บทที่ 93 ความคุ้นเคยอันไร้ที่มานี้ โดย Ink Stone_Romance
ออกจากเมืองหลวง?
“ทำไมอยู่ดีๆ จะไปเสียเล่า?” เสียนอ๋องประหลาดใจเอ่ย
ถามออกมาตนเองก็หลุดหัวเราะนิดๆ
อยู่ดีๆ อยู่ดีๆที่ไหน แรกสุดถูกบรรดาหมอหลวงกีดกัดกลั่นแกล้ง ต่อมาก็ถูกลู่อวิ๋นฉีรังแกรบกวน เด็กสาวคนนี้อยู่ที่เมืองหลวงเดินมาตลอดทางไม่ง่ายดายจริงๆ
“ต่อให้ยากเช่นนั้นก็ไม่ใช่ผ่านมาแล้วรึ” เสียนอ๋องคิดนิดหนึ่งยิ้มตาหยีเอ่ย “ไม่ใช่มีประโยคหนึ่งว่าไว้ร้ายสุดแล้วสิ่งดีๆ จะมา ชื่อหมอเทวดาของคุณหนูจวินทุกคนล้วนรู้จักแล้วหลังจากนี้ย่อมราบรื่น”
พูดพลางตบพุงทีหนึ่ง
“นอกจากนี้ไม่สนพวกเขาคนอื่น ครอบครัวข้าเฒ่าชราเด็กน้อยยังต้องพึ่งคุณหนูจวินนะ ใครรังแกคุณหนูจวิน ข้าไม่ยอมคนแรก”
คุณหนูจวินยิ้ม
“ขอบพระทัยเพคะองค์ชาย” นางยิ้มเอ่ย “ข้าไม่ได้กลัวอะไร”
มองดูดวงหน้าแย้มยิ้มของเด็กสาวคนนี้ เสียนอ๋องลูบพุงกระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง
ท่าทางเช่นนี้ มีความคิดลึกซึ้งสักนิดที่ไหน
ก็เหมือนพี่สาวน้องสาวในครอบครัวตนแสดงความดีใจหรือไม่ดีใจออกมาตามใจ
พวกเขาคุ้นเคยกันปานนั้นหรือ?
ความคิดนี้แล่นผ่านไป เขาก็พลันเข้าใจอยู่บ้าง ตบพุงอีกครั้ง
นับว่าเข้าใจความหมายที่จูจั้นพูดแล้ว
ท่าทางคุ้นเคยตั้งแต่แรกพบอันไร้ที่มาเช่นนี้ทำให้คนค่อนข้างรู้สึก…แปลกพิกล
“ถ้าอย่างนั้นเจ้า…” เขากระแอมเบาทีหนึ่งเอ่ย
“ข้าต้องการจากไป” คุณหนูจวินมองเขา สีหน้าตรงไปตรงมา “ข้าเคยอยากอยู่ที่เมืองหลวงยิ่งนัก เพราะต้องการทำเรื่องบางอย่าง แต่ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าอยู่ที่เมืองหลวงสิ่งที่ได้มาไม่เหมือนเช่นนั้นอย่างที่ข้าจินตนาการ ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจกลับไป”
ทำเรื่องบางอย่าง?
ไม่เป็นดั่งปรารถนา?
นางช่างคุ้นเคยทั้งที่แรกพบจริงๆ ถึงกับไม่บอกว่าตนเองอยู่ที่เมืองหลวงต้องการเผยแพร่วิชาแพทย์ของโรงหมอจิ่วหลิงสืบทอดกิจการตระกูล แต่เอ่ยตรงไปตรงมาเช่นนี้ว่าตนเองต้องการทำเรื่องบางอย่าง
ทำเรื่องบางอย่าง ไม่ใช่เรื่องวิชาแพทย์แน่
เด็กสาวคนนี้….เสียนอ๋องลูบพุงอีกครั้ง คำพูดนี้ทำให้คนไม่อาจต่อได้จริงๆ นะ
“ดังนั้นองค์ชายโปรดวางพระทัย ข้าไม่ได้รู้สึกว่ายากเข็ญถึงจากไป” คุณหนูจวินเอ่ย คิดนิดหนึ่งก็หัวเราะ “ส่วนไหวอ๋อง มีองค์ชายอยู่ ข้าก็วางใจ”
เสียนอ๋องร้องอ้อทีหนึ่ง
“เช่นนี้รึ” เขาเอ่ย สีหน้ายิ้มตาหยีพยักหน้า “มิน่าคุณหนูจวินมอบยาหีบใหญ่หีบหนึ่งให้ข้า ที่แท้เป็นของขวัญอำลานี่เอง”
มีคนที่ไหนให้ยาเป็นของขวัญอำลาบ้าง คำพูดของเสียนอ๋องช่าง….คุณหนูจวินหัวเราะอีกครั้ง
“ขอบพระทัยองค์ชาย” นางย่อคำนับต่ำทีหนึ่ง เงยหน้ามองเสียนอ๋องอีกครั้ง “ข้าจะไปแล้ว”
พูดพลางยิ้มอีกครั้ง
“แต่ ข้าต้องกลับมาอีกแน่”
เสียนอ๋องร้องอ้ออีกทีหนึ่ง แม้ใบหน้าพยายามรักษารอยยิ้มตาหยีสุดกำลัง ในใจกลับด่ามารดาแล้ว
นี่มารดามันเถอะรู้สึกประหลาดเหลือเกิน
จนถึงขั้นเขาก็ไม่รู้ควรพูดอะไร
คุณหนูจวินคำนับเขาอีกครั้ง หมุนตัวเดินออกไป หลิ่วเอ๋อร์หิ้วหีบยาตาม
มองดูเด็กสาวคนนี้ทีละก้าวๆ จากไป ก้าวข้ามธรณีประตูก็หายไปจากสายตา เสียนอ๋องฉับพลันรู้สึกเศร้าใจอยู่บ้าง
ความคิดนี้แล่นผ่าน เขาพลันตัวสั่นทีหนึ่ง
เห็นผีแล้วจริงๆ
เขาพบหน้าคุณหนูจวินคนนี้ครั้งที่สอง พูดคุยกันมากเช่นนี้ครั้งแรก ความเศร้าใจยามแยกจากมาจากไหนเล่า!
นี่ประหลาดแท้!
แปลกพิกลเหลือเกินจริงๆ!
มิน่าจูจั้นมักจะไม่ยินดีพบหน้าเด็กสาวคนนี้ เด็กสาวคนนี้ทำไม ทำไม….
เสียนอ๋องยื่นมือลูบพุงขมวดคิ้ว
ทำไมไม่กลัวเขาสักนิด? ตรงกันข้ามกลับสบายๆ เป็นกันเองเช่นนั้น เหมือนคุ้นเคยกับเขานัก เหมือนรู้จักเขาเนิ่นนานนักแล้ว
ประหลาดแท้
เด็กสาวคนนี้ก็อายุแค่สิบห้าสิบหกปี ทั้งเข้าเมืองหลวงมาครั้งแรก ไหนเลยจะรู้จักกับตนเองเล่า?
ชาติก่อนหรือ?
เสียนอ๋องมองดูแผ่นหลังที่ค่อยๆ จากไปไกล เด็กสาวคนนั้นราวกับรู้สึกได้ถึงสายตาที่จับจ้อง หยุดหันกลับมา
นางไม่ได้คำนับ แต่โบกมือนิดหนึ่ง
เสียนอ๋องสั่นสะท้านอีกครั้ง
ท่าทางเช่นนี้ไม่ใช่สาวชาวบ้านคนหนึ่งจะทำกับท่านอ๋องเช่นนี้อย่างเขาได้ ท่าทางเช่นนี้มีเพียงระหว่างพวกเขาเชื้อพระวงศ์ที่ฐานะเท่าเทียมกันถึงจะมี
เด็กสาวคนนี้ทำท่าทางเช่นนี้ ไม่รู้จักมารยาทหรือคุ้นชินจึงเป็นไปเอง?
ไม่รู้มารยาทกระมัง ดีเลวอย่างไรนางก็ชาติกำเนิดเป็นบุตรสาวขุนนาง แต่ก็พูดได้ไม่แน่ เล่ากันว่าเด็กสาวคนนี้หยาบคายไร้มารยาท
ส่วนคุ้นชิน…
ที่ลู่อวิ๋นฉีตอแยคุณหนูจวิน ก็แค่เพราะชื่อของนาง
จิ่วหลิง
เสียนอ๋องยืนอยู่ในวัง เสียงคุยเล่นของเหล่าสตรีเด็กน้อยรอบด้านไม่หยุด เขากลับเหม่อลอยอยู่บ้าง
เคยมีเด็กสาวคนหนึ่งก็ชื่อว่าจิ่วหลิง ลำดับรุ่นเรียกเขาว่าพระปิตุลา แม้อายุน้อยกว่าเขาสามสี่ปี
เสียนอ๋องส่ายศีรษะ
ที่จริงหลานสาวคนนี้ เขาไม่ได้มีความทรงจำอะไร จำได้เลือนรางว่าดวงตาโต ลูกตามักจะกลอกกลิ้งไปมา ท่าทางลับๆ ล่อๆ ไม่รู้ในสมองวางแผนซุกซนอะไรอยู่ ก็ซุกซนจริงๆ ทำให้พี่สะใภ้ปวดหัวเป็นที่สุด
แต่เด็กคนนี้ก็ทำให้คนนับถือนัก เป็นฝ่ายทิ้งชีวิตในรั้ววังอาหารโอชาแพรพรรณงดงาม ระเห็จไปอยู่ข้างนอก ขอพรให้กับพระเชษฐา
เวลานั้นเขาก็อับอายตนเองสู้ไม่ได้อยู่เหมือนกัน โวยวายหลายครั้งจะไปแถบเหนือสังหารโจรชั่ว กระทั่งเมืองหลวงกลับไม่เคยก้าวออกไป นอกจากพระบิดาตัดใจไม่ลง ที่จริงตัวเขาเองก็ไม่กล้าไปด้วย
เด็กสาวคนหนึ่งเช่นนี้ ต่อมาไม่อยู่แล้ว
พระบิดาพระเชษฐาพระเชษฐภคินีล้วนไม่อยู่แล้ว
ชีวิตที่เคยคิดว่าจะคงอยู่ตลอดไปฉับพลันไม่มีแล้ว ไม่มีแล้วและไม่มีอีกต่อไปแล้ว
เสียนอ๋องมองแผ่นหลังของเด็กสาวคนนั้นหายไปจากสายตา ยืนอยู่ในวังเหม่อลอยพักหนึ่ง
มีสตรีเข้ามาคุยเล่น คล้องแขนเขาพูดอะไร เสียนอ๋องมองปากนางอ้าหุบ อึ้งงันฟังไม่ชัด พักหนึ่งถึงได้สติกลับมา
“ท่านอ๋องท่านเป็นอะไรไปเพคะ?”
สตรีเด็กๆ ในวังไหวอ๋องล้วนตกใจย่ำแย่ไปแล้ว เอ่ยถามวุ่นวาย ยังมีคนจะไปเรียกคุณหนูจวินกลับมา
เสียนอ๋องโบกมือห้ามขันทีผู้กำลังจะออกไป สีหหน้าขรึมลงอีกครั้ง
แต่ยังมีเรื่องหนึ่งผิดคาดนัก
เด็กสาวคนนี้ถึงกับไม่เอ่ยถามว่าจูจั้นตอนนี้เป็นอย่างไร
ตอนนั้นตอนที่เกิดเรื่องนางไม่ใช่ก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วยหรือ? ผนวกกับฮ่องเต้เจตนาประกาศผลการลงโทษ สถานการณ์ตอนนี้ของจูจั้นนางไม่มีทางไม่รู้กระมัง?
โทษโบย คุกหลวง นี่ล้วนหมายถึงเรื่องราวสาหัสยิ่ง
กลัวแล้วกระมัง?
ไม่เพียงไม่เอ่ยถามสักนิด ยังบอกว่าจะออกจากเมืองหลวงอีก
เห็นเกี่ยวข้องกับมหาบัณฑิตสภาอำมาตย์ ฮ่องเต้พิโรธ เมืองหลวงสับสนโกลาหลขึ้นมา ดังนั้นจึงจะถอยหลบ หนีออกไปแล้ว
เสียนอ๋องส่ายศีรษะ ท่าทางดูแคลนอยู่บ้าง ทั้งหัวเราะขมขื่นอยู่บ้าง
น่าสงสารจูจั้นยังคิดถึงอยากช่วยเหลือนาง
บนโลกนี้น่ะ คนแล้งน้ำใจ
รถม้าของคุณหนูจวินออกจากวังเสียนอ๋อง ในโรงหมอจิ่วหลิงผู้ดูแลใหญ่หลิ่วที่ได้ข่าวก็มา
“นี่ก็คือความยุติธรรม” เขาเอ่ย “คุณหนูจวินช่วยชีวิตช่วยผู้คน ย่อมมีหนทางและความช่วยเหลือมากมาย”
“ก็บอกแล้วไง ถูกลู่อวิ๋นฉีหาเรื่องทีเดียวโรงหมอจะเปิดไม่ได้ได้อย่างไรเล่า” เฉินชียกถ้วยชาพลางเอ่ย “ตอนนี้ยังไม่พูดถึงทั่วใต้หล้า ทั้งเมืองหลวงคนมากปานนี้ เขาจะทำให้คนทั้งหมดไม่มารักษากับพวกเราได้จริงหรือ?”
“กังวลเสียเปล่าแล้ว กังวลเสียเปล่าแล้ว” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยิ้มเอ่ย
กำลังคุยเล่นกันอยู่ก็มีพนักงานหอบแฮกๆ วิ่งเข้ามา
“กลับมาแล้วรึ?” เฉินชีมองเขาเอ่ยปากถามขึ้นก่อน ยิ้มลุกขึ้นยืน
“ไม่ใช่ขอรับ คุณหนูจวินออกจากวังเสียนอ๋องแล้วแต่ไม่ได้กลับมา ไปกรมสืบสวนฝ่ายเหนือแล้ว” พนักงานหอบแฮกๆ เอ่ย “ให้แม่นางหลิ่วเอ๋อร์กลับมาคนเดียว”
ไปกรมสืบสวนฝ่ายเหนือ?
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วก็ลุกขึ้นยืนด้วย สีหน้าตกตะลึงมองเฉินชี
………………………