วว่าเป็นคน ‘เงียบขรึม’
เธอดูเหมือนกับคนที่ไม่ค่อยเผยอารมณ์ออกมา ไม่เข้าไปยุ่งเรื่องของคุณอื่น และพูดหรือทำอะไรเฉพาะในตอนที่จำเป็นเท่านั้น
เขาไม่รู้ว่าเพราะประสบการณ์ในเขตพื้นที่เป็นกลางทำให้เธอเป็นแบบนี้หรือเปล่า แต่เธอดูเหมือนกับจะรู้ถึงเรื่องราววงในของพาราไดซ์
‘ฉันอยากจะรู้จักเธอมากกว่านี้จริงๆ’
ซอลจีฮูที่เฝ้าคอยดูนิสัยของเธอในอนาคนได้พูดขึ้น
“ที่ผมพูดแบบนี้ก็เพราะผมไม่รู้ว่าคุณคิดอะไร แต่ว่าในท้ายที่สุดแล้ว ผมก็อยากจะสนใจคุณอึนยูริมากกว่านี้ มันก็เท่านั้นแหละ”
เขาไม่ได้ความคิดในหัวอย่าง ‘เพราะบทฝึกสอนนี้เป็นด่านสำหรับผมกับคุณ’ นั่นก็เพราะว่ามันน่าอายเกินไป
อึนยูริได้ก้มหน้าลงเล็กน้อย
“…ค่ะ…”
เธอได้พึมพำออกมาเบาๆ ถึงเธอจะทำเป็นใจเย็น แต่บางทีเธอก็น่าจะอายเหมือนกัน
ซอลจีฮูได้หัวเราะกับตัวเอง ก่อนจะมองไปรอบๆ
“พักสักหน่อยเถอะนะ”
อึนยูริได้แอบมองย้อนกลับไป เธออาจจะกำลังคิดว่า ‘พวกเราพักได้แล้วหรอ? พวกเราเพิ่งจะออกมาจากลานกว้างเองนะ!’
“มีหลายอย่างที่เราต้องทำก่อน อย่างการเปิดกล่องของขวัญ ในระหว่างนั้นเราก็จะได้ดูว่ามีอะไรอยู่ในกระเป๋าหนังได้ด้วย”
หนึ่งในเหตุผลที่ซอลจีฮูชอบอึนยูริก็เพราะเธอเป็นคนเข้าใจอะไรรวดเร็ว
เมื่อรู้ถึงสิ่งที่ซอลจีฮูต้องการแล้ว อึนยูริก็นั่งลงไปหยิบเอากล่องของจำเป็นออกมาจากกระเป๋า
หากว่าเธอเป็นทหาร เธอก็คงเป็นทหารระดับ A อย่างไม่ต้องสงสัยเลย
“กล่องของจำเป็นคือของโบนัสที่จะให้ในสิ่งที่คุณต้องการที่สุด”
“สิ่งที่ฉันต้องการที่สุด…”
เมื่อทวนคำของซอลจีฮูอย่างสับสนแล้ว ดวงตาเธอก็สว่างขึ้น แม้ว่าซอลจีฮูจะไม่รู้ว่าเป็นอะไร แต่ดูเหมือนจะมีของที่เธออยากจะได้อยู่
ซอลจีฮูได้พูดต่อโดยคิดว่า ‘คงไม่ใช่ขนมหรอกนะ’
“ในตอนที่ผมผ่านบทฝึกสอน ผมได้รับกล่องของจำเป็นมาสามกล่องรวมถึงคะแนนเอาชีวิตรอดด้วย เราคิดว่าคุณคงไม่ต้องการคะแนนเอาชีวิตรอด เพราะงั้นก็เลยเพิ่มให้อีกหนึ่งกล่องแทน”
“เข้าใจแล้ว”
“หากว่าคุณเปิดกล่อง ของโบนัก็จะเด้งออกมาเอง คุณช่วยเปิดกล่องแล้วบอกผมหน่อยได้ไหมว่าได้อะไร?”
อึนยูริได้เปิดกล่องในทันที กล่องได้ละลายหายไป และดวงตาของอึนยูริก็มองตรงไป
“วงจรมานาประยุกต์
“?”
“มีของที่ชื่อว่าวงจรมานาประยุกต์เพิ่มเข้ามาในหน้าต่างสถานะ”
“อ่า ความสามารถ”
ซอลจีฮูเอียงหัวออกมา ที่เขามีวงจรมานาที่ทรงพลังก็เพราะน้ำตาไซซี แต่ว่าวงจรมานาประยุกต์? เขาไม่เห็นเคยได้ยินชื่อความสามารถนี้มาก่อนเลย
“นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมได้ยินชื่อนี้…”
เมื่อตัดสินใจไว้ค่อยตรวจสอบทีหลังแล้ว ซอลจีฮูก็แนะนำให้เธอเปิดกล่องที่เหลือต่อ ซึ่งบังเอิญว่าอีกสามกล่องที่เหลือได้กลายมาเป็นกระดาษยันต์
เขาหวังเอาไว้ว่าแค่ได้กระดาษยันต์สักแผ่นก็ดีมากแล้ว แต่ว่าเมื่อออกมาถึงสามแผ่น เขาก็ถึงกับต้องคิดกับตัวเอง
‘ฉันควรจะดีใจไหมนะ?’
ในเวลาเดียวกันอึนยูริก็ได้เปิดกล่องหนัง ภายในนั้นมีของอยู่เพียงอย่างเดียว เชืออกที่เรืองแสงสีน้ำเงิน
“มันเขียนเอาไว้ว่าเชือกสามารถจะยับยั้งนักฆ่าได้”
อึนยูริได้อธิบายถึงเชือกที่อยู่ในมือของเธอออกมา มีข้อมูลแล้ว เธอบอกว่านักฆ่า ไม่ใช่กีกกวี๊
‘ก็นะ… ฉันก็คิดไว้ตั้งแต่เห็นขวานแล้ว’
เนื่องจากว่าความยากเพิ่มขึ้น ก็เป็นธรรมดาที่มอนสเตอร์จะเปลี่ยนเป็นตัวที่แกร่งขึ้น
จากนั้นเอง ซ่าาาห์ เสียงหญ้าได้ดังออกมา เมื่อหูของซอลจีฮูได้ยินเสียงนี้ เขาก็ตั้งสติเอาไว้
‘มาจากทางลานกว้าง’
ซอลจีฮูได้ยืนขึ้นพร้อมขวานสั้นในมือ
เสียงนั่นได้เข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว ตัดสินดูจากน้ำหนักเท้าแล้ว ดูท่าคนๆนี้ไม่คิดจะซ่อนตัวตนเลย
เป็นนักฆ่าหรือผู้รอดชีวิตนะ?
ไม่นานนักคำตอบก็ถูกเผยออกมา หญ้าสูงได้ถูกแหวกออก และร่างสูงยาวก็โผล่ขึ้น เขามีหัวที่สูงกว่าซอลจีฮู และแขนขาที่ยืดยาวผิดปกติ
มองยังไงนี่ก็ดูไม่เหมือนกับมนุษย์เลย แถมยังมีผิวสีเทาที่มีจุดสีแดงดำจนทำให้ดูเหมือนกับเป็นศพเน่าอีกด้วย นอกเหนือไปจากนั้นก็ยังมีหน้ากากสีขาวที่มีรูปแค่ตรงดวงตาเท่านั้นอีกด้วย
นักฆ่าได้เผยตัวตนออกมาแล้ว
‘ไม่คิดเลยว่าเขาจะไล่ตามเรามา…’
ซอลจีฮูได้เดาะลิ้น และเปิดใช้งานนพเนตร เขาได้ขมวดคิ้วขึ้นทันที
‘สีเขียว?’
เขาคิดว่าอย่างน้อยที่สุดนักฆ่าจะเป็นสีเหลือง
ตื๊ดดด ตื๊ดดด! โทรศัพท์ได้สั่นขึ้น
“มันบอกว่าเขาเป็นนักฆ่าขวาน”
สมุดบันทึกของผู้รอดชีวิตนิรนามคงจะมีอัพเดททำให้อึนยูริได้รับข้อมูลเพิ่มแน่
“มันบอกว่า เขาสนุกกับการใช้อาวุธต่างๆฆ่าผู้รอดชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขว้างขวานฆ่าคนที่กำลังหลบหนี แถมยัง-“
อึนยูริได้รีบพูดต่อ
“เขามีนิสัยหวงขวานมากจนไล่ตามคนที่หยิบขวานมา”
“อ่อ”
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมนักฆ่าถึงได้ไล่ตามพวกเขามา นักฆ่าได้ยื่นมือซ้ายเป็นการบอกให้ซอลจีฮูคืนขวานไปราวกับจะพิสูจน์คำพูดของอึนยูริ
‘ฉันหยิบมาก็เพราะว่าไม่มีอาวุธ…’
ซอลจีฮูได้เม้มปาก จะพูดว่ามันเป็นความผิดพลาดของเขา
ทีเป็นสีเขียวก็เพราะว่าฝ่ายตรงข้ามจะกลับไปเงียบๆหลังจากเขาคืนขวานไปงั้นหรอ?
‘แต่ว่านี่มันดูไม่น่าใช่เลย’
ซอลจีฮูได้ตัดสินใจทดสอบดู
“รับไปสิ”
เขาได้โยนขวานออกไป
“อืมม… ขอโทษที่หยิบมานะ ก็อย่างที่เห็นฉันไม่มีอาวุธ ฉันหยิบมันมาก็เพราะว่าใกล้มือเฉยๆ”
อึนยูริได้สงสัยถึงสิ่งที่เธอได้ยิน คนๆนี้กำลังจะทำอะไรกัน?
“นายพอจะมีหอกไหม? ฉันเข้าใจนะว่าขวานเป็นสมบัติของนาย แต่ถ้าหอกก็น่าจะได้ใช่ไหมล่ะ? ฉันจะขอบคุณมากเลยล่ะ”
นักฆ่าไม่ได้ขยับสักนิดแม้ว่าจะรับขวานไปแล้ว ดวงตาแดงก่ำของเขาได้จ้องซอลจีฮูนิ่ง
ขณะที่ซอลจีฮูไม่มั่นใจว่าฝ่ายตรงข้ามพูดภาษามนุษย์ได้ไหม นักฆ่าก็ดูจะแสดงสีหน้างุนงงออกมาด้วยเช่นกัน
เขาได้แต่เกาหัว หัวเราะแห้ง
“ฉันบอกว่าหากว่านายไม่ให้ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้านายมีหอกขว้างมันจะดีมาก เพราะงั้นแล้ว…”
อึนยูริได้ค่อยๆขยับปากพูดออกมา
“ดะ เดี๋ยวก่อนค่ะ สมุดบันทึกบอกว่าเขาเป็นคนที่อันตรายที่สุดในหมู่นักฆ่า มันเขียนเอาไว้ว่าเขาจะฆ่าผู้รอดชีวิตในทันทีโดยไม่เล่นกับเหยื่อ…!”
‘อะไรนะ?’
ซอลจีฮูกระพริบตาออกมา
‘ในหมู่นักฆ่า?’
ซอลจีฮูไม่ได้คิดจะกำจัดนักฆ่าตั้งแต่แรกแล้ว
ทำไมน่ะหรอ? นั่นก็เพราะจะทำให้บทฝึกสอนง่ายไปนักฆ่าจะต้องวิ่งพล่านเพื่อไม่ให้ผู้รอดชีวิตได้ไปแตะต้องรางวัลพิเศษไงล่ะ
นี่คือเหตุผลที่ซอลจีฮูตั้งใจจะปล่อยนักฆ่าไปโดยไม่ต้องฆ่า
‘แต่ว่านี่มันเปลี่ยนไปแล้ว’
ใช่แล้ว ในเมื่อความยากเพิ่มขึ้น มันจึงไม่แปลกเลยที่จะมีนักฆ่าหลายคน นี่มันหมายความว่าการฆ่าไปสักคนก็ไม่ได้ก่อให้เกิดปัญหาอะไร
“คุณแน่ใจนะ”
ซอลจีฮูได้หันหน้ากลับไปถามเธอ
“ที่ว่ามีนักฆ่าหลายคน”
ดวงตาอึนยูริเบิกกว้างขึ้น นั่นเพราะในตอนที่ซอลจีฮูหันหน้ามาหาเธอ
“ก๊าซ!”
นักฆ่าผู้ใช้ขวานได้พุ่งเข้ามาเหมือนกับสายฟ้า
“ระ ระวัง…!”
เมื่ออึนยูริตะโกนออกมาอย่างตกตะลึง…
“คิกคิกคิก”
นักฆ่าได้ย่นระยะห่างเข้ามาใกล้ และเหวี่ยงขวานลงมาพร้อมเสียงหัวเราะเยาะเย้ย
จากนั้น