บทที่ 260.2 ฝึกหมัดหนึ่งล้านครั้ง โดย ProjectZyphon
ไม่รอให้หญิงสาวพูดจบ สตรีแต่งงานแล้วก็โน้มตัวมาข้างหน้า ยื่นมือมาตบหน้าผากลูกศิษย์ตัวเองหนักๆ หนึ่งครั้ง โมโหจนกลายเป็นขำ “เลิกพูดจาวางโตไร้สาระเสียที ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตถ้ำสถิตที่กว่าจะเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางได้ต้องโซซัดโซเซเต็มที นึกว่าตัวเองเป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่ร้ายกาจจริงๆ หรือไง? หากพูดถึงแค่ด้านพรสวรรค์ เจ้าก็พอๆ กับคุณชายน้อยฟ่านนั่นแหละ อยู่ในนครมังกรเฒ่าอาจจะน่าตกตะลึง แต่หากเทียบกับทั่วทั้งแจกันสมบัติทวีปก็ไม่ถือว่าอยู่ในอันดับสูงสุดแล้ว และหากนำไปเปรียบเทียบกับคนทั้งใต้หล้าไพศาล…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ สตรีแต่งงานแล้วถอนหายใจหนึ่งที คิดจะรับลูกศิษย์ ‘ที่น่าภาคภูมิใจ’ สมใจตนสักคนนั้นยากเพียงใด คิดจะให้ลูกศิษย์ฝ่าทะลุขอบเขต เดินขึ้นฟ้าทีละก้าวก็ยิ่งยากเข้าไปอีก ดังนั้นในเรื่องการรับลูกศิษย์ของตระกูลเซียนบนภูเขาจึงเป็นเรื่องสำคัญในเรื่องสำคัญอีกที เป็นรองแค่การพิสูจน์ความเป็นอมตะบนมรรคาของตัวเองเท่านั้น เซียนพสุธาขอบเขตสิบคนหนึ่งกับผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งที่นางรู้จัก เพื่อพิสูจน์สภาพจิตใจของลูกศิษย์ในอนาคตของตัวเอง ต้องเสียเวลาไปอย่างน้อยสิบปี มากสุดก็นานถึงร้อยปี หลังจากที่เตรียมการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วถึงจะรับพิธีกราบอาจารย์จากลูกศิษย์คนนั้น
เด็กสาวผู้หยิ่งทระนงในตัวเองเมื่อเริ่มแล้วก็ไม่ยอมเลิกราง่ายๆ ถึงอย่างไรที่นี่ก็ไม่มีคนนอก นางจึงลุกขึ้นย้ายตำแหน่งไปนั่งข้างสตรีแต่งงานแล้ว กอดแขนน้ากุ้ยพูดออดอ้อนว่า “ก็จินซู่ยังมีอาจารย์ที่ดีอยู่อีกคนไม่ใช่หรือ”
น้ากุ้ยใช้นิ้วจิ้มหญิงสาวหนึ่งที เอ่ยหยอกเย้า “เจ้าน่ะมีอาจารย์ที่ดี แต่ข้าน่ะมีลูกศิษย์เกเรที่ไม่เคยทำให้คนอื่นวางใจได้”
หญิงสาวกอดแขนสตรีแต่งงานแล้ว เอียงศีรษะพิงไหล่ของนาง พึมพำถามว่า “อาจารย์ ท่านว่าซุนเจียซู่ชอบข้าหรือไม่?”
น้ากุ้ยไม่ได้ตอบคำถาม แต่พูดแซวว่า “ฤดูใบไม้ผลิจากไปแล้ว แต่หัวใจแรกรักยังอยู่”
ใบหน้าจินซู่เต็มไปด้วยความเขินอาย พูดเสียงกระเง้ากระงอด “อาจารย์!”
สตรีแต่งงานแล้วหันมาจ้องใบหน้าของลูกศิษย์นิ่งๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มเมตตา “แม่นางที่หน้าตางดงามถึงเพียงนี้ บุรุษจะไม่ชอบได้อย่างไร?”
จินซู่ฟังแล้วชอบใจ
แต่จากนั้นสตรีแต่งงานแล้วก็ถอนหายใจ “แต่เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า นอกจากจะเป็นบุรุษที่โดดเด่นแล้ว ซุนเจียซู่ยังเป็นเจ้าประมุขตระกูลซุนของนครมังกรเฒ่าด้วย คือบุรุษที่มีใจทะเยอทะยานอยากสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับกิจการและวงศ์ตระกูล อีกทั้งยังเป็นลูกศิษย์ที่สำนักการค้าฝากความหวังยิ่งใหญ่เอาไว้ ต่อให้สุดท้ายแล้วพวกเจ้าสองคนผ่านพ้นอุปสรรคนานัปการจนได้ครองคู่อยู่ด้วยกัน แต่หากแต่งงานเป็นภรรยาของพ่อค้า เส้นทางการฝึกตนของเจ้ามีแต่จะยากลำบากมากยิ่งขึ้น”
สีหน้าของหญิงสาวหม่นหมอง
สตรีแต่งงานแล้วลูบเส้นผมสีดำขลับของจินซู่อย่างอ่อนโยน “ทัศนียภาพบนมหามรรคาดีงามอย่างไร้ที่สิ้นสุด แต่การเดินไปบนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย การเลือกทุกอย่างล้วนถือเป็นการฝึกตนทั้งสิ้น เดิมทีคนมีชีวิตอยู่บนโลกก็ถือเป็นการฝึกบำเพ็ญตนด้วยความยากลำบากอย่างหนึ่งอยู่แล้ว”
แต่แล้วจู่ๆ สตรีแต่งงานแล้วก็คลี่ยิ้ม “อาจารย์ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมเจ้าถึงไม่ชอบคุณชายน้อยตระกูลฟ่าน? เขาเป็นเด็กดีจะตาย หากเจ้าสามารถชื่นชอบเขาได้จากใจจริง ต่อให้อาจารย์จะไม่เหลือศักดิ์ศรี เผาผลาญความสัมพันธ์ควันธูปนับพันปีที่มีกับตระกูลฟ่านจนหมดสิ้นก็จะต้องทำให้พวกเจ้าสองคนได้แต่งงานกันสมใจปรารถนาให้จงได้”
จินซู่ร้องโอ้ยแล้วรีบยืดตัวขึ้นนั่งตรง “อาจารย์ ท่านอย่าได้จับคู่มั่วซั่วเด็ดขาด คุณชายน้อยฟ่านผู้นั้นโง่งมจะตาย ไม่มีมาดน่าเกรงขามของวีรบุรุษแม้แต่น้อย วันๆ เอาแต่ทำเรื่องเหลวไหล หากข้าไปถูกใจเด็กน้อยอย่างเขา นั่นต่างหากถึงเรียกว่าถูกผีบังตามอมเมาจิตใจอย่างแท้จริง”
สตรีแต่งงานแล้วยิ้มส่ายหน้า
จินซู่พูดเบาๆ ว่า “อาจารย์ท่านลองมองดูสิ สหายที่ฟ่านเอ้อร์คบหาคนนี้น่าเบื่อแค่ไหน ทึ่มทื่อราวกับตอไม้ ไม่ว่าจะทำอะไรหรือพูดอะไรก็เคร่งขรึมตายตัวไปหมด คนแบบนี้ต่อให้ชาติตระกูลดีแค่ไหน ต่อให้ตระกูลฟ่านให้ความสำคัญต่อเขามากเพียงไร ความสำเร็จในวันหน้าก็ไม่มีทางสูงไปไหนได้หรอก”
สตรีแต่งงานแล้วทำท่าครุ่นคิด สำหรับเรื่องนี้นางทั้งไม่เห็นด้วยทั้งไม่ปฏิเสธ
……
พอกลับมาถึงเรือนพักของตัวเอง เฉินผิงอันไม่มีเรื่องให้ต้องกังวลใจอีกจึงเริ่มฝึกท่าเดินนิ่งหกก้าวอยู่ในลานบ้าน
อันที่จริงไม่ต้องออกมาจากห้องผู้ฝึกกระบี่เฒ่าขอบเขตโอสถทองก็สามารถสังเกตเห็นการฝึกท่าหมัดของเฉินผิงอันได้ แต่ผู้เฒ่าก็ยังผลักประตูเปิดออกมา ยืนชมวิชาหมัดของเฉินผิงอันอย่างเปิดเผย
เฉินผิงอันเองก็ไม่ถือสา ยังคงฝึกวิชาหมัดเงียบๆ
ก่อนหน้าที่จะนั่งเรือข้ามฟากของแคว้นซูสุ่ย การฝึกหมัดท่าเดินนิ่งของเฉินผิงอันค่อนข้างจะช้า ตอนที่อยู่บนเส้นทางมังกรเดินระยะทางสองแสนลี้ รวมไปถึงตอนอยู่บนเรือข้ามฟากหยางจือถังในช่วงหลัง ตอนนั้นเฉินผิงอันอยู่ในสภาวะที่เท้าข้างหนึ่งเหยียบเข้าไปในธรณีประตูของขอบเขตสี่แล้ว การออกหมัดจึงเน้นที่ความไว หมัดที่นับรวมกันแล้วได้สามแสนครั้งเหมือนว่าเพียงชั่วพริบตาก็สามารถปล่อยออกไปได้เสร็จสิ้น
ตอนนี้เขาฝ่าคอขวดของขอบเขตสาม เลื่อนสู่ขอบเขตสี่ได้อย่างแท้จริงแล้ว เฉินผิงอันจึงชะลอความเร็วในการออกหมัดลง
ขอบเขตสามหลอมลมปราณของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคือการหลอมลมปราณ ไม่ใช่การฝึกลมปราณของผู้ฝึกตน ซึ่งต้องทุ่มเทเวลาให้กับการจิต วิญญาณและความกล้าสามอย่างนี้
ผู้เฒ่าแซ่ชุยบนหอไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วเคยพูดว่าขอบเขตสามที่แข็งแกร่งที่สุดของเฉินผิงอันนี้ ขอแค่ฝ่าขอบเขตไปได้สำเร็จ การหลอมลมปราณหลังจากนั้นก็จะเหมือนควบม้าเดินไปบนเส้นทางที่ราบเรียบ ไร้อุปสรรคขัดขวาง
สำหรับการหล่อหลอมขัดเกลาขอบเขตสี่ เฉินผิงอันมักจะรู้สึกว่าว่างเปล่าล่องลอย ไม่เหมือนสามขอบเขตแรกที่เดินเหยียบเต็มฝ่าเท้าได้อย่างมั่นคง
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงไม่อาจสัมผัสได้อย่างลึกซึ้งนัก ไม่รู้ว่าขอบเขตสี่ของตนถือว่าแน่นหนาพอแล้วหรือยัง
ผู้เฒ่าเคยแนะนำว่า ขอบเขตสี่ห้าหกของผู้ฝึกยุทธ์ ทางที่ดีที่สุดควรไปหาโชควาสนาเอาจากซากปรักของสมรภูมิรบโบราณ ลมเยียบเย็น กลิ่นอายชั่วร้าย พายุหมุนที่รุนแรง และลมปราณวุ่นวายที่มีต้นกำเนิดซับซ้อนยุ่งเหยิงล้วนเป็นของดีที่ผู้ฝึกยุทธ์จะนำมาใช้หล่อหลอมจิตวิญญาณของตัวเอง สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ยังคงเป็นคำว่าทนความลำบากอยู่ดี
นี่คือการต่อสู้กับฟ้าดิน
ไม่ได้สิ่งที่ดีที่สุดก็ยอมลดระดับมาเอาสิ่งที่ดีรองลงมา นี่คือวิธีการเข่นฆ่าในสนามรบ เมื่ออยู่ในสมรภูมิ ยิ่งเป็นการต่อสู้นองเลือดเสี่ยงตายมากแค่ไหน ก็ยิ่งสามารถสัมผัสกับคำว่า ‘คนทั้งโลกล้วนเป็นศัตรู’ ได้มากเท่านั้น
รองลงมาอีกถึงจะเป็นการเข่นฆ่าไล่ล่าในยุทธภพ เอาปรมาจารย์ในยุทธภพหรือผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางมาเป็นหินลับดาบ ขัดเกลาตบะวิถีวรยุทธ์ของตน
ส่วนกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนั้นมีปราณกระบี่ตวัดฉวัดเฉวียนอัดแน่นเต็มฟ้าดินอย่างกำเริบเสิบสาน ผลักไสผู้ฝึกลมปราณทุกประเภทยกเว้นผู้ฝึกกระบี่มาตั้งแต่ก่อกำเนิด นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวเลย ไม่รู้ว่ามีผู้ฝึกยุทธ์กี่มากน้อยที่ประมาณตนไม่ดีพอ หรือไม่ความสามารถของผู้ปกป้องมรรคาก็ไม่สูงมากพอ ด้วยความละโมบหวังให้ขอบเขตทะยานขึ้นสูงจึงพาตัวไปตายอยู่บนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ดังนั้นผู้เฒ่าถึงได้เรียกร้องให้เฉินผิงอันเลื่อนสู่ขอบเขตสี่เสียก่อนถึงจะไปที่ภูเขาห้อยหัว ขึ้นไปบนกำแพงเมืองแห่งนั้น จากนั้นค่อยเดินลงมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่โดยที่ยังมีชีวิตอยู่
ส่วนข้อที่ว่าเฉินผิงอันต้องอยู่บนกำแพงเมืองนานเท่าไหร่ ต้องกะประมาณความพอดีสักแค่ไหน พยายามปีนขึ้นไปบนหัวกำแพงให้ได้กี่รอบ ผู้เฒ่าไม่ได้พูดถึงแม้แต่คำเดียว ซึ่งน่าจะเป็นเพราะเขารู้สึกว่าเป็นคำพูดที่เปล่าประโยชน์
สายตาของผู้เฒ่าเปลือยเท้ามองแต่ที่สูง เมื่อร้อยปีก่อนเขาก็เลื่อนสู่ขั้นสูงสุดของขอบเขตสิบแล้ว ดังนั้นสายตาของเขาจึงจับจ้องมองไปแต่จุดที่สูงที่สุดของใต้หล้าไพศาลเท่านั้น
เป็นเหตุให้คำพูดที่ ‘พระวิสุทธิ์จารย์’ บนวิถีวรยุทธ์ต้องเน้นย้ำอยู่หลายรอบ ผู้เฒ่ากลับไม่เคยพูดกับเฉินผิงอันแม้แต่คำเดียว
ยกตัวอย่างเช่นโชควาสนาหลังจากฝ่าทะลุขอบเขตสามสี่ และขอบเขตหกเจ็ดที่เขาไม่เคยเอ่ยถึงแม้เพียงครึ่งคำ
รวมไปถึงความลี้ลับของบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในทุกขอบเขต เขาก็ไม่เคยพูดเหมือนกัน
อันที่จริงยิ่งผู้เฒ่าพูดน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งหวังสูงมากเท่านั้น
ลูกศิษย์ที่ข้าอบรมสั่งสอนมาด้วยมือของตัวเอง ขอบเขตเก้าจะนับเป็นอะไรได้? ขอบเขตสิบยังไม่มากพอเลย!
เจ้าเฉินผิงอันควรพุ่งตรงไปยังขอบเขตเทพแห่งการต่อสู้ในตำนาน!
ต้องทำให้แม้แต่ผู้เฒ่าชุยที่จิตใจสูงเทียมฟ้าอย่างข้าก็ยังรู้สึกว่าเจ้าเฉินผิงอันคือแผ่นฟ้าที่อยู่เบื้องบน!
ทว่าเรื่องราวบนโลกก็มหัศจรรย์เช่นนี้ ผู้เฒ่าแซ่ชุยพูดน้อยมาก แต่เฉินผิงอันกลับยิ่งเข้าใจ
โชควาสนาที่ใหญ่เทียมฟ้าเกิดขึ้นสองครั้งติดในบ้านบรรพบุรุษตระกูลซุน ครั้งแรกเฉินผิงอันยังไม่รู้ประสา คิดเพียงว่าหมัดหนึ่งยังปล่อยไปได้ไม่สาแก่ใจพอ หลังจากนั้นพอรู้ความจริง ต่อให้ต้องเฝ้าคืนครั้งแล้วครั้งเล่ากว่าจะรอให้โชควาสนาเยื้องกรายลงมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย พอถึงนาทีนั้นจริงๆ เฉินผิงอันกลับรู้สึกในฉับพลันว่า หมัดนี้ของตนยังต้องปล่อยออกไปอีกครั้ง!
จากนั้นก็ต่อยให้เจียวหลงแห่งทะเลเมฆที่จำแลงมาจากลมปราณสีทองพวกนั้นกลับขึ้นไปยังท้องฟ้าอีกครั้งอย่างไม่ลังเล
หนึ่งผู้เฒ่าหนึ่งเด็กหนุ่มต่างก็ไร้เหตุผลด้วยกันทั้งคู่
ทีแรกหม่าจื้อผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองยังไม่รู้สึกอะไร แต่พอสังเกตการปล่อยหมัดของเด็กหนุ่มนานเข้า ในที่สุดเขาก็มองเบาะแสออก
ผู้เฒ่าส่ายหน้ายิ้มเจื่อน รู้สึกเหมือนว่าตัวเองเห็นผี
จิต วิญญาณและความกล้าของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนนี้เริ่มมีเค้าโครงเป็นรูปเป็นร่างแล้ว รอแค่การหล่อหลอมขัดเกลาเท่านั้น นี่หมายความว่าการเลื่อนสู่ขอบเขตสี่สู่ขอบเขตหกจะไวมาก ถึงขั้นเรียกได้ว่าราบรื่นไร้อุปสรรค หากจะเน้นเอาที่ความเร็วในการไต่ทะยานบนวิถีวรยุทธ์อย่างเดียวก็สามารถทำให้คนที่มองอยู่ข้างๆ ตกใจขวัญกระเจิงได้เลย
หากไม่เป็นเพราะรู้มาก่อนว่าเด็กหนุ่มเพิ่งจะเลื่อนสู่ขอบเขตสี่ อันที่จริงผู้เฒ่าก็คงไม่ตกตะลึงถึงขนาดนี้ แต่นี่ท่านเจิ้งพูดยืนยันอย่างชัดเจนว่าเด็กหนุ่มมีแค่ขอบเขตสี่เท่านั้น
ใต้หล้านี้มีขอบเขตสี่ที่ไหนที่ป่าเถื่อนเผด็จการถึงขนาดนี้?
ชิงเค่อตระกูลฟ่านท่านนี้ค้นพบว่ากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตในช่องลมปราณของตัวเองขยับเคลื่อนเหมือนอยากจะพุ่งออกมา
ผู้เฒ่าถึงขั้นมีความรู้สึกว่าอยากลองประชันฝีมือขอความรู้จากเด็กหนุ่มด้วยซ้ำ
ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองขอบเขตที่เก้าของผู้ฝึกลมปราณ ออกกระบี่ต่อผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่คนหนึ่งอย่างจริงจัง?
ผู้เฒ่ากลัดกลุ้มยิ่งนัก รู้สึกว่าตัวเองแก่แล้วจริงๆ
แต่เพียงไม่นานผู้ฝึกกระบี่เฒ่าก็ปล่อยวางได้ ฟ้าดินกว้างใหญ่ ตนเป็นแค่กบใต้บ่อตัวหนึ่งที่หลบอยู่ในนครมังกรเฒ่า จะเคยเห็นผู้มีพรสวรรค์ของเก้าทวีปสักกี่คนกันเชียว?
เด็กหนุ่มสะพายกระบี่ที่ฝึกวิชาหมัดอยู่ตรงหน้าก็เป็นแค่หนึ่งในคนเหล่านั้นเท่านั้น
จู่ๆ ผู้เฒ่าก็เกิดความคิดประหลาด เอ่ยถามยิ้มๆ ว่า “เฉินผิงอัน เจ้าคงไม่อยากเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่ที่แข็งแกร่งที่สุดในหล้าหรอกกระมัง?”
เฉินผิงอันเพิ่งจะเดินนิ่งหกก้าวรอบหนึ่งจบจึงพลิกตัวหมุนกลับแล้วออกหมัดไม่หยุด แต่ปากก็ตอบคำถามว่า “แน่นอนอยู่แล้ว”
ผู้เฒ่าจึงได้แต่คิดว่าเด็กหนุ่มที่สามารถอาศัยเส้นสายมาขอให้ตนช่วยประลองกระบี่ด้วยคนนี้มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลเซียนในลำดับสูงสุดของแจกันสมบัติทวีป จิตใจจึงทะเยอทะยาน อีกทั้งยังมีความเป็นเด็กหนุ่ม จึงไม่รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่ฉุกละหุกเกินไป เด็กหนุ่มอายุน้อยที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาและปณิธานเช่นนี้ ไม่น่ารังเกียจ
ผู้เฒ่าไม่รู้ว่า
เด็กหนุ่มที่ฝึกวิชาหมัดอยู่ตรงหน้า เพียงแค่ท่าหมัดที่หยาบๆ ท่านี้ เขาต้องฝึกมาแล้วหลายแสนครั้ง
……
ท่ามกลางแสงสนธยา เรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาที่ก่อนหน้านี้ถูกเกาะใหญ่ยักษ์บดบังค่อยๆ ออกเดินทาง หากมีคนยืนอยู่บนกำแพงเมืองของนครมังกรเฒ่าแล้วทอดสายตามองมาไกลๆ ก็จะเห็นถึงโครงร่างที่ใหญ่มโหฬารของเรือข้ามฟากลำนี้
แน่นอนว่าหากยืนอยู่บนเกาะที่ตั้งโดดเดี่ยวกลางทะเลแห่งนั้นก็จะยิ่งมองเห็นได้อย่างชัดเจน
เหมือนกับที่ซุนเจียซู่เจ้าประมุขของตระกูลซุนกำลังทำอยู่
ออกจากนครมังกรเฒ่าครั้งนี้ ซุนเจียซู่ไม่ได้บอกให้ข้ารับใช้ของตระกูลติดตามมาด้วย เพราะข้างกายเขามีผู้ฝึกกระบี่หนุ่มจากสวนลมฟ้าเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง หลิวป้าเฉียว
หลิวป้าเฉียวที่เนื้อตัวมอมแมมเพราะรีบเร่งเดินทางมายังนครมังกรเฒ่า เวลานี้นั่งยองอยู่บนระเบียงของศาลาชมวิวบนเกาะ ทอดสายตามองไกลไปยังเกาะกุ้ยฮวา ท่าทางของเขาเหนื่อยล้าและเซื่องซึมอย่างเห็นได้ชัด เหนื่อยล้าเพราะเร่งขี่กระบี่ลงใต้มาตลอดทาง ร่างกายและจิตใจจึงอ่อนเพลียอย่างเลี่ยงไม่ได้ ส่วนความเซื่องซึมบนใบหน้าก็เพราะความคิดนับร้อยกำลังประดังประเดเข้าหากัน ความอัดอั้นขุมหนึ่งแล่นจากท้องขึ้นมาจุกที่ลำคอ อยากจะพ่นออกมา อยากจะระบายมันออกมา แต่ก็กลัวว่าจะทำร้ายจิตใจของเพื่อน
ซุนเจียซู่เอ่ยเบาๆ “ทำไมไม่ไปอธิบายกับเขาที่เกาะกุ้ยฮวา?”
ต่อให้หลิวป้าเฉียวจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์เลิศล้ำ แต่ตลอดทางมานี้เขาเดินทางออกจากสวนลมฟ้าอย่างรีบร้อน ขี่กระบี่มาไกลถึงขนาดนี้ ริมฝีปากจึงแห้งผากอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขายื่นมือมาเช็ดหน้า ส่ายศีรษะกล่าวว่า “ข้าหรือจะมีหน้าไปพบเฉินผิงอัน”
ซุนเจียซู่เอนตัวพิงเสาศาลา นั่งอยู่ข้างกายหลิวป้าเฉียว ยิ้มเจื่อนพูดว่า “ครั้งนี้ข้าผิดต่อเจ้า”
หลิวป้าเฉียวโบกมือ “โกรธก็ส่วนโกรธ แต่เหตุผลก็ส่วนเหตุผล เฉินผิงอันเป็นแค่สหายของข้าหลิวป้าเฉียว ไม่ได้เท่ากับว่าจะต้องเป็นสหายของเจ้าซุนเจียซู่ด้วย ข้าเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าเฉินผิงอันจะมีความลับซุกซ่อนไว้มากมายขนาดนั้น ขนาดเจ้าซุนเจียซู่ยังถูกทรัพย์สินล่อลวงใจอย่างอดไม่ได้ อันที่จริงหากสืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วนี่คือความผิดของข้า เป็นข้าที่ประเมินความสามารถของสหายอย่างเจ้าต่ำไป ซุนเจียซู่ เจ้าเองก็อย่ารู้สึกละอายใจเพราะข้าพูดเช่นนี้ ไม่มีความจำเป็น แล้วก็ไม่ควรจะเป็นเช่นนั้นด้วย”
—–