ชิวเยี่ยไป๋มองดูคนงามที่หลับใหลบนเตียง แววตาสับสน จากนั้นนางก็นั่งลงที่ข้างกาย เห็นหยวนเจ๋อดูเหมือนเหงื่อออกไม่น้อย กระทั่งกางเกงก็เปียกด้วย นางจึงถอดกางเกงเขาอย่างระมัดระวัง นางเบือนหน้า แก้มแดงเล็กน้อย

 

 

จากนั้นก็ไม่ให้เขาสวมใส่เสียเลย ดึงผ้าห่มบางๆ คลุมจุดสำคัญบนตัวเขา

 

 

แต่นางเพิ่งจะหันไปหยิบจอกน้ำ กลับพลันรู้สึกมือเย็นเยียบข้างหนึ่งกุมแขนนางไว้ ความเย็นเยือกนั่นเหมือนสัมผัสกับศพ ช่างคุ้นเคยเช่นนี้ พริบตานั้นนางตัวแข็งแล้วรีบถอยตามสัญชาตญาณ นึกไม่ถึงว่าไปเตะเอาอะไรเข้า จนเซถลาฟุบลงบนร่างคนงามที่นุ่งลมห่มฟ้า

 

 

ผิวกายนุ่มเนียนเย็นเหมือนน้ำแข็งเฉียดผ่านปลายจมูกและริมฝีปากของนาง เป็นความรู้สึกสะท้านที่พิลึกพิลั่น

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ตัวแข็ง จมูกได้แต่กลิ่นหอมที่เย็นเยือก นางรู้สึกว่ากลิ่นหอมประหลาดนั้นคุ้นเคยแปลกๆ เจือด้วยกลิ่นอายที่เป็นเอกลักษณ์ของบุรุษเพศวนเวียนที่จมูก ตอนแรกเป็นกลิ่นกำยานที่ชวนให้จิตใจนิ่งสงบจากตัวหยวนเจ๋อชัดๆ แต่ยิ่งนานก็ยิ่งคล้ายกลิ่นหอมที่มอมใจบนตัวของไป๋หลี่ชูทำเอาชิวเยี่ยไป๋พลันรู้สึกสมองขาวโพลนชั่วขณะ

 

 

มิรู้ว่าคนที่กอดตนไว้เป็นใครกันแน่!

 

 

นางยื่นมือผลักอ้อมกอดตามสัญชาตญาณ นึกอยากให้พ้นจากกลิ่นหอมที่จรุงใจจนเกินเหตุ กลับถูกหยวนเจ๋อรัดไว้

 

 

“หนาวจัง…หนาวจัง…อาจารย์…อย่า…อย่า…!”

 

 

เสียงนุ่มนวลแหบพร่าของเขาดังขึ้นข้างหูนาง เสียงนั้นเปี่ยมด้วยความตระหนกและเจ็บปวด สมองที่เลอะเทอะของชิวเยี่ยไป๋พลันเหมือนถูกคนเตะใส่หลายครั้ง สติคืนกลับมาไม่น้อย มือที่กำลังผลักหยวนเจ๋อจึงชะงักอยู่ที่บั้นเอวเขา

 

 

คนที่กอดตนไว้เหมือนคนจมน้ำที่กอดขอนลอยได้อันหนึ่ง รัดไว้แน่นร่างกายสั่นเทิ้มน้อยๆ อีกทั้งเสียงอู้อี้เหมือนสัตว์เล็กที่คอหอยแทบแตกสลาย ล้วนทำให้ชิวเยี่ยไป๋จิตใจว้าวุ่น

 

 

แต่ไหนแต่ไรหยวนเจ๋อเป็นคนท่าทางเรื่อยเฉื่อย เหมือนคนไม่ประสาต่อโลก แต่หลังชิวเยี่ยไป๋ได้เห็นกับตาถึงฉากการลงมือ ‘สวดส่ง’ ผู้คนวันนั้นแล้ว จึงรู้สึกว่าถ้าจะพูดว่าเขาไม่ประสาต่อโลก สู้บอกว่าเขาห่างจากโลกมนุษย์จะดีกว่า

 

 

ราวกับต้นโพธิ์ที่สงบนิ่งต้นหนึ่ง ดูแล้วเหมือนทื่อๆ เก็บปากเก็บคำ แต่เนื่องจากเขามองดูฟากฟ้าเบื้องบนอย่างเฉยเมยตลอดกาลและทอดตาสู่พสุธา ความโศกเศร้าดีใจพรากจากหรือพบกันของโลกมนุษย์ล้วนมิได้เกี่ยวข้องกับเขา

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาแสดงออกใกล้เคียงกับอารมณ์มนุษย์มากที่สุดต่อหน้าตน

 

 

ช่างเปราะบางและนุ่มนวลอะไรเช่นนี้

 

 

นางถอนใจเบาๆ คราหนึ่ง มือเกาะเอวของเขาไว้อย่างจนใจ ตบเขาเบาๆ อย่างนุ่มนวล “ไม่เป็นไรแล้วๆ”

 

 

สัมผัสนี้ ทำให้นางรู้สึกว่าผิวกายของเขามีเหงื่อเย็นเยียบบางๆ ชั้นหนึ่ง

 

 

และดูเหมือนอุณหภูมิร่างกายของหยวนเจ๋อก็ลดต่ำลงเพราะการนี้จนถึงระดับที่น่าตกใจ

 

 

ชิวเยี่ยไป๋สะดุ้งในใจ ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเขาจึงกอดตนไว้ คงมีแต่เจ้าตัวประหลาดไป๋หลี่ชู ที่แม้อุณหภูมิร่างกายเย็นเยียบก็ยังไม่เป็นไร เพราะถ้าคนปกติอุณหภูมิร่างกายต่ำถึงระดับนี้ อาการคงหนักหนาสาหัสสุดจะคาดเดา

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ขมวดคิ้ว ดวงตาฉายแววกังวลวูบหนึ่ง ถ้านางคิดไม่ผิด เกรงว่าพิษในตัวหยวนเจ๋อคงกำเริบแล้ว

 

 

แต่บัดนี้ยังห่างจากหมู่บ้านระยะหนึ่ง และบนเรือก็ไม่มีท่านหมอ

 

 

ทำอย่างไรดี

 

 

นางขมวดคิ้ว กัดฟันยื่นมืออุ้มหยวนเจ๋อให้เขานอนด้านในของเตียง ส่วนนางเองสะบัดเตะรองเท้าทิ้งอย่างคล่องแคล่ว แล้วแทรกตัวลงบนเตียง

 

 

ดูเหมือนหยวนเจ๋อจะรับรู้ถึงแหล่งที่มาเพียงหนึ่งเดียวของความอบอุ่น เขาจึงกอดนางไว้แน่นมากจนนางแม้แต่จะพลิกตัวยังลำบาก เดิมทีชิวเยี่ยไป๋ยังคิดจะให้เขาหันหลังให้ตนเอง เพื่อจะได้เดินกำลังภายในที่กลางหลังเข้าสู่ร่างกายเขา แต่บัดนี้ได้แต่กอดเขาไว้ในอ้อมอก ใช้มือข้างหนึ่งกดวางที่ตำแหน่งหัวใจของเขา มืออีกข้างอ้อมผ่านหว่างเอวทาบกับแผ่นหลังในท่าทางประหลาด และเดินพลังช่วยเขาคุ้มครองชีพจรหัวใจและรีดพิษร้าย

 

 

ขาดทั้งแพทย์และหยูกยา นี่เป็นอีกวิธีหนึ่งเมื่อไม่มีวิธีอื่น

 

 

นางรวมพลังที่จุดศูนย์และเดินลมปราณส่งเข้าไปในจุดสำคัญที่อกของเขา

 

 

นับแต่เจ้างูกู่ตัวร้ายชื่อเยี่ยนแสนประหลาดตัวนั้นเข้าสู่ร่างกายนาง และบุญพาวาสนาส่งถูกไป๋หลี่ชูทะลวงด่านความเป็นความตายแล้ว ที่จุดศูนย์ของนางก็มีพลังร้อนแรงขุมหนึ่ง เดิมทีนางยังวิตกอยู่บ้าง ถึงอย่างไรตนเองก็เป็นสตรี ไม่แน่ใจว่าจะทนทานขุมพลังภายในที่ค่อนไปทางร้อนแรงได้หรือไม่ แต่ยังดีที่ดูเหมือนจะไม่มีผลกระทบมากนัก

 

 

ดูเหมือนหยวนเจ๋อจะรู้สึกว่าร่างกายของคนที่ตนกอดไว้อบอุ่นมากขึ้นทุกที ความอบอุ่นนี้ค่อยๆ แทรกเข้าร่างกายของเขาทีละน้อย ทำให้เขาสบายขึ้นมากจึงอดใจละจากอ้อมอกที่เหมือนตะวันดวงน้อยนี้มิได้

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ถูกเขากึ่งกอดกึ่งทับไว้ กำลังรวมสมาธิส่งพลังภายในเข้าตัวเขา แม้จะรู้สึกว่าท่าทางลักษณะนี้ออกจะประดักประเดิด แต่ก็รับรู้ว่าอาการสั่นเทิ้มของเขาดูเหมือนจะสงบลงมิใช่น้อย นางยังคงระบายลมหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง ดูท่าวิธี ‘พื้นบ้าน’ ของชาวยุทธจักรยังได้ผลดีอยู่

 

 

ร่างกายเขม็งเกร็งด้วยความเจ็บปวดเมื่อครู่ค่อยๆ คลายตัวลง และมิได้ส่งเสียงละเมอในลำคออย่างหวาดหวั่นเช่นเมื่อครู่

 

 

เวลาผ่านไปทีละนาที ทีละชั่วโมง จนตะวันลับจันทราขึ้นสู่ฟ้า อากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวน้ำ แสงจันทร์สลัวแทรกผ่านหน้าต่างเข้ามา

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เดินพลังป้อนสู่กลางหลังเขาเงียบๆ มิรู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ผมสีเงินยวงนุ่มสลวยของเขาคลุมอยู่ระหว่างนางกับเขาอย่างเงียบงัน ราวกับสายใยสีเงินยวงพันเขากับนางไว้ถักทอจนเป็นรังไหมสีเงินห่อหุ้มสองร่างไว้ด้วยกัน

 

 

ระยะที่ชิดใกล้จนแนบสนิทเกินไป ทำให้นางรับรู้ได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจเขาอย่างชัดเจน ทำเอานางรู้สึกหลอน เหมือนได้ยินเสียงระฆังยามเช้าเสียงย่ำกลองยามเย็นจากวัดที่ไกลโพ้น และทำให้ความรู้สึกแข็งเกร็งและอีหลักอีเหลื่อสลายไปสิ้นอย่างน่าประหลาด ราวกับนี่มิใช่ครั้งแรกที่นางนอนอยู่ในอ้อมอกนี้และถูกกอดไว้

 

 

ดวงตาของชิวเยี่ยไป๋เคลิบเคลิ้ม มองลอดอ้อมแขนของเขาดูจันทราเต็มดวงที่แขวนอยู่กลางฟ้าอย่างสงบนอกหน้าต่าง

 

 

ทำให้นางหวนนึกถึงราตรีนั้นก่อนออกจากราชธานี ก็เป็นคืนจันทร์กระจ่างฟ้าเช่นกัน ฉากบุปผาปลิวว่อนราวหิมะ อสูรผู้มอมเมาผู้คนแช่ตัวในบึงสุราสดใสใต้สะพาน บังคับกักนางไว้ในอ้อมอกของเขา

 

 

ทว่า…

 

 

คนสองคนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงนี้ กลับทำให้นางเกิดความรู้สึกเลือนหลอน ราวกับถูกกอดไว้ในอ้อมอกของคนเดียวกัน

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ขยับตัว คิดจะโงศีรษะขึ้นดูหน้าเขา แต่นางถูกเขากอดไว้แน่นจนห่างกันแค่ฝ่ามือ จึงไม่มีทางผงกศีรษะขึ้นมองใบหน้าเขาได้เลย

 

 

เพราะการเงยศีรษะในระยะประชิดนี้ ปลายจมูกจึงเสยกับผิวกายที่ละเอียดเนียนลื่นของแผ่นอกเขา กลิ่นหอมประหลาดจากผิวกายชอนไชเข้าจมูกของนาง ทำเอานางสติเลอะเลือนอย่างมิรู้สาเหตุ ชาไปทั้งตัวและหายใจติดขัด

 

 

ซ้ำร้ายยังกระทบต่อพลังที่จุดตันเถียน

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ถอนใจเบาๆ คราหนึ่ง เลิกความพยายามที่จะเงยหน้าขึ้นมองเขา เพียงส่งพลังเข้าตัวเขาต่อไป ฟังจังหวะการเต้นของหัวใจเขาอย่างเงียบๆ โดยหวังว่าเสียงเต้นของหัวใจที่เหมือนระฆังยามเช้าและเสียงกลองยามเย็นที่ต่างจากกลิ่นหอมชวนเมามายบนตัวเขาอย่างสิ้นเชิงนี้ จะช่วยให้นางหายใจได้อย่างสะดวกขึ้น

 

 

เวลานี้นางยังไม่ควรคิดอะไรมาก การคุ้มครองชีพจรหัวใจของหยวนเจ๋อไว้ เป็นเรื่องสำคัญที่สุด

 

 

มิรู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ชิวเยี่ยไป๋รู้สึกสมองมึนงงอยากหลับสักงีบ ได้แต่ฝืนใจตั้งสติไว้ ความวุ่นวายวันนี้ทำเอาผู้คนเหนื่อยล้า และการถ่ายทอดพลังภายในก็เป็นเรื่องสิ้นเปลืองสมาธิและกำลังภายในอย่างที่สุด