ชิวเยี่ยไป๋ครุ่นคิดก็รู้ดีว่าของสิ่งนี้เป็นของเจินเหยียนกงแน่ แต่ของล้ำค่าเช่นนี้ปรากฏบนตัวหยวนเจ๋อ บวกกับกลิ่นหอมชั่วร้ายบนตัวที่ดมแล้ววิงเวียน จึงทำให้นางต้องคาดเดาอีกขั้นหนึ่งถึงฐานะที่แท้จริงของหยวนเจ๋อในเจินเหยียนกง

 

 

เนื่องจากกำลังใช้ความคิด ดังนั้นตอนนี้แม้นางจะเผชิญกับความเปลือยเปล่าที่เย้ายวนใจกับกลิ่นหอมบนตัวเขา จึงมิได้ใจเต้นไม่เป็นส่ำเช่นก่อนหน้านี้

 

 

จนกระทั่งนางจัดการกับหยวนเจ๋อเสร็จสรรพและห่มผ้าให้แล้ว นางจึงพบว่าเสื้อผ้าของตนเองเปียกปอนไปหมด

 

 

ยังดีที่โจวอวี่ยังไม่เข้านอนและห้องอยู่ใกล้กันมาก ดังนั้นพอชิวเยี่ยไป๋สั่งเขาจึงหาน้ำร้อนมาให้ทันทีโดยไม่พูดมากและยกห้องให้นาง

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เช็ดเนื้อเช็ดตัวลวกๆ เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินออกนอกห้องโดยสารเรือพร้อมกับโจวอวี่

 

 

นางมองไกลออกไป ก็พอจะเห็นแสงไฟบริเวณปลายน้ำแล้ว นึกดูนั่นเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่คนในสำนักของนางควบคุมไว้แล้ว

 

 

“ดูสิ ไม่ไกลแล้ว ประเดี๋ยวพวกเราขึ้นจากเรือแล้ว ค่อยแล่นเรือกลับไปรับคนกลุ่มถัดไปจะได้ป้องกันทหารที่ตามล่า” ชิวเยี่ยไป๋กระชับเสื้อคลุมไหล่

 

 

ดึกดื่นลมแม่น้ำพัดแรง อากาศจึงยังเย็นอยู่บ้าง

 

 

โจวอวี่ตอบว่า “ขอรับ เป๋าเป่าได้แล่นเรือธนูไปจัดแจงที่หมู่บ้านก่อนแล้ว”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋พยักหน้า “ดีมาก”

 

 

นางลังเลครู่หนึ่งพลันกล่าวว่า “เอ้อนี่ เจ้ายังจำเรื่องวัดเจินเหยียนกงที่ข้าเคยบอกไว้ได้หรือไม่”

 

 

โจวอวี่ผงกศีรษะกล่าวอย่างรู้ใจว่า “ใต้เท้าพูดถึงกำไลรัดแขนของหยวนเจ๋อใช่หรือไม่”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋พยักหน้า “ใช่ กำไลแขนนั่นแหละ เจ้าก็เห็นกระมัง”

 

 

“ของล้ำค่าเช่นนี้ มิใช่คนธรรมดาในวัดจะครอบครองได้” โจวอวี่หยุดลงพลันหันมองชิวเยี่ยไป๋ กล่าวอย่างจริงจังว่า “กำไลแขนทองคำประดับทับทิมผมสีเงิน เชี่ยวชาญธรรมะแต่ไม่รู้เรื่องทางโลก ย่อมต้องเป็นคนที่ปกติไม่เคยติดต่อกับผู้คน ข้าน้อยยังพบอีกว่ามือของหยวนเจ๋อไม่มีเนื้อด้านเลย หากมิใช่คนที่อยู่สุขสบายมีคนรับใช้ตลอดจะไม่มีราศีเช่นนี้ บวกกับอายุของหยวนเจ๋อ เขาเป็นพุทธะมีชีวิตที่กลับชาติมาเกิดสมัยปัจจุบันของเจินเหยียนกง…ซึ่งก็คือราชครูของแคว้นเทียนจี๋”

 

 

จะอย่างไรโจวอวี่ก็เป็นบุตรหลานตระกูลใหญ่ แม้จะไม่มีตำแหน่งใหญ่โตแต่เข้าออกราชสำนักมาตลอด พิธีเซ่นไหว้ทำนายขนาดใหญ่เขามีโอกาสได้เข้าร่วมด้วย จะว่าไปแล้วเขายังเคยเห็นราชครูแต่ไกลครั้งหนึ่งด้วย

 

 

แต่ราชครูลึกลับและศักดิ์สิทธิ์แต่ไหนแต่ไร จึงมักยืนอยู่บนแท่นพิธีที่เห็นได้เพียงไกลๆ และสวมใส่เสื้อและหมวกสำหรับประกอบพิธีอย่างครบเครื่อง จึงไม่สามารถเห็นหน้าตาอย่างชัดเจน

 

 

แต่โจวอวี่จำได้แม่น ท่านราชครูคนปัจจุบันผมสีเงินยวงทั้งศีรษะงดงามมาก

 

 

ชิวเยี่ยไป๋งงงันแล้วจ้องโจววอี่ครู่หนึ่ง พยักหน้ากล่าวว่า “จื่อเฟยไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ เจ้าคาดคะเนได้ตรงกับที่ใจข้าคิด”

 

 

ใช่แล้ว พุทธะมีชีวิตกลับชาติ ราชครูของแคว้น

 

 

เดิมทีนางไม่แน่ใจนัก แต่คาดเดาในใจมานานแล้ว แต่เค้าลางเบาะแสทั้งปวงก็ขาดหายไป สุดท้ายยังคงเป็นวันนี้พบกับคนของสำนักเจินเหยียนกงและได้เห็นกำไลแขนของเขาจึงแน่ใจ

 

 

“ใต้เท้า ท่านก็คิดเช่นนี้หรือ ข้ายังคิดว่า…”โจวอวี่เห็นชิวเยี่ยไป๋ตอบทันทีก็อดตะลึงมิได้

 

 

“คิดว่าอะไร คิดว่าข้าคำนึงที่หยวนเจ๋อช่วยชีวิตข้า คำนึงถึงไมตรีที่เคยร่วมฟันฝ่าอุปสรรค จึงไม่อยากยอมรับว่าหยวนเจ๋ออาจเป็นคนที่มาจากฝ่ายศัตรูตัวฉกาจของเรากระนั้นหรือ”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋พูดติดตลก มุมปากปรากฏรอยยิ้มสุดหยั่งคะเน “ที่แท้ในสายตาของจื่อเฟยข้าเป็นคนที่ทำการตามน้ำใจและอารมณ์กระนั้นหรือ”

 

 

พริบตานั้นโจวอวี่อีหลักอีเหลื่อ รีบกล่าวทันทีว่า “นี่…ใต้เท้า…ข้า…”

 

 

เดิมทีเขามิได้สงสัยใต้เท้าเช่นนี้ แต่ฉากที่เห็นกับตาในห้องโดยสารเมื่อครู่กลับทำให้เขาสงบใจไม่ลง และอดคาดเดามิได้

 

 

ชิวเยี่ยไป๋โบกมือ อิงกับซี่กรงเรืออย่างเกียจคร้าน มองดูสายน้ำดำมืดเบื้องหน้า “ไม่ต้องอธิบายหรอก ถ้าข้าเป็นเจ้าและเห็นฉากเมื่อครู่ก็ย่อมแคลงใจเช่นกัน แต่เอาเถอะ ใครจะคิดว่าพวกเราแค่ออกไปดื่มสุรากัน จะถึงกับได้ตัวราชครูผู้เรืองนามของแคว้นเทียนจี๋เล่า”

 

 

โจวอวี่ได้ยินชิวเยี่ยไป๋พูดแทงใจดำ ก็ยิ่งอีหลักอีเหลื่อ นึกตำหนิตนเองในใจที่ใช้จิตใจของคนถ่อยไปวัดจิตใจของวิญญูชน แต่เห็นท่าทางเปิดเผยบริสุทธิ์ใจของชิวเยี่ยไป๋ มิได้มีท่าทีตำหนิตนแม้แต่น้อยก็สบายใจขึ้นบ้าง

 

 

และนี่คือสาเหตุหนึ่งที่ทำไมเขาจึงยอมเปลี่ยนแปลงตนเองและติดตามชิวเยี่ยไป๋

 

 

“ไม่ผิด ใครจะคาดคิดว่า ราชครูผู้ยิ่งใหญ่ต้องมาตกอับเช่นนี้ในตงอั้น” โจวอวี่กล่าว เขาหยุดลงแล้วเสริมว่า “และยังมีวิถีการกินที่น่าตกใจ…เข้ากับคนง่ายและไม่เดียงสาต่อโลก”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋อดหัวร่อมิได้ “เจ้าพูดตรงๆ ว่าเขาเป็นคนไม่เอาไหนก็แล้วกัน”

 

 

การวางตัวของหยวนเจ๋อ ‘ไม่เดียงสาต่อโลก’ จริงๆ แต่ปริมาณการกิน ‘เดียงสาต่อโลก’ มาก

 

 

โจวอวี่นึกถึงเรื่องที่หยวนเจ๋อทำมาตลอดทางก็อดหัวร่อเบาๆ อย่างอดมิได้ แต่หลังหัวร่อแล้วเขากล่าวกับชิวเยี่ยไป๋อย่างจริงใจว่า “ใต้เท้า ถ้าหยวนเจ๋อเป็นศัตรูของเรา ท่านจะทำอย่างไร”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ตอบเรียบๆ ว่า “ศัตรูก็คือศัตรู ข้าลงมือไม่ไว้ไมตรีแน่”

 

 

นางตอบชัดเจนมาก ไม่ลังเลแม้แต่น้อย

 

 

โจวอวี่เห็นกลิ่นอายเข้มข้นเย็นชาตามคิ้วคางของนาง เหมือนกระบี่สุดยอดศาสตราแห่งยุคออกจากฝัก กระบี่เดียวสยบสิบสี่แคว้นได้

 

 

แต่ความเย็นเยือกและเหินห่างนั้นกลับทำเอาผู้คนมิกล้าเข้าใกล้

 

 

ต่อให้เป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิต ก็จะลงมือไม่ไว้ไมตรี…แต่ถ้าเป็นคู่รักเล่า

 

 

แต่โจวอวี่เองก็รู้สึกว่าตนเองคิดเหลวไหลและย้อนแย้งมากเกินไป เขาอยากหัวร่อหยันตนเองที่เหมือนสตรีที่มัวแต่นึกได้นึกเสียอย่างพิกล

 

 

ดูเหมือนนางจะสังเกตเห็นแววตาที่ตะลึงงันของโจวอวี่ จึงหันมามองเขากล่าวเนือยๆ ว่า “รักกับชังแบ่งแยกชัดเจน จดจำทั้งบุญคุณและความแค้นไม่ดีหรือ”

 

 

โจวอวี่ลังเลครู่หนึ่ง กล่าวเสียงเบาว่า “ใต้เท้า คิดดูแล้วบางครั้งเป็นบุญคุณหรือความแค้น เป็นรักหรือชังมักแยกกันมิออก ไม่เช่นนั้นในโลกจะมีความโศกเศร้าและยินดีมากมายขนาดนี้หรือ”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋หัวร่อคราหนึ่ง “โจวอวี่ เจ้าเป็นคนฉลาด ดังนั้นเราจะมัวเซ้าซี้กันว่าคนที่ดีต่อพวกเรามาจากที่ใดทำไมกัน อย่างน้อยนาทีนี้เขาก็ไม่เคยทำร้ายข้า ส่วนวันหลังนะหรือ จิตใจคนกับวาสนามิใช่สิ่งที่มนุษย์จะควบคุมได้อยู่แล้ว วันนี้เป็นมิตร วันหน้าเป็นศัตรู มีแต่เป็นโจรพันวันไม่เคยได้ยินว่ามีการป้องกันโจรพันวัน การควบคุมคนอื่นสู้ควบคุมตนเองจะดีกว่า หากเจ้าเป็นคนที่สารพัดพิษไม่กล้ำกราย จะไปกลัวหนอนพิษฉกกัดทำไมกัน”

 

 

คนเรามีชีวิตอยู่กับปัจจุบันมิใช่อดีตและยิ่งมิใช่อนาคต

 

 

อย่าว่าแต่ แต่ไรมาที่ควบคุมได้มีแต่ตนเองเท่านั้นมิใช่ผู้อื่น จะไปให้นรกของผู้อื่นมากักกันชีวิตนี้ของตนเองทำไมกัน

 

 

โจวอวี่มองดูดวงตาเปิดเผยสุกใสราวสายลมจันทร์กระจ่าง เขาพลันเหมือนตระหนักรู้บ้าง

 

 

นี่คือท่าทีต่อชีวิตของใต้เท้าหรือ ที่ทิ้งเราไปคือวันวานที่มิหวนกลับ ดังนั้นเขาจึงดูปล่อยปละสบายอารมณ์เช่นนี้..