ส่วนที่ 3 เสวียนจีไร้ใจ ตอนที่ 22 เรื่องนี้ต้องถามสวรรค์ (10)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

“อา!” เสวียนจีรีบผุดลุกขึ้นนั่ง ภาพที่เห็นก็คือมุ้งขาวในห้องของโรงเตี๊ยม ในอกนางพลันเต้นโครมคราม อดยกมือลูบริมฝีปากไม่ได้ สัมผัสร้อนผ่าว นั่นไม่ใช่ความฝัน เป็นความจริง

 

 

วันหน้าจะทำเช่นไร นางนิ่งอึ้งไปเป็นนาน แทบจะทึ้งหนังศีรษะอยู่บนเตียง คิดหาวิธีไม่ได้ มองเห็นท้องฟ้าสว่างขึ้นเรื่อยๆ ชั้นล่างเริ่มมีเสียงเปิดร้านทำการค้าของโรงเตี๊ยมดังแว่วมา วันนี้ยังมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ นางไม่อาจเอาแต่นอนขี้เกียจอยู่บนเตียงต่อ

 

 

อา อา อา~~ ทำไม่เป็นเช่นนี้ไปได้! เสวียนจีได้แต่ลุกจากเตียงไปล้างหน้าบ้วนปาก กระจกสะท้อนภาพดรุณีน้อยน่ารักสองแก้มร้อนผ่าวราวไฟเผา แววตาราวกับมีคลื่นน้ำไหว นี่คือนาง ฉู่เสวียนจี? เป็นนางจริงหรือ

 

 

วนไปมาอยู่ชั้นบนเป็นนาน นางจึงค่อยๆ ก้าวลงมาชั้นล่างอย่างลังเล พวกจงหมิ่นเหยียนนั่งอยู่กลางโถงกินอาหารเช้ากันก่อนหน้าแต่เช้าแล้ว นางมองปราดเดียวก็เห็นร่างในชุดครามนั่น ในใจก็ราวกับถูกบางอย่างกระแทก กระทบกระเทือนอย่างแรง คิดจะหนีตามสัญชาตญาณ

 

 

แต่จงหมิ่นเหยียนเห็นนาง จึงร้องเรียกดังทันทีว่า “รอเจ้าตั้งนาน! ทำไมเพิ่งตื่นเอาตอนนี้!”

 

 

นางไม่รู้ควรทำเช่นไร ได้แต่เดินเข้าไป แม้แต่จะมองก็ไม่กล้า ไม่เงยหน้ามองสักนิด พึมพำกล่าวว่า “ข้า…ตื่นสายแล้ว…”

 

 

จงหมิ่นเหยียนกดนางนั่งลง สั่งเสี่ยวเอ้อร์นำอาหารเช้ามาชุดหนึ่ง กล่าวอีกว่า “พวกเรากำลังหารือกันถึงเรื่องจะไปจวนตระกูลโจววันนี้ เมื่อคืนนี้พี่หลิ่วทำปีศาจงูนั่นบาดเจ็บสาหัสแล้ว คาดว่าวันนี้นางก็ไม่คงกล้าเหิมเกริม พวกเราอาศัยเหตุว่าในจวนมีปีศาจไปช่วยจิ้งจอกม่วงกับถิงหนูออกมา”

 

 

นางพยักหน้า จริงๆ แล้ว คำเดียวก็ฟังไม่เข้าหู เห็นเสี่ยวเอ้อร์ยกน้ำเต้าหู้มาชามหนึ่ง นางคว้ามาดื่มทันที ปรากฏร้อนลวกจนเกือบโยนชามทิ้ง

 

 

“เป็นสาวเป็นนางทำไมใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนะ…” หลิ่วอี้ฮวนจงใจถาม ท่าทางมีเลศนัย เขยิบเข้าไปใกล้คิดจะลูบริมฝีปากแดงจิ้มลิ้มที่ถูกลวกของดรุณีน้อย พลันถูกอวี่ซือเฟิ่งผลักถอยกลับไปด้านหลัง

 

 

“ดื่มน้ำเย็นหน่อย” เขาคุกเข่าลงเบื้องหน้านาง ส่งน้ำชาเย็นให้ถ้วยหนึ่ง ใช้นิ้วมือแตะไปยังริมฝีปากนางเล็กน้อย กล่าวอีกว่า “ไม่ได้ลวกเป็นแผล อีกครู่เดียวก็หายแล้ว”

 

 

สายตานางเหม่อลอย กุมแก้วชาเย็นนั้นไว้ในมือ สุดท้ายราวกับตัดสินใจได้ เงยหน้ามองอวี่ซือเฟิ่ง เขากลับลุกขึ้นไปแล้ว

 

 

ไม่รู้เหตุใดนางจึงรู้สึกใจหาย หลุบตาลงไม่กล่าวอันใดอีก

 

 

“สถานการณ์นี่ ก็เป็นเช่นนี้” หลิ่วอี้ฮวนยัดปาท่องโก๋เข้าปากไปพลางพูดจากอู้อี้ไปพลาง “ข้าผู้ไร้สามารถอยู่เมืองชิ่งหยางก็พอมีชื่อเสียงเซียนเล็กน้อย ดังนั้นครั้งนี้ข้าจะลดตัวลงมาไปยังจวนตระกูลโจวสักครา พวกเจ้าก็ทำตัวเป็นผู้ติดตามข้าก็แล้วกัน ทุกอย่างฟังคำสั่งข้า เข้าใจไหม”

 

 

เขาถลึงตาใส่จงหมิ่นเหยียนคนแรก เจ้าหนุ่มนี่ไม่เชื่อฟังที่สุด จงหมิ่นเหยียนค้อนขวับ “เข้าใจแล้วๆ…จะไปตอนไหน”

 

 

หลิ่วอี้ฮวนโพล่งออกมา “ตอนนี้ ทันที บัดเดี๋ยวนี้…ออกเดินทาง”

 

 

ผู้ใดจะรู้ว่าเมืองชิ่งหยางเช้ามาก็มีข่าวลือไปทั่วว่าเมื่อคืนวานนี้ที่จวนตระกูลโจวมีผีอาละวาด พักหนึ่งก็มีแสงสีเขียว พักหนึ่งก็มีแสงสีขาว ทำเอาคุณหนูรองตกใจจนตอนนี้ยังไม่กล้าออกจากห้อง นอนอยู่บนเตียงรอหมอไปตรวจ

 

 

ทุกคนพอได้ยินก็รู้ว่าร่องรอยการต่อสู้เมื่อวานถูกคนพบเข้า ปีศาจงูนั่นถูกดวงตาสวรรค์ทำร้ายบาดเจ็บ ได้แต่โกหกว่าล้มป่วย ทุกคนหารือกันแล้วก็เห็นว่าคร้านจะไปเปิดโปงนางว่าไม่ใช่คุณหนูรองตัวจริง เพราะหลิ่วอี้ฮวนบอกว่า คุณหนูรองจวนตระกูลโจวป่วยตายไปหลายปีแล้ว ไม่รู้เหตุใดจึงถูกปีศาจงูสิงร่างได้ แต่หลายปีนี่ไม่เคยทำเรื่องชั่วร้ายอันใดในเมืองชิ่งหยาง และมักจะช่วยขอฝนอะไรพวกนี้อยู่บ่อยๆ ยังนับว่าสร้างกุศลไว้บ้าง ใต้เท้าโจวสองสามีภรรยาก็อายุมากแล้ว บุตรสาวคนโตแต่งงานออกไปไกล บุตรชายคนเดียวก็ล้มป่วยจากไปนานแล้ว ข้างกายมีเพียงบุตรสาวรองเป็นที่พึ่งเพียงคนเดียว หากพวกเขารู้ความจริง ชายแก่หญิงชราก็ย่อมไม่อาจทนรับได้

 

 

ดังคาด เพราะเมื่อคืนวาน ‘ผีอาละวาด’ หลิ่วอี้ฮวนกล่าวเพียงคำเดียวว่าในจวนมีปีศาจกำลังเอาชีวิตคุณหนูรอง นายท่านโจวก็เชิญเขาไปยังห้องนอนคุณหนูรองอย่างไม่ต้องลำบากอันใด

 

 

“ขอใต้เท้าโจวรออยู่หน้าประตู อย่าได้ให้คนบุกเข้าไปเด็ดขาด ปีศาจนั่นเจ้าเล่ห์มาก เกิดปล่อยมันหนีไปได้ ย่อมเป็นภัยหายนะต่อเมืองชิ่งหยางเป็นแน่”

 

 

หลิ่วอี้ฮวนปลอมตัวเป็นเซียนก็เหมือนอยู่บ้าง แม้แต่วาจาก็ยังกลายเป็นเต็มไปด้วยกลิ่นอายเซียนเต็มที่ วาจาน่าเชื่อถือ

 

 

ใต้เท้าโจวหนวดเคราและผมขาวโพลน รู้ชื่อเสียงเขาในเมืองชิ่งหยาง ยามนั้นจึงไม่ได้สงสัยอันใด สั่งการให้คนรับใช้ปิดประตู ตนเองไปรออยู่หน้าประตู

 

 

หลิ่วอี้ฮวนยิ้มร่านำพวกอวี่ซือเฟิ่งเข้าไปในห้อง เห็นห้องนอนหรูหราตกแต่งประณีต ม่านแพรบางเป็นชั้นๆ ราวกับภาพฝัน หลังแพรบางมีสาวงามผู้หนึ่งนอนอยู่ ในกระถางสัมฤทธิ์เผากำยานไม้ชิงมู่กำใหญ่ แต่ก็กลบกลิ่นอายปีศาจเหม็นเน่าบนตัวนางไม่อยู่

 

 

“คุณหนูรอง ตอนนี้ยอมปล่อยคนแล้ว?” หลิ่วอี้ฮวนทำไม่รู้ไม่ชี้ก้าวเดินเข้าไปเลิกม่านเตียงขึ้น ลงนั่งข้างกายนาง

 

 

เดิมห้องนอนเป็นที่ส่วนตัว ผู้ชายไม่อนุญาตให้เข้ามาตามอำเภอใจเด็ดขาด แต่ในเมื่อนางเป็นปีศาจ ย่อมไม่ต้องพิธีรีตองมากมายอันใด พวกอวี่ซือเฟิ่งเองก็กรูเข้าไปอย่างไม่เกรงเสียมารยาท เห็นเพียงคุณหนูรองสีหน้าซีดเผือดนอนอ่อนแรงอยู่บนเตียง หากสองตาลุกโชนจ้องมองหลิ่วอี้ฮวนอย่างเอาเรื่อง

 

 

“เอาน่า ถลึงตาใส่จนตาจะหลุดออกมาแล้ว เสียดายภาพสาวงามเปล่าๆ รีบบอกว่าเถอะน่า เงือกกับจิ้งจอกม่วงถูกเจ้าขังไว้ที่ใด”

 

 

 คุณหนูรองผู้นั้นจ้องมองเขาเป็นนาน มุมปากพลันเผยรอยยิ้มเยียบเย็น กล่าวเบาๆ ว่า “ดวงตาสวรรค์เจ้านี่ได้มาไม่ง่ายกระมัง ขโมยมาจากไหนกัน ไม่กลัวเทพเซียนเบื้องบนมาจับเจ้า?”

 

 

หลิ่วอี้ฮวนแม้แต่ขนคิ้วก็ไม่ขยับ หากหัวเราะร่ากล่าวว่า “ของดีก็ต้องแบ่งปันทุกคน ของเล่นนี้เทพเซียนเก็บไว้ก็ไร้ค่า ไม่สู้มอบให้ข้า?”

 

 

คุณหนูรองผู้นั้นราวกับไร้หนทางรับมือท่าทางบ้าบอของเขา ได้แต่เม้มปากแกล้งทำใบ้เสีย

 

 

“อย่าบีบพวกเราให้ต้องใช้วิธีการแย่ๆ ร่วมมือกันหน่อย เงือกอยู่ที่ใดกันแน่?”

 

 

นิ้วหลิ่วอี้ฮวนเคาะหัวเตียงอย่างเริ่มทนไม่ไหว คุณหนูรองหลับตาเงียบอยู่เป็นนานก่อนจะกล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “ข้าขังคนไว้ที่ใดยังหาไม่เจอ ยังถึงกับเพ้อฝันให้ข้ามอบคน ถึงกับพ่ายแพ้ให้คนไม่เอาไหนเช่นเจ้าได้!”

 

 

หลิ่วอี้ฮวนยิ้มเล็กน้อย กำลังจะคิดโต้ฝีปากกับสักหน่อย พลันได้ยินนอกหน้าต่างมีเสียงนกดังแว่วมาอย่างร้อนใจ รั่วอวี้รีบเข้าไปผลักหน้าต่างมองลอดออกไป ชิงเกิงบินลอดเข้ามาตามร่องนั้น สะบัดปีกไปมา ส่งเสียงร้องดังบินวนไปรอบห้องสองรอบ ไปหยุดลงตรงด้านหลังกระถางสัมฤทธิ์ที่เผากำยานอยู่ ส่งเสียงร้องดัง

 

 

หลิ่วอี้ฮวนหัวเราะดังลั่นกล่าวว่า “ข้าจะหาไม่พบได้อย่างไร ข้าจะหาให้เจ้าดู!”

 

 

เขาส่งสายตาให้อวี่ซือเฟิ่ง เขาเข้าใจในทันที เข้าไปดันกระถางสัมฤทธิ์กับจงหมิ่นเหยียน ดังคาด ด้านหลังมีประตูลับ ใช้แรงผลักก็เปิดออก ถิงหนูที่ทุกคนทุ่มเทแรงกำลังค้นหากันอย่างยากลำบากถูกขังอยู่ด้านใน ในอ้อมกอดยังมีจิ้งจอกม่วงหายใจรวยริน ปลายเท้ายังมีปีศาจตัวน้อยที่เหมือนสุกรปล่อยแสงสีเขียวคลุมร่างเขาไว้ คิดว่าน่าจะเป็นพวกเขตกำบังอะไรพวกนั้น

 

 

“ถิงหนู!” พอเสวียนจีเห็นเขาก็รีบวิ่งเข้าไปอย่างใจร้อน ดีที่แม้ว่าถิงหนูสีหน้าซีดขาวเหน็ดเหนื่อย แต่กำลังใจยังดี พอเห็นนางมาก็ยิ้มเล็กน้อย ตังคังที่เท้าเขาก็ปลดผนึกแสงสีเขียวออก ตังคังกับชิงเกิงรีบเข้าไปวนรอบเขาอย่างไม่อาจตัดใจก่อนจะค่อยๆ หายไป

 

 

“อา…พวกเขา!” เสวียนจีตกใจ

 

 

ถิงหนูกล่าวเบาๆ ว่า “พวกมันเหนื่อยมากไป ไปพักเท่านั้น”

 

 

เสวียนจีเข้าไปสำรวจเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า กล่าวว่า “เจ้า…เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม? บาดเจ็บไหม? ปีศาจนั่นไม่ได้รังแกเจ้ากระมัง”

 

 

เขาส่ายหน้า ค่อยๆ เข็นเก้าอี้ออกไป ขอบคุณทุกคนที่มาช่วย ก่อนจะกล่าวว่า “นางเป็นปีศาจงูที่ใกล้กลายเป็นมังกร นี่เป็นการลอกคราบงูครั้งสุดท้าย จับข้ามาก็เพื่อใช้พลังปีศาจข้าช่วยให้นางเป็นมังกรได้เร็วขึ้น…การลอกคราบสำหรับงูแล้วเป็นเรื่องไม่ง่ายเท่าไร”

 

 

จงหมิ่นเหยียนกล่าวอย่างแปลกใจว่า “แต่พวกเราได้ยินว่าเจ้าถูกบังคับแต่ง…” เขาถลึงตาใส่หลิ่วอี้ฮวน ดูท่าเป็นวาจาโกหกของเขาแน่แล้ว!

 

 

ถิงหนูหัวเราะเบาๆ กล่าวว่า “วันนั้นนางจับข้ามา ถูกคนจวนตระกูลโจวพบเข้า ไม่อาจไม่แต่งวาจาโกหกออกมา ต่อมานางยังแต่งเรื่องหลอกว่าข้าอาศัยจังหวะค่ำคืนแอบหนีออกจากจวนตระกูลโจว ดังนั้นเรื่องแต่งงานที่ว่าก็ย่อมเลิกล้มไป”

 

 

เสวียนจีเห็นจิ้งจอกม่วงในอ้อมกอดเขาหลับตานิ่ง ไม่ขยับแม้แต่น้อย อดตกใจไม่ได้กล่าวว่า “นางเป็นอะไรไป? ใช่ว่า…” หรือว่าตายแล้ว?!

 

 

ถิงหนูลูบขนจิ้งจอกม่วงเบาๆ หัวเราะเบาๆ กล่าวว่า “เมื่อวานนางบุกฝ่าเข้ามา คิดช่วยข้าออกไป ผู้ใดจะรู้ว่าถูกปีศาจงูกัดไปทีจึงโดนพิษงู แต่ไม่เป็นไร อีกสองวันก็ไม่เป็นไรแล้ว”

 

 

ทุกคนมองไม่เห็นบาดแผลใดก็วางใจ จงหมิ่นเหยียนยิ้มกล่าวว่า “นับว่าราบรื่นดี ตอนนี้ดีเลย พวกเราก็ไปเขาปู้โจวซานกันอย่างสบายใจได้แล้ว!”

 

 

ถิงหนูอึ้งไปเล็กน้อย “พวกเจ้าไปเขาปู้โจวซานทำอะไร”

 

 

หลิ่วอี้ฮวนกล่าวว่า “ที่นี่ไม่ใช่ที่สนทนา ข้าว่าตรงนั้นมีประตูหลัง พวกเจ้าพาเงือกนี่ออกไปทางนั้น ทิ้งจิ้งจอกไว้ ข้าจะได้มีของไว้รายงานใต้เท้าโจว”

 

 

จงหมิ่นเหยียนกับรั่วอวี้เข็นถิงหนูออกประตูหลังไป หลิ่วอี้ฮวนยกหางจิ้งจอกม่วงขึ้น นางราวกับตายไปแล้ว ไม่ขยับแม้แต่น้อย เขาหัวเราะดังลั่นกล่าวว่า “ยากจะได้เห็นสภาพปวกเปียกหมดแรงของนางเช่นนี้นะเนี่ย อย่างไรก็เป็นถึงปีศาจจิ้งจอกพันปี ไม่หวั่นพิษงู”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งถามว่า “ตอนนี้ควรออกไปได้แล้ว ข้ากลัวว่านานไปจะมีเหตุเปลี่ยนแปลง”

 

 

หลิ่วอี้ฮวนพยักหน้า หันกายจะออกไป คุณหนูรองผู้นั้นถึงกับตกใจเล็กน้อย เสียงแหบพร่ากล่าวว่า “เจ้า…พวกเจ้าไม่สังหารข้า?”

 

 

หลิ่วอี้ฮวนหัวเราะเบาๆ “สังหารเจ้าทำไม หรือว่าอยากจะให้ใต้เท้าโจวจับข้าไปลงโทษ? หลายปีนี้เจ้าก็นับว่าทำเรื่องกุศลในเมืองชิ่งหยางอยู่บ้าง ทำความผิดเล็กน้อยนั่น…เทพเซียนเองก็ย่อมไม่ใส่ใจ ขอเพียงเจ้าอย่าได้เอาแต่จดจ่อคิดเกียจคร้านหาทางลัดเปลี่ยนร่างเป็นมังกร ผลสำเร็จก็ย่อมอยู่เบื้องหน้า”

 

 

คุณหนูรองอดเงียบงันไม่ได้ เป็นนานกว่าจะกล่าวว่า “คนและปีศาจต่างเส้นทาง วันนี้เจ้าเมตตาต่อพวกปีศาจ วันหน้าไม่แน่ว่ามีคนรับน้ำใจ”

 

 

“เชอะ! ผู้ใดสนใจน้ำใจจากปีศาจเช่นพวกเจ้ากัน! ข้าทำอะไรไม่ปิดบังชื่อ นั่งไม่เปลี่ยนแซ่ นายท่านหลิ่วอี้ฮวนแห่งเมืองชิ่งหยาง ปีศาจไหนมองข้าแล้วขัดตาก็เข้ามาเลยสิ!”

 

 

เขาลูบขนจิ้งจอกม่วง ไม่พูดจามากความกับนางอีก ผลักประตูเดินออกไป

 

 

“ใต้เท้าโจว ข้าจับปีศาจมาแล้ว” เขายกจิ้งจอกม่วงส่ายไปมาต่อหน้าทุกคน ทำพวกเขาตกใจผงะถอยหลังกันหมด

 

 

“คือ…ท่านเซียน…ที่ก่อเรื่องคือปีศาจตนนี้หรือ” ใต้เท้าโจวหวาดกลัว ไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้

 

 

หลิ่วอี้ฮวนพยักหน้าส่งๆ ไป จับจิ้งจอกม่วงยัดเข้าแขนเสื้อ กล่าวว่า “บุตรสาวท่านตกใจ แต่ยังดีไม่ได้ถูกกลิ่นอายปีศาจทำร้ายบาดเจ็บ จากนี้…ก็เป็นเรื่องของหมอแล้ว ในเมื่อพวกข้ากำจัดปีศาจแล้วก็ขออำลาตรงนี้เลย”

 

 

กล่าวจบไม่สนใจใต้เท้าโจวที่เชื้อเชิญให้ร่วมงานเลี้ยง หากจากไปในทันที ช่างมีกลิ่นอายแบบเซียนยิ่งใหญ่เหนือสามัญอยู่ไม่น้อยจริงๆ หลายปีต่อมา เมืองชิ่งหยางยังมีตำนานแพร่หลายกันว่าเซียนหลิ่วอี้ฮวนกำจัดปีศาจจิ้งจอก ในตำนานเขาเป็นชายหน้าตาหล่อเหลาสง่างาม ราวเทพเซียนเหยียบเมฆา ตำนานนี้จะทำให้หลิ่วอี้ฮวนหัวเราะกรามค้างหรือไม่ ยามนี้ไม่อาจรู้ได้ชั่วคราว