ชิวเยี่ยไป๋มองดูท้องฟ้าแล้วกล่าวว่า “ข้าจะไปดูว่าหยวนเจ๋อตื่นหรือยัง”

 

 

นางเห็นโจวอวี่ยังเซ่ออยู่กับที่จึงยิ้มกล่าวว่า “ธาตุแท้ของหยวนเจ๋อไม่เลว ไม่แน่ว่าวันนี้ข้าจะได้ผูกบุญสัมพันธ์กับราชครูหยวนเจ๋อ สักวันหนึ่งเขาอาจทำนายดวงชะตาใหม่ให้ข้าก็เป็นได้”

 

 

โจวอวี่งงงันไม่เข้าใจ ทำนายดวงชะตาใหม่

 

 

ชิวเยี่ยไป๋กลับไม่พูดรายละเอียดกับเขาอีกและหันกายกลับเข้าท้องเรือ

 

 

ทิ้งให้โจวอวี่ยืนมองสายน้ำอย่างงงงันอยู่ที่เดิม

 

 

 

 

ชิวเยี่ยไป๋กลับถึงห้องโดยสารของตน พอเปิดประตูออกกลับพบว่าบนเตียงไม่มีใคร คนที่น่าจะหมดสติอยู่ก็หายตัวไป พริบตานั้นนางตกใจรีบเข้าไปในท้องเรือเหลียวมองรอบๆ จึงพบว่ามีเงาร่างสีขาวสายหนึ่งยืนนิ่งอยู่กับผนัง บนเอวเขาเพียงพันผ้าห่มชิ้นหนึ่ง เผยให้เห็นร่างกายท่อนบนที่ลายเส้นงดงามชวนฝันใต้แสงจันทร์ เขากำลังยืนมองนอกเรือเงียบๆ

 

 

ชิวเยี่ยไป๋คลายใจเดินเข้าไปหากล่าวเหมือนตำหนิว่า “อาเจ๋อ เจ้าทำอะไร ยังไม่รีบกลับไปนอนอีก!”

 

 

หยวนเจ๋อกล่าวเนือยๆ ว่า “เจ้าช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้ข้าหรือ”

 

 

“ใช่…” ชิวเยี่ยไป๋กำลังจะพูดต่อ แต่กลับถูกเขากระชากเข้าไปและก้มลงประทับจูบบนริมฝีปากของนาง

 

 

“ขอบคุณ”

 

 

พริบตานั้นชิวเยี่ยไป๋ตะลึงเบิกตากว้าง มองดูคนที่อยู่เบื้องหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ

 

 

จะอย่างไรนางก็นึกไม่ถึงว่าหยวนเจ๋อจะทำเรื่องเช่นนี้ สมองนางว่างเปล่า รู้สึกว่าลมหายใจมีแต่กลิ่นอายประหลาดของเขา

 

 

จนกระทั่งหยวนเจ๋อโงศีรษะขึ้น นางจึงกุมริมฝีปากตนเอง อายจนหน้าแดงฉานดุว่า “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ!”

 

 

ริมฝีปากของนางมีแต่กลิ่นอายนุ่มนิ่มชื้นเย็นของริมฝีปากอีกฝ่าย!

 

 

ไอ้หมอนี่ทำอะไรกันแน่

 

 

หยวนเจ๋อโค้งริมฝีปากน้อยๆ กล่าวเหมือนไม่เข้าใจ “ประสกต้าสู่เขาเคยบอกว่าเขาขอบคุณแม่ม่ายน้อยข้างบ้านเช่นนี้นี่นา”

 

 

ต้าสู่หรือ

 

 

มุมปากชิวเยี่ยไป๋กระตุกโดยไม่รู้ตัว ไอ้พวกหยิบหย่งเสี้ยมสอนอะไรหยวนเจ๋อ หลวงจีนโง่งมคนหนึ่งยังถูกพวกเขาสอนจนกลายเป็นอย่างนี้

 

 

ทว่า…

 

 

“แต่บนเกาะน้อยนั้น เจ้ารู้อยู่ชัดๆ ว่าเรื่องเช่นนี้ละเมิดศีลกาเม” นางยังจำได้ดีถึงท่าทางขวยเขินระคนตึงเครียดของหยวนเจ๋อในยามนั้น แทบจะเอาหัวมุดลงในน้ำ

 

 

ชิวเยี่ยไป๋มองดูหยวนเจ๋ออย่างสงสัย แต่อีกฝ่ายหันหลังให้และมองดูแสงจันทร์นอกหน้าต่าง เงาที่ทาบทับใบหน้าทำให้นางเห็นสีหน้าของเขาไม่ถนัด

 

 

เพียงได้ยินเขากล่าวเรียบๆ ว่า “ประสกต้าสู่บอกว่าบุรุษกับสตรีเท่านั้นจึงไม่สัมผัสกันแม้การให้และการรับ ดังนั้นคิดดูแล้วการกระทำนี้ระหว่างบุรุษกับบุรุษน่าจะไม่ถือว่าผิดศีลกาเมกระมัง!”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ “…”

 

 

ใช่แล้ว นาง ‘เป็นบุรุษ’ แต่ใครบอกว่าระหว่างบุรุษกับบุรุษทำเรื่องเช่นนี้ได้!

 

 

ไอ้พวกต้าสู่เห็นหลวงจีนโง่งมหลอกได้หลอกดีจึงจงใจทำเรื่องเช่นนี้กระมัง

 

 

นางคลึงหน้าผากชักเริ่มปวดหัว “วันหลังอย่าทำอย่างนี้ ไม่ว่ากับบุรุษหรือสตรี การที่ร่างกายสัมผัสชิดใกล้กันเกินไปล้วนผิดศีลกาเม”

 

 

“แล้วเมื่อครู่เล่า อาตมาจำได้ว่าประสกกับอาตมาหลับบนเตียงเดียวกันหนึ่งชั่วยาม อาตมาก็มิได้สวมเสื้อผ้าเช่นกัน นั่นก็ผิดศีลข้อกาเมหรือ” หยวนเจ๋อยังคงท่าทางไม่เข้าใจ

 

 

ชิวเยี่ยไป๋กล่าวอย่างจนใจว่า “นั่นมันข้ารักษาอาการบาดเจ็บให้เจ้า ก็แค่ตอบแทนที่เจ้าช่วยข้ารับธนูดอกนั้นไว้ ไม่ถือว่าผิดศีล!”

 

 

หยวนเจ๋อผงกศีรษะหงึกหงัก ท่าทางเหมือนไม่มีอะไรกล่าวว่า “แต่ประสกเสี่ยวไป๋ก็เคยช่วยอาตมา เมื่อครู่อาตมาก็แค่ขอบคุณประสกเสี่ยวไป๋ ไม่ถือว่าผิดศีล พุทธะย่อมไม่ตำหนิอาตมา”

 

 

คำพูดนั้นทำเอาชิวเยี่ยไป๋ใบ้กิน แล้วจึงขึ้นเสียงอย่างอดมิได้ “สรุปแล้วข้าว่าผิดศีลก็คือผิดศีล!”

 

 

ไอ้โง่นี่กลายเป็นคนคารมคมคายตั้งแต่เมื่อใด!

 

 

ว่าจบ นางคิดจะผลักเขาออกไป

 

 

ท่อนบนของหยวนเจ๋อไม่มีเสื้อปกปิด ดังนั้นแสงจันทร์จึงตกที่ผิวกายขาวเผือดของเขา ขับลายเส้นงดงามของร่างกาย กล้ามเนื้อแข็งแรงที่นูนขึ้น ยามนี้ดูแล้วเย้ายวนมีเสน่ห์อย่างประหลาด และเปี่ยมด้วยความรู้สึกกดดันของกฎเกณฑ์

 

 

และนางไม่ชินกับการอยู่ใกล้กับหลวงจีนที่เดิมทีโง่งม แต่ท่าทางเหมือนคนแปลกหน้าเช่นนี้ บวกกับสิ่งที่หยวนเจ๋อทำเมื่อครู่ นางจึงคิดจะออกไปให้พ้นจากบรรยากาศและท่าทางอีหลักอีเหลื่อนี้

 

 

แต่เพียงปลายนิ้วของนางสัมผัสกับผิวกายของหยวนเจ๋อก็ต้องหดกลับทันที และขมวดคิ้วตวาดอย่างกระเง้ากระงอด “ทำไมเย็นขนาดนี้ เป็นไข้อีกแล้วหรือ บอกเจ้าแล้วว่าอย่าลงจากเตียง!”

 

 

พูดจบนางก็เอื้อมมือคิดจะเสยผมที่ปรกหน้าเขาเพื่อบังหน้าผาก คงไม่ใช่ติดเชื้อจนเป็นไข้กระมัง

 

 

หยวนเจ๋อพลันคว้าข้อมือนางและเบือนหน้าหนี “ข้าไม่เป็นอะไร พิษนี้สำหรับอาตมาแล้ว พอกำเริบขึ้นมาก็แค่ไม่ค่อยสบาย ตอนนี้ผ่านไปแล้ว ไม่เป็นอะไรมากแล้ว”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ฟังแล้วเงียบไปครู่หนึ่ง ชักมือกลับแล้วกล่าวเนือยๆ ว่า “ฟังน้ำเสียงของอาเจ๋อแล้วดูเหมือนจะรู้จักพิษร้ายนี้เป็นอย่างดี แต่จากประสบการณ์ของข้า พิษนี้ดูแล้วน่าจะไม่สลายง่ายเหมือนที่พูดกระมัง”

 

 

หยวนเจ๋อหลุบตาลง “ประสกเสี่ยวไป๋ บรรพชิตไม่มุสาและไม่คิดจะมุสา ท่านอยากถามอะไรก็ถามตรงๆ ได้เลย”

 

 

พูดจบก็หันกายไปที่ขอบหน้าต่างยื่นมือออกแรงดึงก็ปรากฏประตูบานหนึ่ง นอกประตูเป็นทางเดินและกราบเรือจากนั้นเดินออกไป

 

 

ชิวเยี่ยไป๋จึงพบว่าที่แท้ห้องโดยสารเชื่อมต่อกับดาดฟ้าเรือ นางเลิกคิ้วเล็กน้อย ดูท่าอาเจ๋อคงฟื้นมาพักใหญ่แล้ว ไม่เช่นนั้นทำไมถึงคุ้นกับห้องโดยสารขนาดนี้

 

 

พิษชนิดนี้สำหรับเขาแล้วก็คงเหมือนที่เขาบอก แค่ร้ายแรงตอนเพิ่งกำเริบเท่านั้น

 

 

มิรู้ว่าเขาได้ยินคำสนทนาระหว่างนางกับจื่อเฟยไปมากน้อยเท่าใด

 

 

นางชะงักเล็กน้อยแล้วตามออกไป

 

 

ที่หัวเรือไร้เงาโจวอวี่แล้ว ใต้แสงจันทร์มีหยวนเจ๋อยืนเงียบๆ ที่หัวเรือคนเดียว ผ้าปูเตียงผืนบางที่พันกับเอวถูกลมพัดปลิวไสว ผมยาวสีเงินยวงก็พลิ้วไปกับสายลม

 

 

ผิวกายของเขาเดิมทีขาวซีดเป็นพิเศษอยู่แล้ว ยามนี้แสงจันทร์สาดส่องร่างกายที่งดงามของเขาเหมือนหมอกสีเงินคลุมไว้ชั้นหนึ่ง และคล้ายกับเขาเปล่งแสงได้เอง ขับเน้นเงาขุนเขาดำทะมึนของสองริมฝั่ง ใต้เรือเป็นสายน้ำเชี่ยวกรากที่มุ่งสู่แม่น้ำใหญ่ แทบจะทำให้ผู้คนเหมือนเห็นพุทธะหรือเทพบรรพกาลยืนอยู่ที่หัวเรือ แต่นาทีต่อมาความรู้สึกหลอนก็สลายไปในสายลมและแสงจันทร์ที่ไร้ขอบเขต

 

 

ชิวเยี่ยไป๋มองดูเขาอย่างตื่นตะลึงครู่หนึ่งจึงเดินเข้าไปเรียกเบาๆ “อาเจ๋อ”

 

 

หยวนเจ๋อตอบ “อืม” คำหนึ่งเสียงเนือยๆ

 

 

นางเห็นเขาไม่คิดจะพูดต่อ จู่ๆ นาทีนี้นางดูเหมือนรู้สึกว่าตนเองไม่เคยรู้จักคนผู้นี้อย่างแท้จริงเลย

 

 

“อาเจ๋อ เจ้ามีความสัมพันธ์อะไรกับเจินเหยียนกง”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ถามตรงๆ ไม่มากความแม้แต่น้อย

 

 

นางคิดว่าการถามอ้อมค้อมวกวนไม่เหมาะกับเวลานี้ และไม่เหมาะกับหยวนเจ๋อ

 

 

และแล้วก็เป็นความจริง หยวนเจ๋อเงียบอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวเนือยๆ ว่า “ข้าเป็นทารกศักดิ์สิทธิ์รุ่นที่เจ็ดของเจินเหยียนกง เข้าพิธีนั่งเตียงเมื่อสิบห้าปีก่อน จึงเป็นพุทธะมีชีวิตกลับชาติรุ่นที่แปดของเจินเหยียนกง และในเวลาต่อมาสืบทอดเป็นราชครูของแคว้นเทียนจี๋”