บทที่ 260.3 ฝึกหมัดหนึ่งล้านครั้ง โดย ProjectZyphon
ซุนเจียซู่วางมือพาดไว้บนราวระเบียง หันตัวเบี่ยงข้างมองไป สายลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า บุรุษที่เดิมทีก็หล่อเหลาอยู่แล้วยิ่งดูล่องลอยเหนือโลกโลกีย์ เขาเอ่ยเบาๆ ว่า “เหตุผลเป็นเช่นนี้จริง แต่เดิมทีเรื่องราวไม่ควรเปลี่ยนมาเป็นย่ำแย่ถึงขนาดนี้ เจ้าทั้งไม่ด่าข้าแล้วก็ไม่เตะข้า เวลาอย่างนี้ยังพูดกับข้าอย่างมีเหตุผล เจ้าหลิวป้าเฉียวเป็นคนที่ไม่ชอบยกหลักการมาพูดถึงขนาดไหน ข้าซุนเจียซู่รู้ดียิ่งกว่าใคร ข้าถึงได้รู้สึกว่าเจ้าจะตัดขาดกับข้าแล้ว ใช่หรือไม่?”
หลิวป้าเฉียวส่ายหน้า “ไม่ใช่ เจ้าคิดมากไปแล้ว”
หลิวป้าเฉียวกระตุกมุมปากยกยิ้ม “จริงๆ นะ”
ซุนเจียซู่คลี่ยิ้ม “ครั้งนี้เจ้าหลอกต้มข้าเสียจนเปื่อย จะถือว่าเดิมทีใจข้าอยากใฝ่หาดวงจันทร์ แต่จนใจที่ดวงจันทร์ส่องสว่างร่องลึกได้หรือไม่?” (เปรียบเปรยว่าปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความหวังดี แต่คนอื่นกลับไม่รับน้ำใจ ไม่แยแส)
หลิวป้าเฉียวยังคงทอดสายตามองไปทิศไกล ยิ้มกว้างพูดว่า “เปรี้ยวนัก (อีกความหมายหนึ่งคือเจ็บแสบ) เปรี้ยวยิ่งกว่าผักดองของเฉินผิงอันเสียอีก”
ซุนเจียซู่คลี่ยิ้ม แต่ในใจกลับถอนหายใจ
คนทั้งสองคนลุกขึ้นยืนแล้วเดินกลับนครมังกรเฒ่า ซุนเจียซู่พาหลิวป้าเฉียวไปพักที่บ้านบรรพบุรุษตระกูลซุน
นับตั้งแต่ที่ได้พบหน้ากันครั้งแรก บุรพาจารย์ขอบเขตก่อกำเนิดของตระกูลซุนที่เป็นดั่งเสาเทพค้ำยันมหาสมุทรท่านนั้นก็ชื่นชอบหลิวป้าเฉียวเด็กรุ่นหลังผู้มีพรสวรรค์ของสวมลมฟ้าเป็นที่สุด
ในฐานะเซียนพสุธา ทุกวันนี้น้อยครั้งที่ผู้เฒ่าจะกินอาหาร ทว่าวันนี้เขากลับมานั่งร่วมโต๊ะกินอาหารมื้อดึกกับคนหนุ่มสองคน อาหารบนโต๊ะทุกจานล้วนเป็นอาหารที่หลิวป้าเฉียวชอบกิน
หลิวป้าเฉียวคุยเล่นหยอกล้อกับบุรพาจารย์ตระกูลซุนไม่ต่างจากในอดีต คุยโวโอ้อวดได้โดยไม่มีความเขินอาย แถมยังเปิดเผยเรื่องน่าอายและข้อเสียของตัวเองอย่างโจ่งแจ้ง ทำเอาผู้เฒ่าที่ถูกหยอกหัวเราะฮ่าๆ อย่างมีความสุข
หลิวป้าเฉียวยังต้องรีบกลับไปที่สวนลมฟ้า กินข้าวเสร็จก็ห้อยเครื่องประดับมังกรเฒ่าพลิกเมฆชิ้นนั้นแล้วขี่กระบี่จากไปทันที
ซุนเจียซู่ถือคันเบ็ดตกปลาอยู่ริมตลิ่งเงียบๆ ท่ามกลางม่านราตรี
กลางดึก จู่ๆ ซุนเจียซู่ก็เงยหน้ามองไปด้านบน
หลิวป้าเฉียวขี่กระบี่กลับมาที่นี่ พอพลิ้วกายลงด้านหลังซุนเจียซู่แล้วก็ถีบเจ้าประมุขตระกูลซุนคนนี้ร่วงลงไปในแม่น้ำ
จากนั้นผู้ฝึกกระบี่แห่งสวนลมฟ้าก็ไม่พูดไม่จา ขี่กระบี่มุ่งหน้าขึ้นเหนือต่อไปอีกครั้ง
ซุนเจียซู่เดินกลับขึ้นฝั่งด้วยสภาพเหมือนไก่ตกน้ำ แต่เขากลับยิ้มอารมณ์ดี
บรรพบุรุษตระกูลซุนมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายซุนเจียซู่ กล่าวด้วยเจตนาอันดีว่า “ชีวิตนี้ของคนเรา ไม่ว่าจะเป็นอายุหกสิบปี ร้อยปีหรือพันปี ได้มีสหายอย่างหลิวป้าเฉียวสักคนก็ถือเป็นความโชคดีอย่างหนึ่งแล้ว ต้องรู้จักทะนุถนอมเห็นค่าเขาให้มาก”
ซุนเจียซู่ปาดน้ำบนใบหน้าออก พูดยิ้มๆ ว่า “ข้าก็เพิ่งเข้าใจวันนี้แหละ ท่านบรรพบุรุษ วันหน้าขอให้ข้าทำตามใจตัวเองสักครั้ง ทำเรื่องที่ซุนเจียซู่สมควรทำ แต่ใช้สถานะของเจ้าประมุขตระกูลซุนได้หรือไม่?”
ผู้เฒ่าตอบรับอย่างไม่ลังเล “เหล่าบรรพบุรุษตระกูลซุนล้วนยินดีที่จะได้เห็น”
ซุนเจียซู่พลันหันมาโค้งคำนับผู้เฒ่า “ขอบพระคุณท่านบรรพบุรุษที่เมตตา!”
ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงดังก้องกังวาน “ลุกขึ้น! ทำอะไรไม่เข้าท่า! เจ้าเด็กตัวเหม็น ตอนนี้เจ้าต่างหากที่เป็นประมุขตระกูล!”
ซุนเจียซู่หิ้วคันเบ็ดและข้องใส่ปลาเดินเร็วๆ กลับไปที่บ้านบรรพบุรุษ แล้วก็ออกจากบ้านบรรพบุรุษตั้งแต่คืนนั้นเพื่อเข้าไปจัดการธุระในจวนตระกูลซุนที่ตั้งอยู่ในเมืองชั้นใน
หลังจากซุนเจียซู่จากไปได้ไม่นาน ข้ารับใช้ขอบเขตโอสถทองคนหนึ่งของตระกูลซุนก็มาหาบรรพบุรุษตระกูลซุน พูดด้วยรอยยิ้มอย่างตรงไปตรงมาว่า “ตระกูลซุนมีเจ้าประมุขเช่นนี้ ข้ายินดีจะต่อสัญญากับตระกูลซุนไปอีกร้อยปี”
ผู้เฒ่าตอบรับพร้อมเสียงหัวเราะอันดัง
สุดท้ายผู้เฒ่าเดินไปที่ศาลบรรพชนเพียงลำพัง จุดธูปสามดอกเงียบๆ
……
ร้านยาฮุยเฉิน
ในเมื่อไม่ต้องไปรับโทษที่ศาลบรรพชน ฟ่านเอ้อร์จึงมาคุยเล่นกับอาจารย์เจิ้งอย่างเปิดเผย
ตอนที่เด็กหนุ่มมาเยือนถึงหน้าประตู ชายฉกรรจ์กำลังนอนฟุบอยู่บนโต๊ะคิดเงิน หยอกเย้าสตรีแต่งงานแล้วคนหนึ่งในร้านที่มีหุ่นอวบอัดอุดมสมบูรณ์ ถามนางว่าบุรุษบ้านนางที่ทำงานเป็นสารถี ยุ่งตั้งแต่เช้าจรดเย็น กลับมาถึงบ้านยังมีเรี่ยวแรงเหลือหรือไม่ สตรีแต่งงานแล้วคุ้นเคยกับนิสัยนี้ของชายฉกรรจ์ผู้เป็นเถ้าแก่ร้านนานแล้ว จึงตอบกลับด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มหวานว่า เตียงที่บ้านข้าต้องหาช่างไม้มาซ่อมตั้งหลายรอบแล้ว
ฟ่านเอ้อร์ที่ได้ยินประโยคนี้แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน สตรีแต่งงานแล้วเขินอายเล็กน้อย ถึงอย่างไรการที่ตนพูดคุยต่อล้อต่อเถียงกับเถ้าแก่ร้านอย่างส่งเดชก็เป็นแค่การพูดเล่นหาเรื่องแก้เหงาเท่านั้น หากอยู่ต่อหน้าคนนอก นางไม่กล้าทำตัวเปิดเผยถึงขนาดนั้น เจิ้งต้าเฟิงไม่ยอมปล่อยสตรีแต่งงานแล้วไปง่ายๆ เขาหันไปพูดกับฟ่านเอ้อร์ด้วยรอยยิ้มว่า “วันหน้าหากบ้านเจ้าต้องการหาช่างไม้ไปช่วยซ่อมเตียงให้ล่ะก็ มาขอให้พี่สาวคนนี้ช่วยแนะนำคนรู้จักให้ได้นะ”
ฟ่านเอ้อร์ร้องอ้อรับหนึ่งที
จากนั้นในร้านก็เกิดเสียงโจมตีดังสนั่น บางคนบอกว่าจะไปหาเข็มกับด้ายมาเย็บปากเถ้าแก่ร้าน บางคนขู่ว่าต่อให้จ่ายเงินก็ไม่ทำอาหารให้แล้ว เจิ้งต้าเฟิงแค่เจ็บๆ คันๆ ฟังแล้วจั๊กจี้หูเท่านั้น เขาพาเด็กหนุ่มเดินไปที่เรือนหลังทั้งที่ยังหัวเราะร่า ก่อนที่คนทั้งสองจะนั่งลง ฟ่านเอ้อร์ก็ไปหากระบอกยาสูบแล้วใส่ยาเตรียมไว้ให้เจิ้งต้าเฟิงเรียบร้อยแล้ว ฝ่ายหลังพ่นควันออกมาเป็นวง พอนึกถึงว่าในที่สุดเจ้าเด็กนั่นก็ไสหัวออกไปจากนครมังกรเฒ่าเสียที เขาก็รู้สึกอารมณ์ดีจริงๆ
ฟ่านเอ้อร์นั่งลงบนม้านั่งตัวเล็ก ถามว่า “อาจารย์เจิ้ง งานแต่งตระกูลฝู ท่านจะไปหรือไม่?”
เจิ้งต้าเฟิงตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “หากเจ้าบ่าวที่ต้องเข้าหอคือข้า ข้าก็จะไป”
ฟ่านเอ้อร์พูดเสียงค่อย “ได้ยินมาว่าว่าที่ภรรยาของฝูหนันหัวหน้าตา…ไม่ค่อยสวยสักเท่าไหร่”
เจิ้งต้าเฟิงหลุดหัวเราะพรืด “บุตรสาวสายตรงของสกุลเจียงอวิ๋นหลินจะไม่สวยได้หรือ? หากมาเป็นภรรยาของข้า ข้าผู้อาวุโสจะไม่ลงจากเตียงเลยคอยดู!”
ฟ่านเอ้อร์ไร้คำพูดโต้ตอบ
อาจารย์เจิ้งไม่ว่าอะไรก็ดีหมด แต่เป็นคนพูดจาโผงผางเหมือนขวานผ่าซากแบบนี้ ทำเอาเขารับไม่ค่อยไหวสักเท่าไหร่
หากพูดถึงแค่เรื่องคุยเล่นกับคนอื่น ยังคงเป็นเฉินผิงอันที่คุยสนุกกว่า
จู่ๆ เจิ้งต้าเฟิงก็ถามว่า “เฉินผิงอันเห็นเจ้าเป็นเพื่อนแล้วรึ?”
ฟ่านเอ้อร์พยักหน้ารับอย่างแรง “ใช่แล้ว พวกเราเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก!”
เจิ้งต้าเฟิงเงยหน้าพ่นควันกลุ่มใหญ่ สีหน้าคลุมเครือ “คนโง่มีโชคของคนโง่”
ฟ่านเอ้อร์เถียงอาจารย์ผู้ถ่ายทอดความรู้ที่มีขอบเขตวิถีวรยุทธ์สูงเทียมฟ้าอย่างที่หาได้ยาก “อาจารย์ ห้ามท่านพูดถึงเฉินผิงอันแบบนี้ เขาไม่ใช่คนโง่ เขาฉลาดมากเลยล่ะ ขนาดข้ายังต้องนับถือเขาที่ทำอะไรเป็นตั้งหลายอย่าง ข้ารู้สึกว่าการได้รู้จักเฉินผิงอันคือความโชคดีของข้า”
เจิ้งต้าเฟิงชำเลืองตามองเด็กโง่ที่ขาดไหวพริบคนนี้ “มิน่าเล่าพวกเจ้าสองคนถึงเป็นเพื่อนกันได้”
เจิ้งต้าเฟิงทำสีหน้าเคร่งขรึม พูดเสียงทุ้มหนัก “ข้าเพิ่งจะแน่ใจในสองเรื่อง ฟ่านเอ้อร์ เจ้าจงฟังให้ดี”
ฟ่านเอ้อร์รีบยืดอกตั้งตรง เงี่ยหูรอฟัง
เจิ้งต้าเฟิงยื่นนิ้วออกมาหนึ่งนิ้ว “ศิษย์พี่ของข้า หลี่เอ้อร์ เคยเป็นขอบเขตเก้าที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า ส่วนข้าเจิ้งต้าเฟิงเคยเป็นขอบเขตแปดที่แข็งแกร่งที่สุด ดังนั้นหลี่เอ้อร์จึงให้กำเนิดบุตรชายหญิงคู่หนึ่งที่ได้ดิบได้ดีอย่างมาก แต่งงานกับสตรีที่…เรื่องนี้ไม่พูดถึงดีกว่า ส่วนข้าขาดอีกแค่นิดเดียว อีกแค่นิดเดียวก็จะสามารถสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่ในอดีตไม่เคยมีใครทำมาก่อนและในอนาคตก็จะไม่มีคนทำได้ นั่นคือเลื่อนจากขอบเขตแปดสู่ขอบเขตสิบโดยตรง ย้อนกลับมาดูขอบเขตสามของเฉินผิงอันที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ เขาสามารถชักนำปรากฎการณ์ประหลาดของฟ้าดินให้เกิดขึ้นได้ถึงสองครั้ง รวมถึงดูจากทรัพย์สมบัติของเขาในเวลานี้ จึงมีคำพูดหนึ่งที่ถูกต้องและจริงแท้แน่นอน!”
ฟ่านเอ้อร์เบิกตากว้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้
เจิ้งต้าเฟิงสีหน้าจริงจัง “ขอแค่กลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดของขอบเขตใดก็ตามบนวิถีวรยุทธ์ในใต้หล้าไพศาล ก็จะได้รับโชควาสนามาอย่างต่อเนื่องไร้ที่สิ้นสุด แน่นอนว่าหากคิดจะนั่งยองในห้องส้วมแต่ไม่ขี้ ก็ไม่ได้เหมือนกัน ควรจะฝ่าขอบเขตก็ต้องฝ่าขอบเขต หาไม่แล้วจะผิดต่อจุดประสงค์ของวิถีวรยุทธ์ กลับกลายเป็นว่าอาจเจอเรื่องไม่ดีแทน”
ฟ่านเอ้อร์ถามอย่างระมัดระวัง “อาจารย์ หรือท่านอยากจะพูดว่าตอนนี้ข้าคือขอบเขตสามที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า? แต่พี่สาวข้าบอกว่าพรสวรรค์ของข้าธรรมดา ไม่ได้โดดเด่นอะไรเลย หรือเป็นเพราะสายตาของนางดีไม่เท่าอาจารย์? ฮ่าๆ มิน่าเล่าอาจารย์ถึงพูดว่าเพราะอย่างนี้ข้าถึงเป็นเพื่อนกับเฉินผิงอันได้ มิน่าล่ะๆ ที่แท้พวกเราก็คือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสามอันดับที่หนึ่งและอันดับที่สองของใต้หล้านี่เอง…”
เจิ้งต้าเฟิงไม่รู้ว่าโทสะพุ่งมาจากไหน เขาชี้ไปทางประตูที่มีม่านไม้ไผ่กั้นขวางแล้วด่าฉิวๆ “ไป ไสหัวไปนั่งตรงโน้นเลย”
ฟ่านเอ้อร์รีบยกม้านั่งตัวเล็กไปนั่งตรงนั้นแต่โดยดี คิดในใจดูท่าตนคงคิดเตลิดไปไกลแล้ว
นี่เพิ่งจะคบค้าสมาคมกับเฉินผิงอันแค่ไม่กี่วัน เด็กที่แต่เดิมฉลาดเฉลียว จู่ๆ กลับกลายมาเป็นเด็กทึ่มขาดไหวพริบขนาดนี้แล้วรึ?
เจิ้งตาเฟิงสูบยาแรงๆ “อีกเดี๋ยวขอบเขตสามของเจ้าก็จะสามารถฝ่าไปได้อย่างราบรื่นแล้ว เมื่อไปถึงขอบเขตสี่ ข้าจะช่วยช่วงชิงโอกาสเสี้ยวหนึ่งนั้นมาให้เจ้า แม้ว่าจะเลือนรางเต็มที แต่จะดีจะชั่วข้าเจิ้งต้าเฟิงก็เป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้า ไม่ได้ห่างชั้นกับหลี่เอ้อร์และซ่งจ่างจิ้งมากเท่าไหร่ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าหากข้าผู้อาวุโสจะเอาจริงเอาจังอย่างที่ไม่ค่อยเคยทำสักครั้ง จะยังมีเรื่องอะไรที่ข้าทำไม่ได้อีก!”
ฟ่านเอ้อร์กล่าวขลาดๆ “ขอบเขตสี่ที่แข็งแกร่งที่สุด?”
เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้ารับ “ที่แท้ก็ไม่ได้ยกหัวสมองไปให้เจ้าคนแซ่เฉินนั่นด้วย”
สีหน้าเจิ้งต้าเฟิงเอาจริงเอาจัง แต่ในใจกลับแอบหัวเราะสนุกสนาน ขณะเดียวกันกับที่เจ้าเฉินผิงอันต้องทนรับความยากลำบากอยู่บนเกาะกุ้ยฮวาและในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ก็ยังต้องข้ามผ่านด่านใหญ่ที่มองไม่เห็นซึ่งผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปไม่ต้องคาดหวัง แต่สำหรับเจ้าเฉินผิงอันแล้วกลับอันตรายอย่างถึงที่สุดไปด้วย ผลกลับกลายเป็นว่าถึงท้ายที่สุดแล้ว ต่อให้เจ้าผ่านด่านนั้นไปได้ก็ยังต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากแสนเข็ญอีก และสุดท้ายผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในขอบเขตสี่กลับกลายมาเป็นฟ่านเอ้อร์สหายข้างกายของเจ้า ไม่ใช่ตัวเจ้าเอง แบบนี้น่าสนุกมากเลยใช่ไหมล่ะ?
หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ในใต้หล้าไพศาลที่มีลูกรักแห่งสวรรค์นับพันนับหมื่นเดินอยู่บนเส้นทางของวิถีวรยุทธ์ ขนาดฟ่านเอ้อร์ที่มีพรสวรรค์ธรรมดาคนเดียวยังสู้ไม่ได้ เจ้าเฉินผิงอันก็อย่าหวังจะช่วงชิงขอบเขตสี่ที่แข็งแกร่งที่สุดอะไรอีกเลย
และเวลานี้เอง ฟ่านเอ้อร์ที่อดกลั้นมานาน สุดท้ายกลั้นไม่ไหวถามว่า “อาจารย์ ตามคำบอกของท่าน เฉินผิงอันเป็นขอบเขตสี่แล้ว หากข้าแอบเป็นขอบเขตสี่อย่างลับๆ ล่อๆ วันใดวันหนึ่งจะปะทะกับเขาหรือเปล่า? อาจารย์ อันที่จริงการที่ข้ามาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ก็เพราะตอนนั้นไม่มีพรสวรรค์ในการเป็นผู้ฝึกลมปราณเท่านั้น ดังนั้นข้าจึงอยากเป็นแค่ขอบเขตแปดที่อยู่สูงมากๆ แค่ทะยานลมเดินทางไกลได้เหมือนกับผู้ฝึกลมปราณก็พอแล้ว ขอบเขตสี่ที่แข็งแกร่งที่สุดอะไรนั่น ข้าไม่มีความมั่นใจมากนัก อีกอย่างก็ไม่ได้อยากจะเป็นเท่าไหร่ด้วย…”
กล่าวมาถึงท้ายที่สุด เด็กหนุ่มก้มหน้าลง ไม่กล้าสบตากับเจิ้งต้าเฟิง
เลือดอันเร่าร้อนและปณิธานยิ่งใหญ่ของเจิ้งต้าเฟิงต้องมาถูกน้ำเย็นสาดใส่หน้าทั้งอย่างนี้
ยังดีที่จิตใจของเจิ้งต้าเฟิงแข็งแกร่งเกินกว่าคนปกติทั่วไป หาไม่แล้วก็คงไม่มีขอบเขตอย่างในทุกวันนี้ เขาจึงมองว่านี่เป็นเพียงความคิดชั่วคราวของเขา และเป็นเพียงเรื่องหนึ่งที่น่าเบื่อเท่านั้น
เจิ้งต้าเฟิงคลี่ยิ้ม “อย่าเพิ่งรีบร้อนปฏิเสธ รอให้เจ้าเลื่อนสู่ขอบเขตสี่ก่อนค่อยว่ากัน ถึงเวลานั้นหากเจ้าเปลี่ยนใจก็มาบอกข้าได้”
ฟ่านเอ้อร์ยิ้มตอบ “ตกลง”
เจิ้งต้าเฟิงโบกมือ “รีบไสหัวไปซะ ปณิธานเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังไม่มี เห็นแล้วรำคาญลูกตา”
เด็กหนุ่มลุกขึ้นหิ้วมานั่งกลับมาวางไว้ที่เดิม ตอนที่เดินไปถึงประตูม่านไม้ไผ่ก็หันหน้ากลับมาหัวเราะหึหึพูดว่า “ก็เพราะข้าชอบเสวยสุขเหมือนอาจารย์ไงล่ะ”
เจิ้งต้าเฟิงเหลือกตามองค้อน
เด็กหนุ่มเดินผ่านร้านยาที่การค้าซบเซา พอสาวน้อยสาวใหญ่ทั้งหลายบอกลา เด็กหนุ่มก็ไล่โบกมือตอบรับไปทีละคน
หลังเดินออกมาจากร้านยาฮุยเฉินแล้ว ฟ่านเอ้อร์เงยหน้ามองสีท้องฟ้า ไม่รู้ว่าพี่สาวจะกลับบ้านเมื่อไหร่ หากครั้งนี้นางไปที่ต้าหลีทางทิศเหนือแล้วเจอกับพี่เขยที่เขาไม่ชอบขึ้นมา ตนคงน่าสงสารแย่ พี่สาวดี พ่อแม่ดี เหล่าบรรพบุรุษดี พวกเค่อชิงข้ารับใช้ทั้งหลายก็ดี อาจารย์เจิ้งดี เฉินผิงอันเพื่อนใหม่ที่เพิ่งรู้จักก็ดี มีเพียงพี่เขยที่ไม่ดี? แบบนั้นจะน่ากระอักกระอ่วนสักเพียงใด
เด็กหนุ่มสะบัดศีรษะ เดินอยู่บนเส้นทางสายเล็กเพียงลำพัง ฉวยโอกาสที่รอบกายไร้ผู้คนปล่อยหมัดมั่วซั่วที่เขาคิดว่าน่าเกรงขามมากที่สุด
น่าเสียดายที่เฉินผิงอันไม่อยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นเขาต้องยอมศิโรราบให้ตนแน่
พบกันคราวหน้าจะต้องเรียนรู้วีรกรรมของจอมยุทธ์ในยุทธภพ ตัดหัวไก่เผากระดาษเหลือง เรียกกันเป็นพี่เป็นน้อง!
ฟ่านเอ้อร์ยิ่งคิดก็ยิ่งอารมณ์ดี ยิ่งออกหมัดยิ่งเหมือนกระบวนท่าหมัดหวังปา ยังไม่ลืมร้องตะโกนเบาๆ ให้กำลังใจตัวเอง พอหยุดปล่อยหมัดก็จุ๊ปากพูดว่า “วิชาหมัดกระบวนท่านี้ต่อยแล้วสาแก่ใจดีจริงๆ!”
เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าตรอกเล็กที่อยู่ด้านหลัง ตรงหน้าประตูร้านยาฮุยเฉินมีเด็กสาวสวมชุดสีเขียวคนหนึ่งยืนอยู่ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าคล้ายเพิ่งกลับมาจากเดินทางไกล นางกำลังดื่มเหล้ามองแผ่นหลังของเด็กหนุ่มพลางพึมพำเบาๆ ว่า “ชื่อฟ่านเอ้อร์นี้พ่อแม่ตั้งให้ไม่ผิดจริงๆ ทึ่มชะมัด”
……
บนเกาะกุ้ยฮวาที่ออกเดินทางไกลล่องอยู่บนมหาสมุทร เฉินผิงอันฝึกท่าเดินนิ่งหกก้าวครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่ในลานบ้านเรือนกุยม่ายท่ามกลางม่านราตรี
เขาหวังจริงๆ ว่าก่อนจะไปถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ ตัวเองจะสามารถฝึกหมัดได้หนึ่งล้านครั้ง!
หลังจากเดินนิ่งแล้ว เฉินผิงอันก็เริ่มฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู
ฝึกไปจนถึงครึ่งคืนหลัง เฉินผิงอันถึงได้กลับเข้าไปในห้องพักของตัวเอง ช่วงอากาศร้อนจัด เด็กหนุ่มนอนอยู่บนเสื่อไม้ไผ่ที่มีชื่อเสียงและราคาแพงซึ่งเย็นสบายราวกับสายน้ำ เขาวางกล่องไม้ไว้ริมเตียงตามความเคยชิน แค่เอื้อมมือไปก็หยิบถึง
หลับตาลง ค่อยๆ ล่วงเข้าสู่นิทรา
บนใบหน้าของเด็กหนุ่มยังมีรอยยิ้ม
เขาจะได้ไปกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนั้น ได้ไปฝึกวิชาหมัดบนหัวกำแพงแล้ว
—–