ทันใดนั้นเอง เสียงเคาะประตูดังขึ้น จากนั้นก็มีคนเปิด แอ้ด

 

 

พริบตานั้นชิวเยี่ยไป๋ได้สติ เบือนหน้ามองนอกประตูอย่างตื่นตัว จนกระทั่งเห็นเงาร่างคุ้นเคยที่ยกสำรับอาหารและน้ำยืนอยู่ตรงปากประตู นางจึงได้ผ่อนคลายลง และหันหน้าไปอย่างอ่อนล้าอยู่บ้าง “จื่อเฟยหรือ เจ้าวางของไว้ข้างเตียงก็แล้วกัน ประเดี๋ยวข้าไปเอาเอง”

 

 

โจวอวี่ยืนตัวแข็ง เขาไม่เคยนึกมาก่อนว่าจะเข้ามาเจอะเจอฉากวาบหวามชิดใกล้เช่นนี้

 

 

หยวนเจ๋อกอดใต้เท้าไว้ในอ้อมอก คางเกยกับหน้าผากใต้เท้าและใต้เท้ายัง…ปล่อยให้เขากอดไว้โดยดุษณี หน้าผากซบกับอ้อมอกที่แข็งเกร็งและเปลือยเปล่าของเขา มือหนึ่งยังทาบบนเอวของหยวนเจ๋อ ผมสีเงินยวงของหยวนเจ๋อคลุมบนตัวคนทั้งสองราวกับเส้นไหมนับหมื่นเส้นที่ยุ่งเหยิงตัดมิขาด แสงจันทร์สีเงินตกลงบนตัวคนทั้งสองคล้ายสะท้อนประกายนุ่มนวลอบอุ่นชวนหลงใหล ดูแล้วใกล้ชิดถึงเพียงนี้…สนิทสนมลึกซึ้งถึงเพียงนี้

 

 

โจวอวี่รู้สึกหัวใจเหมือนถูกบีบ คอแห้งผากแต่ไม่รู้ว่าตนเองอยากพูดอะไร เขาหลับตาลง เมื่อได้ยินเสียงของชิวเยี่ยไป๋ เขาผงกศีรษะอย่างอึดอัดเดินเข้าไป วางข้าวของในมือไว้ที่ข้างเตียง

 

 

ชิวเยี่ยไป๋รู้สึกว่าคนที่อยู่ข้างหลังเงียบจนเกินไป นางจึงหัวร่ออย่างจนใจ “ข้ากำลังช่วยคุ้มครอง

 

 

ชีพจรหัวใจของหยวนเจ๋อจึงลงจากเตียงมิได้ เจ้าไปต้มน้ำมาหน่อย บนตัวอาเจ๋อมีแต่เหงื่อ”

 

 

นางเองก็รู้ว่า ไม่ว่าใครได้เห็นท่าทางชวนสยิวของนางกับหยวนเจ๋อแล้วจะคิดอย่างไร

 

 

โจวอวี่ฟังแล้วงุนงง แล้วจึงรู้ว่าที่แท้ชิวเยี่ยไป๋กำลังช่วยหยวนเจ๋อรักษาอาการบาดเจ็บ เขารู้สึกคลายใจอย่างบอกไม่ถูก จากนั้นจึงกล่าวอย่างลังเลว่า “ใต้เท้า สักครู่ให้ข้าน้อยเช็ดตัวให้หยวนเจ๋อเถอะนะ”

 

 

มิทราบเพราะอะไร ต่อให้หยวนเจ๋อบาดเจ็บเพราะช่วยใต้เท้า แต่เขายังคงไม่ชอบที่จะเห็นท่าทางใต้เท้ากับหยวนเจ๋อใกล้ชิดกันขนาดนี้

 

 

ชิวเยี่ยไป๋คิดดูก็รู้สึกว่าเข้าท่า จึงตอบว่า “ก็ดี”

 

 

ถ้าเป็นเช่นนี้ นางจะได้ถ่ายทอดพลังภายในสู่ชีพจรหัวใจหยวนเจ๋อต่อ เมื่อครู่นางพยายามจะออกห่างอ้อมกอดของอีกฝ่ายสักเล็กน้อย แต่หยวนเจ๋อกลับชิงขยับตัวก่อน จากนั้นก็สั่นเทิ้มและรัดเอวของนางไว้แน่น ปากยังพึมพำเบาๆ อย่างเลอะเทอะ คล้ายกับควบคุมตนเองไม่ได้ “ท่านพ่อ…ท่านพ่อ…อย่าส่งเจ๋อเอ๋อร์ไป…อย่า…อาจารย์ให้ข้าออกไป…ข้าไม่กินของพวกนั้น ข้าไม่กิน!”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋จู่ๆ ถูกเขารัดไว้ชนจนจมูกเจ็บ แม้แต่ลมปราณที่อกของเขาก็ปั่นป่วนในพริบตา กำลังภายในที่ปั่นป่วนควบคุมไว้ไม่ได้ชั่วขณะ จึงกระแทกกระทั้นเข้าชีพจรหยวนเจ๋ออย่างแรง เขาสะท้านในพริบตา มุมปากมีเลือดสีแดงคล้ำย้อยออกมา

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ได้กลิ่นคาวเลือดก็ตกใจ คิดจะเงยหน้าขึ้นดูอาการของเขา กลับถูกอีกฝ่ายรัดไว้แน่น ได้ยินเสียงที่แทบจะเหมือนสะอื้นวิงวอนเหนือศีรษะ “ท่านพ่อ…อย่าไป…เจ๋อเอ๋อร์หิวมาก…หนาวมาก หิวมาก…หิวมาก…อาเจ๋อไม่อยากกินของพวกนั้นนะ!”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋รู้สึกโดนรัดจนหายใจไม่ออก และวิตกว่าตนเองทำให้ชีพจรหัวใจของเขาบาดเจ็บหรือไม่ จึงรีบทาบมือหนึ่งไว้ที่ชีพจรหัวใจของเขา อีกมือตบตามหลังหยวนเจ๋อเบาๆ “ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร ไม่ไป ไม่มีใครไปทั้งนั้น เดี๋ยวมีซาลาเปาให้กินนะ!”

 

 

นางโอ๋และปลอบโยนไปตามเรื่อง จำได้แต่หยวนเจ๋อดูเหมือนจะเคยบอกว่าอยากกินซาลาเปา จึงพูดซ้ำๆ

 

 

“เด็กดี ไม่เป็นไรแล้วนะ พ่อไม่ไปไหนแล้ว”

 

 

พักใหญ่ มิรู้ว่าหยวนเจ๋อถูกชิวเยี่ยไป๋ปลอบโยนหรือว่าตกสู่อาการหมดสติไปแล้ว ในที่สุดร่างกายที่เขม็งเกร็งไปทั้งตัวก็คลายลงอย่างช้าๆ

 

 

เสียงหายใจของหยวนเจ๋อไม่กระชั้นถี่อีก นางจึงเดินพลังภายในสายเล็กละเอียดถ่ายทอดเข้าสู่ชีพจรหัวใจของเขาช้าๆ จนกระทั่งแน่ใจว่าไม่เป็นปัญหาจึงถอนใจอย่างโล่งอกในที่สุด และกอดหลังหยวนเจ๋อเบือนหน้าออกเล็กน้อย มองดูโจวอวี่อย่างร่ำไห้มิได้หัวร่อมิออก “เอาล่ะ ตรงนี้เป็นธุระข้าเอง หยวนเจ๋อได้รับบาดเจ็บเพราะข้านี่นา”

 

 

บัดนี้นางกลายเป็น ‘ท่านพ่อ’ ของ ‘เจ๋อเอ๋อร์’ แล้ว ยังต้องดูแลบุตรชายด้วย ช่างเป็นชีวิตที่ตรากตรำเสียจริง

 

 

โจวอวี่รู้สึกว่าน้ำเสียงของนางอ่อนล้ามาก จึงรีบผงกศีรษะ “ขอรับ”

 

 

เขามองดูสองคนที่นอนเตียงเดียวกันด้วยแววตาสับสน แล้วหันกายออกไปปิดประตูให้

 

 

ก็มิรู้ว่าเพราะการเคลื่อนไหวเมื่อครู่หรือไม่ หยวนเจ๋อจึงหลับไม่สนิท เอาแต่พร่ำเพ้อพูดไม่เป็นเรื่องเป็นราวและเหงื่อเย็นออกแล้วออกอีก

 

 

แต่เมื่อชิวเยี่ยไป๋ลองคลำดูที่ใบหน้ากลับไม่มีน้ำตาสักหยด ดวงตานางฉายแววสับสน

 

 

เป็นฝันร้ายอันใดหนอ จึงทำให้คนในฝันร้ายนั้นเหมือนเดินออกไปไม่ได้ตลอดกาล แม้แต่ร่ำไห้ก็ไม่มีน้ำตา

 

 

วุ่นวายเช่นนี้จนถึงเที่ยงคืน หยวนเจ๋อจึงได้กึ่งหลับกึ่งหมดสติด้วยความอ่อนล้าเป็นที่สุด และดูเหมือนอุณหภูมิร่างกายของเขาจะค่อยๆ สูงขึ้นและไม่มีเหงื่อเย็นออกทั้งตัวอีก

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ถอนใจอย่างโล่งอก รู้ว่าช่วงอันตรายที่สุดผ่านพ้นไปแล้ว

 

 

นางมองดูท้องฟ้า ประมาณว่าอย่างมากอีกครึ่งชั่วยามก็จะถึงหมู่บ้านถัดไป และยามนี้นางรู้สึกแข็งชาไปทั้งตัว ถ้าตนเองไม่เคลื่อนไหวบ้าง นางเองนั่นแหละอาจต้องให้คนหามขึ้นจากเรือ

 

 

นางรู้สึกว่าแรงกอดรัดของหยวนเจ๋อเบาลงบ้างแล้ว จึงทดลองถอนตัวออกจากอ้อมกอดช้าๆ

 

 

ครั้งนี้ดูเหมือนหยวนเจ๋อจะไม่มีเรี่ยวแรงตอบสนองอย่างรุนแรงเช่นเดิม เพียงดิ้นเล็กน้อย และค่อยๆ สงบลงตามการปลอบโยนของชิวเยี่ยไป๋

 

 

ในที่สุดชิวเยี่ยไป๋ก็หลุดออกมาได้ รู้สึกปวดหลังปวดเอวเหน็บชากินไปครึ่งตัว หลังจากค่อยๆ พลิกตัวลงจากเตียง พักใหญ่จึงค่อยยังชั่วขึ้น

 

 

นางดื่มน้ำบ้างและกินอาหารแห้งที่โจวอวี่หามาให้ พอเปิดประตูก็เห็นอ่างน้ำร้อนวางที่หน้าประตู นางถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วยกอ่างน้ำเข้าไปอย่างจำใจเช็ดตัวให้ ‘บุตรชาย’ บนเตียง

 

 

ชิวเยี่ยไป๋แลดูหยวนเจ๋อที่นอนขดตัวหลับอย่างสงบ ผมเผ้าสีเงินยวงยุ่งเหยิง แสงจันทร์จางๆ สาดลงใบหน้าที่ขาวซีดของเขา เค้าหน้างดงามที่ซีดเผือดดูแล้วโปร่งใสและเปราะบางอย่างประหลาด

 

 

นางเอื้อมมือลูบคลำคิ้วที่ขมวดมุ่นของเขาอย่างลืมตัว แล้วถากถางตนเองเบาๆ “ก็ดี อย่างไรเสียก็ยังงดงามน่ากิน ถือว่าไม่ขาดทุน”

 

 

นางหยิบผ้าขนหนูเช็ดตัวให้เขา ครานี้หยวนเจ๋อสงบเสงี่ยมดีไม่ได้สร้างความยุ่งยากให้นาง

 

 

ขณะชิวเยี่ยไป๋เช็ดแขนของเขา สายตาสะดุดลงที่กำไลทองบริสุทธิ์ที่รัดบนแขน หรี่ตาพินิจพิเคราะห์กำไลแขนนั้น ก่อนหน้านี้ตอนโจวอวี่กับนางช่วยเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าก็เคยเห็นมาแล้ว เพียงแต่ตอนนั้นไม่มีกะจิตกะใจจะดูให้ละเอียด

 

 

ยามนี้ชิวเยี่ยไป๋ดูแล้วจึงพบปัญหา

 

 

กำไลรัดแขนแกะสลักเป็นลายดอกบัวอย่างประณีต แต่ลักษณะของดอกบัวพิสดารมากและตกแต่งด้วยทับทิมสีเลือดนกพิราบ ดูแล้วแดงฉานเหมือนโลหิต ด้านล่างทับทิมที่ฝังเป็นรูปอสรพิษกำลังเงยหัวอมดอกบัวสูงส่งหรูหราอย่างชั่วร้าย ดูอย่างไรก็ล้วนรู้สึกเป็นสิ่งชั่วร้ายจากต่างแดน