บทที่ 94 ไปถามเงื่อนไขของเขา โดย Ink Stone_Romance
เรื่องนี้ เดิมนางก็เคยบอกว่าจะไป
เฉินชีปลอบตนเองให้สงบลง
“เสียนอ๋องส่งนางไปหรือ?” เขาทำท่าเข้าใจอยู่บ้างเอ่ยถาม
หลิ่วเอ๋อร์เข้ามาแล้ว ได้ยินเข้าขมวดคิ้ว
“เสียนอ๋องส่งนางไปอะไรเล่า” นางเอ่ย “คุณหนูเสร็จธุระกับเสียนอ๋องแล้วก็ไปธุระของตนเองสิ”
หมายความว่าอะไร?
เฉินชีกับผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมองนาง ในใจความคิดย่ำแย่ผุดออกมา
“นางไม่ได้พูดกับเสียนอ๋องขอให้ช่วยเรื่องไปพบบุตรชายเฉิงกั๋วกงหรือ?” สองคนต่างปากเอ่ยเป็นเสียงเดียว
หลิ่วเอ๋อร์ส่ายศีรษะ
“แน่นอนไม่ได้พูดสิ” นางว่า “ไม่ใช่เสียนอ๋องขอให้คุณหนูช่วยหรือ? ทำไมคุณหนูต้องขอให้เสียนอ่องช่วยด้วย?”
เพราะเจ้ามันเป็นคนโง่
เฉินชีถลึงตา
คุณหนูจวินคนนั้นก็เป็นคนโง่เหมือนกัน!
โอกาสดีปานนี้กลับไม่ใช้ ถึงกับหาญกล้าไปหาลู่อวิ๋นฉีตัวคนเดียว?
บ้าไปแล้วรึ?
แน่นอนคุณหนูจวินไม่ได้บ้า นางขอให้เสียนอ๋องช่วยสิถึงบ้า
เสียนอ๋องมาช่วยตนก็เรียกสายตามากพอแล้ว ไปยุ่งกับลู่อวิ๋นฉีเพื่อจูจั้นอีก ฮ่องเต้ต้องอยากถามว่าเขาคิดจะทำอะไรแน่
นี่สรุปสุดท้ายแล้วก็เป็นความขัดแย้งของนางกับลู่อวิ๋นฉี ยังไงก็อย่าให้เกี่ยวข้องกับคนมากเกินไปเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นคนที่ใส่ใจพวกนางสามพี่น้อง
รถม้าหยุดนอกประตูกรมสืบสวนฝ่ายเหนือ คนรถสูดหายใจลึกทีหนึ่ง มีประสบการณ์จากการไปจวนสกุลลู่ครั้งก่อน ครั้งนี้จอดอยู่ที่นี่ แม้ขาของเขายังคงอ่อนแรงอยู่บ้าง แต่ดีร้ายก็ยังยืนมั่นคง
“คุณหนู ถึงแล้วขอรับ” เขาเอ่ย
คุณหนูจวินลงจากรถม้า ยังไม่ทันก้าวเดินก็ได้ยินเสียงกีบเท้าม้าเร่งรีบดังขึ้น
“คุณหนูจวิน?”
เสียงบุรุษหลายคนดังขึ้น
คุณหนูจวินหันกลับไปมอง เห็นเป็นพวกซื่อเฟิ่งกับจางเป่าถัง
“คุณหนูจวินท่านมาแล้ว ดีเหลือเกิน” จางเป่าถังเอ่ยพลิกกายลงจากม้า แล้วหันกลับไปมองบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งหลังร่าง “หมอหลวงเหลียงเจ้ากลับไปได้แล้ว”
“โปรดรอก่อน” ซื่อเฟิ่งรีบเอ่ย มองคุณหนูจวินสีหน้ายุ่งยาก “ยังไงให้หมอหลวงเหลียงทำเถอะ”
จางเป่าถังร้องเอ๋ทีหนึ่ง
“แต่คุณหนูจวินวิชาแพทย์ดีกว่าหมอหลวงเหลียงนะ” เขาเอ่ย พูดจบก็รีบมองหมอหลวงเหลียง ท่าทางรู้สึกผิด “หมอหลวงเหลียงข้าไม่ใช่บอกว่าเจ้าไม่ดี…”
หากเป็นก่อนหน้านี้คำพูดนี้อาจทำให้หมอหลวงอับอายโกรธเกรี้ยว แต่ตอนนี้สำหรับหมอหลวงมากมายไม่มีทาง
ไม่รอจางเป่าถังเอ่ยจบ หมอหลวงเหลียงก็รีบโบกมือ
“ไม่ ไม่ วิชาแพทย์ของคุณหนูจวินดีกว่าข้า” เขาเอ่ยสีหน้าจริงใจ “มีคุณหนูจวินยิ่งดี”
คุณหนูจวินคำนับหมอหลวงเหลียง
ซื่อเฟิ่งส่ายศีรษะ
“ไม่ได้พูดถึงปัญหาเรื่องวิชาแพทย์” เขาว่า ยิ้มเฝื่อนนิดหนึ่ง “คุณหนูจวิน นี่เป็นครั้งที่สองที่พวกเรามาแล้ว ยังไม่แน่ว่าจะเข้าไปได้ หากพาท่านไปด้วยต้องเข้าไปไม่ได้แน่ เขาจะอนุญาตให้ท่านไปดูบาดแผลของท่านชายได้อย่างไร”
จางเป่าถังตอนนี้ถึงเข้าใจ
สนใจแต่วิชาแพทย์ของคุณหนูจวิน ลืมแล้วว่าลู่อวิ๋นฉีต้องการกดดันคุณหนูจวินยามรักษาคน สร้างความลำบากให้นาง บีบบังคับนาง กระทั่งคนอื่นตรวจรักษายังไม่อนุญาต ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจูจั้นแล้ว
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจูจั้นขวางลู่อวิ๋นฉีจากการรังแกคุณหนูจวินหลายครั้ง สองคนเพื่อแย่งชิงคุณหนูจวินเรียกได้ว่าเป็นศัตรูความรัก ศัตรูความรักเห็นหน้ากันก็ตาแดงเป็นพิเศษแล้ว คุณหนูจวินคนนี้ยังจะเป็นห่วงจูจั้นต่อหน้าลู่อวิ๋นฉี เป็นบุรุษคนใดล้วนต้องไม่พอใจ
จางเป่าถังด่ามารดามันคำหนึ่ง
“โทษโบยของท่านชายเป็นอาการบาดเจ็บภายนอก ตอนนี้ยังไม่ต้องให้คุณหนูจวินลงมือ ที่สำคัญที่สุดคือมีหมอที่พึ่งพาได้คนหนึ่งดูสักหน่อยก็พอแล้ว” เขาเอ่ยคำนับคุณหนูจวิน “คุณหนูจวินไม่ต้องให้ท่านกังวล”
คุณหนูจวินส่ายศีรษะ
“ยังไงก็ให้ข้าเองเถอะ” นางเอ่ย “ไม่เช่นนั้นพวกท่านก็เข้าไปไม่ได้”
จางเป่าถังอึ้งไปนิดหนึ่ง
นี่หมายความว่าอย่างไร? หรือว่านางจะทำให้พวกเขาเข้าไปได้?
นี่นางจะ…
“ข้าจะไปพบลู่อวิ๋นฉี” คุณหนูจวินเอ่ย “พวกท่านรอสักครู่”
พูดจบไม่รอพวกซื่อเฟิ่งจางเป่าถังเอ่ยวาจาก็หมุนตัวเดินไปที่ประตูใหญ่กรมสืบสวนฝ่ายเหนือ
ประตูใหญ่นี้เคยถูกจูจั้นใช้หีบเขวี้ยงใส่มาก่อน ตรงที่เสียหายย่อมซ่อมแซมเสร็จดีแล้ว องครักษ์เสื้อแพรสองคนยืนอยู่ที่ประตู ราวกับไม่เห็นพวกเขาที่คุยกันอยู่นอกประตู
แบบนี้ไม่ดีกระมัง
จางเป่าถังก้าวเท้าจะร้องเรียกนาง แต่ถูกซื่อเฟิ่งขวางไว้
“นางพูดถูก” เขาเอ่ย “บางทีอาจมีเพียงนางถึงทำให้พวกเราเข้าไปพบพี่รองได้”
จางเป่าถังมองดูคุณหนูจวินที่ยืนอยู่ตรงหน้าองครักษ์เสื้อแพร
“นางจะทำได้ยังไง…” เขาเอ่ย เสียงยังไม่ทันสิ้นก็เห็นองครักษ์เสื้อแพรผู้เดิมทีประหนึ่งหลักไม้มนุษย์คนนั้นค้อมกายคำนับคุณหนูจวินอย่างนอบน้อม
เอาเถอะ จางเป่าถังกลืนคำพูดที่เหลือกลับลงไป มองดูคุณหนูจวินเดินเยื้องย่างเข้าไป
เห็นชัดมากว่าองครักษ์เสื้อแพรเหล่านี้ไม่ได้นอบน้อมเช่นนี้เพราะนางเป็นหมอเทวดา แต่ถูกลู่อวิ๋นฉีสั่งมา
สั่งเช่นนี้ตลอด หรือคำนวณแล้วว่าครั้งนี้คุณหนูจวินจะส่งตนเองมาถึงประตู?
“แต่ นี่นางจะไปขอร้องลู่อวิ๋นฉีสินะ” เขาสีหน้ายุ่งยากเอ่ย “ลู่อวิ๋นฉีต้องเสนอเงื่อนไขแน่เลย หาก…”
หาก ลู่อวิ๋นฉีต้องการนางเป็นอนุภรรยาเล่า?
นางก็จะตกลงหรือ?
คุณหนูจวินเข้าประตูกรมสืบสวนฝ่ายเหนือเป็นครั้งแรก
อิฐเขียวกำแพงเทา พรมน้ำกวาดสะอาดเกลี้ยงเกลา ไม่มีขุนนางวิ่งวุ่นไปมา รอบด้านเงียบสงบ เทียบกับกรมอื่นๆชวนให้สบายใจมากกว่าอยู่บ้าง
น่าขำจริงๆ ถึงกับรู้สึกว่ากรมสืบสวนฝ่ายเหนือที่ผู้คนได้ยินก็เปลี่ยนสีหน้าชวนให้สบายใจ บางทีอาจเพราะองครักษ์เสื้อแพรที่พบล้วนนอบน้อมมีมารยาท เบี่ยงกายหลีกหลบพร้อมกับชี้ทาง
ไม่มีใครอยากพบลู่อวิ๋นฉี แล้วก็ไม่มีใครพบลู่อวิ๋นฉีได้ง่ายดายเช่นนี้ด้วย
นอกเสียจากลู่อวิ๋นฉียินยอม รวมถึงรอคอยอยู่ก่อนแล้ว
คุณหนูจวินเดินตามการนำทางมาถึงหน้าห้องทำงานห้องหนึ่ง
ที่นี่ยังคงเป็นอิฐเขียวกำแพงเทา ลู่อวิ๋นฉีทั้งร่างอาภรณ์สีแดงสดยืนอยู่ใต้ชายคาไม่ได้สะดุดตาเป็นพิเศษ ตรงกันข้ามกลับกลืนเป็นร่างเดียวไปกับสีเทาหม่นนี้
“เจ้ามาแล้ว” เขายิ้มเล็กน้อยเอ่ย
เหมือนนายท่านผู้กระตือรือร้นต้อนรับแขกที่รอคอยมานาน
คุณหนูจวินหยุดยืน
“ไม่เข้ามานั่งเล่า?” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยถาม พลางเบี่ยงกายทำท่าเชิญ
“เงื่อนไขอะไรข้าถึงพบเขา รักษาแผลให้เขาได้?” คุณหนูจวินไม่ได้ตอบคำถาม แต่เอ่ยถามเข้าประเด็น
ลู่อวิ๋นฉีถอยหายใจเบาๆ
“เจ้าคิดถึงบุรุษอื่นเช่นนี้ จะทำให้ข้าไม่ชอบใจ” เขาเอ่ย
คุณหนูจวินมองเขา ในใจมีรสชาติที่บอกไม่ถูกนิดๆ
ประโยคนี้ก่อนหน้านี้เขาก็เคยพูดกับนาง บังเอิญหรือไม่บังเอิญก็เหมือนจะเพราะจูจั้นเช่นเดียวกัน รายละเอียดจำได้ไม่ชัดแล้วว่าพูดเรื่องอะไร อาจกำลังพูดถึงเรื่องอะไรของขุนนางคนอื่น เอ่ยถึงเฉิงกั๋วกง ทันใดนั้นนางก็คิดถึงจูจั้นที่ทะเลาะกับเสียนอ๋องคนนั้นขึ้นมา จึงถามไปตามเรื่องประโยคหนึ่งว่าทำไมไม่เห็นเขามาเมืองหลวงอีกเลย
ลู่อวิ๋นฉีตอนนั้นไม่ตอบ เอ่ยคำพูดประโยคหนึ่งเช่นนี้ออกมา
คำพูดนี้ย่อมเป็นการล้อเล่น เป็นคำแสดงความรักระหว่างคนรัก เขาย่อมไม่ได้โกรธจริงๆ ส่วนนางก็ถูกล้อจนหัวเราะใหญ่
บนหน้าลู่อวิ๋นฉีเวลานี้ก็ไม่มีความโกรธหรือความไม่พอใจ พูดประโยคนี้จบก็หัวเราะอีกครั้ง
“แน่นอนข้าย่อมไม่มีทางไม่ชอบใจ” เขาเอ่ยอีกครั้ง “ขอแค่เจ้ามาก็พอ”
คุณหนูจวินเงียบงัน
คำพูดนี้แน่นอนไม่ใช่ปลอบประโลมแสดงความใจกว้างของเขา ความหมายของเขายังคงหมายถึงความหมายนั้น ไม่สนเป้าหมายของนาง ไม่สนว่านางทำเพื่ออะไร แล้วก็ไม่สนว่านางดีใจหรือโศกเศร้า ขอเพียงนางมา ขอเพียงนางอยู่ในการควบคุมของเขา
นางไม่ใช่องค์หญิงจิ่วหลิงของเขา สิ่งที่เขาต้องการก็คือตัวแทนขององค์หญิงจิ่วหลิงเท่านั้น ขอเพียงตัวแทนนี่อยู่ตรงหน้าและในกำมือก็พอแล้ว ส่วนนางพอใจหรือไม่ เขาไม่ใส่ใจสักนิด
ในสายตาเขานางเป็นแค่ของชิ้นหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่คนผู้หนึ่ง ก็เหมือนกับผู้หญิงที่เลี้ยงไว้ในจวนข้างนอกเหล่านั้น
“เงื่อนไขง่ายนัก” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย ยื่นมือมาหานาง “มา”
เขายืนอยู่บนขั้นบันได จากข้างบนยื่นมือข้างหนึ่งลงมา
……………………………………….